LEH LADAKH 2023
คงมีใครหลายคนไม่คิดว่าที่นี่คือประเทศอินเดีย 🇮🇳 ส่วนใหญ่ก็จะนึกถึงแต่ Street Food ,ทัชมาฮาล, แม่น้ำคงคา.....แต่เอาจริงๆเราที่เห็นรูปรีวิวที่นี่ครั้งแรกก็ไม่คิดว่าเป็นประเทศอินเดียเหมือนกัน ^-^
"เลห์" เมืองหลวงของแคว้นลาดัก เขตแคชเมียร์ ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศอินเดีย อยู่เหนือระดับน้ำทะเลประมาณ 3500-5500 เมตร ทำให้อากาศที่นี่เบาบางกว่าปกติ คนพื้นราบอย่างพวกเราเสี่ยงต่อการเกิดโรคแพ้ความสูงได้ง่าย เพราะฉะนั้นการเตรียมตัวก่อนไปเที่ยวจึงสำคัญมากๆ...
เราไปช่วงวันที่ 21-28 เม.ย.66 แพลนตามทัวร์เขาจัดให้ (private tour)
Day 1 : BKK - New Delhi
Day 2 : New Delhi - Leh, Leh Palace, Shanti Stupa
Day 3 : Leh to Nubra Valley (ผ่าน Khardungla pass) , Handur Sand Dunes
Day 4 : Nubra Valley to Pangong Tso
Day 5 : Pangong to Leh (Shey Palace, Thiksey Monastry)
Day 6 : Indus and Zanskar River, Magnetic Hill, พักผ่อนในเมือง shopping
Day 7 : กลับสนามบิน Leh-New Delhi
Day 8 : New Delhi - BKK
จริงๆเรากับเพื่อนจะไปตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่ยังไม่พร้อมอะไรหลายอย่าง ต้นปีนี้ก็เลยจองตั๋วไปเลย เดี๋ยวไม่ได้ไปซักที🤣 หาตั๋วนานมาก อยากนั่ง full service เลยได้นั่งการบินไทย ต่อไปเลห์ด้วย Air India (ไม่มีบินตรงไปเลห์ ต้องต่อเครื่องอีก ถ้านั่งสายการบินตามรูทนี้ที่เรานั่งก็ไม่ต้องเปลี่ยน terminal ให้วุ่นวาย)
ไม่หิวเลย แต่กินหมด 55555
เอาจริงตื่นเต้นนะ ไม่ได้ออกไปตปท หลายปี เครื่องดีเลย์ไม่นานเท่าไร ตอนเครื่อง take off เสร็จ คุณพี่ชาวอินเดียกลุ่มนึงก็เฮอย่างดัง 😅 ไอ้เราก็นึกว่าเชียร์บอลไรกันตอนนี้ (เกือบทั้งเครื่องเป็นชาวอินเดีย) ใช้เวลาบินประมาณเกือบ 4ชม. ก็ถึงกรุงนิวเดลีตอนตี1 สนามบินใหญ่มาก เดินเมื่อไรจะถึง ชั้นง่วงแล้วพี่จ๋าาา ไปนั่งรอต่อเครื่องที่ gate อีก4ชม. 🥱
แล้วก็ได้เวลาบินต่อจากนิวเดลี ไป เลห์ ใช้เวลา 1 ชม. เราจะต้องได้เห็นวิว อุตส่าห์จองที่นั่งฝั่งด้านซ้ายติดหน้าต่างมา น้ำตาจะไหล T_T ภูเขาหิมะอลังการมาก สมคำร่ำลือ ไม่ได้อวยเว่อแต่อย่างใด ถ่ายรูปไม่หยุดเลยอ่ะ 555555 กลัวขากลับไม่ได้เห็น (ก็ไม่ได้เห็นจริงๆ สภาพอากาศไม่ดี) พอเครื่องแลนดิ้งปุ๊ป รับกระเป๋า กรอกเอกสารตม.อะไรเสร็จก็ออกไปเจอไกด์ (คุณจิมมี่) กับคุณสแตนซิน สลับกันขับรถ มารับหน้าgate อากาศหนาวมาก แกๆๆๆๆ เราใส่เสื้อยืดข้างใน เอาเสื้อแขนยาวทับแค่นั้นแหละ โคตรจะเตรียมตัว 555555
ขาไปนั่งฝั่งซ้าย ขากลับนั่งฝั่งขวา
วันแรก...ในเมืองเลห์ เข้าที่พัก กินข้าวแล้วไปนอนก่อนเลยอันดับแรก เพราะไม่ได้นอนเลยจ้าาา ตั้งแต่เมื่อวานเกือบ 24 ชม.ได้ไหม จะขิตเอานะ ด้วยอากาศที่เบาบาง สำหรับคนพื้นราบอย่างเรา ไกด์ให้เราไปพักผ่อนเอาแรง เพราะตอนเย็นจะพาไปเดินดูเมืองกับวัดใกล้ๆ
วิวจากที่พัก "Shanti Nest"
:: ที่พักพอเข้ามาแล้วก็ได้กลิ่นเครื่องเทศแรงมาก ^^ เพราะห้องอาหารอยู่ชั้นแรก แล้วสังเกตว่าพนักงานทุกคนเป็นผู้ชาย ไม่มีผู้หญิงเลย (เรียกว่าคัลเจอร์ช็อคได้ไหม) เอาเป็นว่าเดินออกไปไหนก็เจอแต่ผู้ชายอ่ะ...แต่ก็มาคิดๆดู อ่อ สังคมเค้าอะเนอะ ค่านิยมอะไรต่างๆ
SHANTI STUPA
หรือ เจดีย์สันติภาพ นั่งรถไม่ไกลจากที่พัก ประมาณ 15 นาทีก็ถึง ทางเข้าข้างหน้าเหมือนเขากำลังสร้างถนนไม่เสร็จ ระหว่างเดินขึ้นก็มีลมปะทะหน้าเป็นระยะ ยิ่งตกเย็นอากาศยิ่งหนาวววว สังเกตป้ายจะมีภาษาญี่ปุ่นด้วย ต้องมีความเชื่อมโยงอะไรกันแน่ๆ...สรุปจากไกด์เล่าให้ฟัง (ฟังออกบ้างไม่ออกบ้าง) ได้ความว่า มีพระญี่ปุ่นกับพระลามะชาวเลห์เป็นผู้สร้าง เสร็จในปี 1991 เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งสันติภาพ
วิวถ่ายจาก shanti stupa สวยมาก เห็นหมู่บ้านข้างล่างล้อมรอบด้วยภูเขาหิมะ
ตกเย็นไปเดินสำรวจในเมือง อารมณ์ถนนคนเดิน ข้างทางมีคาเฟ่ ร้านหนังสือ ร้านขายของ ... เราไปนั่งพักอยู่คาเฟ่ที่ไกด์แนะนำว่ากาแฟอร่อย แต่เหมือนทุกคนจะกินโกโก้ร้อน 55555 แล้วกลับไปกินอาหารเย็นที่โรงแรม คืนนี้เราต้องเตรียมเสื้อผ้าเพราะพรุ่งนี้เราจะไปค้างที่ Nubra Valley และ Pangong Lake 2วันด้วย
เค้กแครอทที่อร่อยมาก
Momo ไส้ไก่ อารมณ์แบบเกี๊ยวบ้านเรานั่นแหละ
วันแรกในเลห์ช่างยาวนานเหมือนอยู่มาแล้ว 3 วัน แต่จริงๆพึ่งมาถึง
Day 2 :: จากนี้ไปจะเป็นการนั่งรถที่ยาวนาน แล้วต้องผ่าน Khardungla pass ที่อยู่จากระดับน้ำทะเล 5000 กว่าเมตร จริงๆพวกเรากินยา Diamox มาแล้วตั้งแต่ก่อนขึ้นเครื่องที่ไทย วันละครึ่งเม็ด เช้าเย็นทุกวัน เราไม่สามารถรู้ได้ว่าเราจะเป็นโรคแพ้ความสูงหรือเปล่า แต่ตั้งแต่เหยียบเลห์ยังไม่มีใครมีอาการนะ
ไกด์แวะจอดให้ถ่ายรูปก่อน เพราะวิวสวยเกิน เป็นเทือกเขาที่ทอดยาวไม่เห็นที่สิ้นสุด
ห้องน้ำ
ระหว่างรถติดไม่ขยับ เพื่อนก็ออกไปเดินถ่ายรูปนอกรถกัน ข้างนอกหนาว แดดแรง ลมแรงมาก หิมะตกปรอยๆ งงไปหมด
ส่วนเราสู้ไม่ไหว ขอนั่งในรถดีกว่า
มาเที่ยวภูเขาก็ไม่คิดไงว่าจะเจอรถติด ไม่ใช่ติดสัญญาณไฟอะไรนะ ติดหิมะนี่แหละ เขาต้องเคลียร์หิมะก่อนเพราะรถมันไปไม่ได้ ติดกันยาวไปถึงโน่นนนน ไกด์จิมมี่ก็เป็นทั้งคนขับแล้วก็ลงไปช่วยรถคันอื่นขับให้พ้นหิมะอีก ส่วนทางเราคือพอเริ่มติดนาน เพื่อนที่ไปด้วยเริ่มมีอาการแล้ว เวียนหัว หายใจไม่ค่อยทัน ในรถมีแท้งค์ออกซิเจนเลยขอดมซัพพอร์ตสลับกันไป ส่วนเรานั้นรู้สึกง่วงนอนตลอดเวลา 55555 ....แต่อย่าเล่นไป พอขึ้นไปถึงจุดถ่ายรูป เพื่อนนนน เราเหมือนจะหน้ามืดวะ เริ่มวิ้งๆละ ถ่ายไปได้สองรูป ขอเดินกลับรถก่อน หารถก็ไม่เจออีกกกก เราจะล้มตรงนี้โดนหิมะทับตายไม่ได้ 55555 เจอพี่คนขับอีกคน เขาเลยพาเราไปส่งรถ แล้วเพื่อนๆที่เหลือถ่ายรูปเสร็จก็กลับมาในรถ ดมออกซิเจนสลับกันต่อไป นี่พึ่งเคยดมออกซิเจนครั้งแรกในชีวิต มีแต่ให้คนไข้ดม มันก็เย็นๆจมูกแหละ ดมสักพักโอเค บวกกับเรากำลังจะลงจากที่สูงด้วยก็เลยอาการดีขึ้นด้วย
เค้าให้อยู่จุดนี้ไม่นานเพราะอากาศเบาบางมาก เอ่อ...อีกอย่าง อย่าลืมใส่แว่นกันแดดนะ เพราะตาจะบอดเอา
พอลงจากที่สูงสักพัก ไกด์พามาแวะกินข้าวกลางวันก่อน เป็นร้านเล็กๆ local มาก ให้ไกด์สั่งให้ เราไม่ค่อยหิวกันเท่าไร ตอนแรกสั่งแค่แม็กกี้ (น่าจะยี่ห้อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของอินเดีย) 1 ถ้วย ไข่ดาวสองฟอง ชานมอีก2 แก้ว กินไปกินมา เอ้ย...มันอร่อยวะ แม็กกี้กับชานมอร่อยมาก เลยสั่งเพิ่มไปอีก (ไม่หิวเลยเนอะ) 5555
HUNDER SAND DUNES
ก่อนถึง Nubra Valley ระหว่างทางมานี่เวียนหัว แทบอ้วก เพราะโค้งเยอะมาก เราก็ขี้เมารถอยู่แล้วเลยอัดยาแก้เมารถไป หลับไปเลย ตื่นมาก็จะเบลอๆหน่อย ไกด์พามาแวะทะเลทราย ขี่อูฐกันก่อน จริงๆไม่ขึ้นก็ได้แต่มาถึงแล้วอ่ะ ก็ขึ้นเหอะ เราต้องจ่ายค่าขี่อูฐเอง (จำราคาไม่ได้ แต่ไม่แพงนะ) ใช้เวลาไม่นานประมาณ 15-20 นาทีได้ เขาจะแวะให้เราถ่ายรูปหมู่แล้ววนกลับ แต่อูฐเราได้นั่งสภาพมอมแมมมาก มีน้ำลายฟูมปากด้วย ไม่รู้ว่ามันเป็นอะไร ดูป่วยๆ แอบกลัวนิดนึง พอนั่งเสร็จก็ไปนั่งถ่ายรูปตรงเนินทะเลทราย ลมแรงมากก อากาศก็เย็น แต่วิวสวยเพราะล้อมไปด้วยภูเขาหิมะ ไกด์จิมมี่ก็ช่วยถ่ายรูปให้ตลอดเลย
DISKIT GOMPA
เป็นวัดที่ใหญ่และเก่าแก่ที่สุดใน Nubra Valley ... มีทั้งโซนวัดเก่าและวัดใหม่ ส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวจะไปโซนใหม่กัน
พระศรีอาริยเมตไตร
โซนวัดเก่า
ไหว้พระสักแปปก็ต้องรีบกลับที่พัก เพราะเดี๋ยวจะมืดซะก่อน ระหว่างทางกลับไป Nubra Valley พระอาทิตย์เริ่มตก แสงที่กระทบกับภูเขาสวยเหมือนฝันไป
เรื่องเล่าจากเลห์
คงมีใครหลายคนไม่คิดว่าที่นี่คือประเทศอินเดีย 🇮🇳 ส่วนใหญ่ก็จะนึกถึงแต่ Street Food ,ทัชมาฮาล, แม่น้ำคงคา.....แต่เอาจริงๆเราที่เห็นรูปรีวิวที่นี่ครั้งแรกก็ไม่คิดว่าเป็นประเทศอินเดียเหมือนกัน ^-^
"เลห์" เมืองหลวงของแคว้นลาดัก เขตแคชเมียร์ ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศอินเดีย อยู่เหนือระดับน้ำทะเลประมาณ 3500-5500 เมตร ทำให้อากาศที่นี่เบาบางกว่าปกติ คนพื้นราบอย่างพวกเราเสี่ยงต่อการเกิดโรคแพ้ความสูงได้ง่าย เพราะฉะนั้นการเตรียมตัวก่อนไปเที่ยวจึงสำคัญมากๆ...
เราไปช่วงวันที่ 21-28 เม.ย.66 แพลนตามทัวร์เขาจัดให้ (private tour)
Day 1 : BKK - New Delhi
Day 2 : New Delhi - Leh, Leh Palace, Shanti Stupa
Day 3 : Leh to Nubra Valley (ผ่าน Khardungla pass) , Handur Sand Dunes
Day 4 : Nubra Valley to Pangong Tso
Day 5 : Pangong to Leh (Shey Palace, Thiksey Monastry)
Day 6 : Indus and Zanskar River, Magnetic Hill, พักผ่อนในเมือง shopping
Day 7 : กลับสนามบิน Leh-New Delhi
Day 8 : New Delhi - BKK
จริงๆเรากับเพื่อนจะไปตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่ยังไม่พร้อมอะไรหลายอย่าง ต้นปีนี้ก็เลยจองตั๋วไปเลย เดี๋ยวไม่ได้ไปซักที🤣 หาตั๋วนานมาก อยากนั่ง full service เลยได้นั่งการบินไทย ต่อไปเลห์ด้วย Air India (ไม่มีบินตรงไปเลห์ ต้องต่อเครื่องอีก ถ้านั่งสายการบินตามรูทนี้ที่เรานั่งก็ไม่ต้องเปลี่ยน terminal ให้วุ่นวาย)
หรือ เจดีย์สันติภาพ นั่งรถไม่ไกลจากที่พัก ประมาณ 15 นาทีก็ถึง ทางเข้าข้างหน้าเหมือนเขากำลังสร้างถนนไม่เสร็จ ระหว่างเดินขึ้นก็มีลมปะทะหน้าเป็นระยะ ยิ่งตกเย็นอากาศยิ่งหนาวววว สังเกตป้ายจะมีภาษาญี่ปุ่นด้วย ต้องมีความเชื่อมโยงอะไรกันแน่ๆ...สรุปจากไกด์เล่าให้ฟัง (ฟังออกบ้างไม่ออกบ้าง) ได้ความว่า มีพระญี่ปุ่นกับพระลามะชาวเลห์เป็นผู้สร้าง เสร็จในปี 1991 เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งสันติภาพ