จอห์นนี่เป็นนายธนาคารที่ประสบความสำเร็จซึ่งอาศัยอยู่ในซานฟรานซิสโกกับลิซ่าคู่หมั้นของเขา
ชีวิตของทั้งคู่เหมือนจะไปได้ดี แต่ลิซ่า ดันไปหมายตามาร์คเพื่อนสนิทของจอห์นนี่ และแอบไปอ่อยจนทั้งคู่เริ่มมีความสัมพันธ์ลับๆ ..
ขณะเดียวกัน จอห์นนี่เมื่อได้ยินลิซ่าสารภาพว่านอกใจเขากับแม่ของเธอ จอห์นนี่จึงติดเทปบันทึกเสียงไว้กับโทรศัพท์ของพวกเขา
เพื่อหวังว่าจะได้ระบุตัวคนชู้รักรายนี้ด้วยการบันทึกการสนทนาของลิซ่า
จอห์นนี่ เสียใจและซึมเศร้าอย่างยิ่งจนต้องไปขอความช่วยเหลือจากปีเตอร์ เพื่อนของเขาและมาร์คซึ่งเป็นนักจิตวิทยา
เช่นเดียวกับมาร์คก็ไปคุยกับปีเตอร์เช่นกัน มาร์คเล่าให้ปีเตอร์ฟังว่าเขารู้สึกผิดเรื่องชู้สาวกับเพื่อนตัวเอง
และเมื่อปีเตอร์ถามมาร์คว่าเป็นชู้กับลิซ่าหรือไม่ มาร์คโมโหจัดและทำร้ายปีเตอร์ในทันที ..
แต่ไม่เกิน 5 วิ หลังจากนั้น พวกเขาก็คืนดีกันอย่างรวดเร็ว (WTF)
ในงานเลี้ยงวันเกิดสุดเซอร์ไพรส์ของจอห์นนี่ สตีเวนเพื่อนของเขาจับได้ว่าลิซ่าจูบกับมาร์คขณะที่แขกคนอื่นๆ อยู่ข้างนอก..
เมื่อความมันแตกแล้วก็ไม่ต้องไปเกรงใจอะไรกันอีกล่ะ ลิซ่าแสดงความสัมพันธ์ของเธอต่อหน้าจอห์นนี่
ความสัมพันธ์ของเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดระหว่างมาร์คกับจอห์นนี่จบสิ้นลง...
จอห์นนี่หมดอาลัยกับชีวิตขังตัวเอง เสียใจที่แฟนตัวเองมีชู้กับเพื่อนรัก
สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจจบชีวิตตัวเองเพื่อยุติเรื่องทั้งหมดนี้....
The Room เป็นภาพยนตร์ที่ตามพลอตคือโรแมนติกดราม่า เขียนบท ผลิต อำนวยการสร้าง และกำกับโดยทอมมี่ ไวโซ
เรื่องราวความรักสามเส้าระหว่างนายธนาคารผู้น่ารักอย่างจอห์นนี่ (ไวโซ) คู่หมั้นที่หลอกลวงอย่างลิซ่า (แดเนียล)
และมาร์ค (เซสเตโร) เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด สาระสำคัญเอาแค่นี้ก็พอ
จริงๆมีอีกตัวละครที่สำคัญก็คือเดนนี่ เด็กหนุ่มมหาวิทยาลัยที่จอห์นี่ อุปการะไว้ แต่ไม่ต้องพูดถึงก็ได้เพราะไม่รู้มีไว้ทำไมเหมือนกัน 555 ...
ชื่อเรื่อง The Room นั้น ตามที่ไวโซเผยไว้นั้นหมายถึงในสถานที่เดียวกันนั้นเป็นจุดเริ่มต้น
ทั้งเหตุการณ์ทั้งดีและร้ายทั้งหมดสามารถเกิดขึ้นได้ในที่เดียวกัน ซึ่งล้ำลึกมากครับ
ความแปลกประหลาดของหนังเรื่องนี้ถูกถ่ายทอดมาในตัวหนังอย่างต่อเนื่องแทบทุกซีน ไม่ว่าจะเป็น
= อารมณ์ตัวแสดงที่แทบไม่สอดคล้องกับตัวบท
= รูปประโยคที่สุดพิสดาร ซึ่งไม่มีทางเกิดขึ้นแน่ๆ ในชีวิตจริง
= เนื้อหาที่บางทีก็มีขึ้นมาเหมือนว่าจะเป็นอีกเส้นเรื่องที่เพิ่มเติมขึ้นมาได้แต่ก็ไม่มีทางเอ่ยถึงมันอีกเลย
และอีกมากมายที่คุณไม่สามารถหาชมจากหนังเรื่องใดได้อีก ซึ่งถือเป็นการเปิดโลกทัศน์แห่งวงการภาพยนตร์อย่างที่สุดจริงๆ ครับ
(โดยรายละเอียดความแปลกแบบสุดขั้วทั้งหมด ผมคงไม่ขอลงรายละเอียดนะครับ เพราะมันเยอะจริงๆ )
เหตุที่หนังออกมาเป็นแบบนี้ก็เพราะจุดเริ่มนั้นมาจากการที่ ทอมมี่นั้น ไม่เคยมีประสบการณ์ในงานด้านภาพยนตร์มาก่อนเลย
มันมาจากความอยากที่จะทำและจิตวิญญาณของเขาล้วนๆ ดังนั้นทุกอย่างเลยหลุดพ้นจากทุกทฤษฎีในการทำหนังอย่างสิ้นเชิง
ซึ่งจนถึงทุกวันนี้คนก็ยังงงกันอยู่ว่าเขาไปหาเงินทุนมหาศาลถึง 6 ล้านเหรียญฯ มาสร้างหนังได้อย่างไร
เพราะตัวตนความเป็นมาของเขานั้นสับสนมาก บางคนก็บอกว่าเขาทำงานทุกอย่างทั้งขายของที่ระลึกให้นักท่องเที่ยว
ทำงานโรงงาน ร้านอาหาร โรงพยาบาลก็ทำ ถึงขั้นที่ว่าเงินที่ได้มาอาจเป็นเงินผิดกฎหมายและเขาก็สร้างหนังเรื่องนี้มาเพื่อฟอกเงิน!!
ในที่สุด The Room ห้องนี้ก็ถือกำเนิดขึ้นมา พร้อมกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นภาพยนตร์ที่แย่ที่สุดเรื่องหนึ่งที่เคยสร้างมาในโลกใบนี้ ..
อย่างไรก็ตามจากกระแสความแย่แบบสุดขั้ว ก็ทำให้เกิดคลื่นใต้น้ำของเหล่าคนที่ชอบในหนังแปลกที่ไม่เหมือนใครหรือที่เรียกกันว่า “หนังคัลท์”
และความแหวกตรงนี้นี่เองที่ไปเข้าตา เจมส์ ฟรังโก้ ดาราดังฮอลลีวู้ดจนถึงขั้นที่เจ้าตัวทนไม่ไหว
ต้องสร้างหนังที่เผยถึงความเป็นมาของ The Room อย่าง The Disaster Artist ซึ่งประสบความสำเร็จไปทั่วโลก
และแน่นอนว่ามันทำให้ตัวของหนังต้นฉบับกลายเป็นที่พูดถึงและยิ่งทำให้คนต้องย้อนกลับไปหาดูให้ได้เช่นกัน
และที่ผมต้องนำเรื่องนี้มานำเสนอเพราะว่าวันที่ 27 มิถุนายนนี้ คือการครบรอบ 20 ปีที่หนัง The Room ได้ออกฉาย
เท่านั้นยังไม่พอ The Room จะมีเวอร์ชั่นรีเมคให้เราได้ชมกันอีกด้วยซึ่งจะฉายในเดือนหน้านี่ล่ะครับ คือทำฉลอง 20 ปีนี่ล่ะ
นักแสดงเปลี่ยนหน้าใหม่หมด ยกเว้น Greg Sestero ที่รับบทมาร์คเพื่อนสนิททั้งในหนังและชีวิตของทอมมี่ กลับมาเล่นด้วยอีกครั้งในบทเดิม
(แต่ข่าวนี่มันดูลวงๆ ยังไงพิกล 55)
ในความรู้สึกผมถึงแม้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้บท ตัวแสดง หรืออะไรต่อมิอะไรจะออกมาพังขนาดไหนก็ตาม
แต่นั่นก็ทำให้เราได้สัมผัสถึงความตั้งใจของคนคนนึงที่อยากจะสร้างสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้โลกได้จดจำ
เพราะแทบทุกคนที่ชม The Room มีแต่คนยิ้ม เสียงหัวเราะ
ซึ่งตัวผมเองเชื่อว่าหนังที่ดีคือหนังที่ทำให้คนมีความรู้สึกไปกับสิ่งที่กำลังได้ชม ถึงแม้ว่าหนังจะบอกว่าเป็นโรแมนติกดราม่าก็เถอะ
ถึงจะไม่ได้เศร้าไปกับบทหนัง แต่เราก็มีความสุขไปกับมัน ทำให้ได้ใจจดจ่อว่าจะมีอะไรแปลกๆเกิดขึ้นให้เราได้ฮาอีกมั้ย ..
และ The Room ก็ตอบโจทย์ตรงนี้ได้ครบถ้วนทั้งหมด
หนังไม่ดี แต่เป็นหนังที่โลกจำ การที่เราไปบอกว่านี่คือหนังที่แย่ที่สุดในโลกใบนี้ผมว่ามันไม่เป็นธรรมสักเท่าไรนัก..
ศิลปะไม่มีถูกผิด ..เพราะหากหนังมันทำให้เรามีความสุข มีรอยยิ้มและเรียกเสียงหัวเราะได้
ก็ถือว่าตัวเองทอมมี่นั้นได้ทำงานของเขาในฐานะผู้กำกับหนังคนนึงเสร็จสมบูรณ์ที่สุดแล้ว จริงมั้ยครับ ..... Oh Hi Mark ^__^
=== ทิ้งท้ายครับ หนังที่ดีสำหรับตัวเรา แน่นอนว่าอาจจะไม่ได้ดีและไม่ได้ถูกใจสำหรับใคร
ซึ่งอยู่ที่ความชอบของแต่ละบุคคล ภาพยนตร์ก็เหมือนอาหารล่ะครับ อยู่ที่เราเลือกที่จะอยากชิมรสชาติแบบไหนเท่านั้นเอง ===
== The Room (2003) แด่ความรู้สึกดีดี..ที่มีให้กับหนังที่ขึ้นชื่อว่าแย่ที่สุดในโลก.. ==
จอห์นนี่เป็นนายธนาคารที่ประสบความสำเร็จซึ่งอาศัยอยู่ในซานฟรานซิสโกกับลิซ่าคู่หมั้นของเขา
ชีวิตของทั้งคู่เหมือนจะไปได้ดี แต่ลิซ่า ดันไปหมายตามาร์คเพื่อนสนิทของจอห์นนี่ และแอบไปอ่อยจนทั้งคู่เริ่มมีความสัมพันธ์ลับๆ ..
ขณะเดียวกัน จอห์นนี่เมื่อได้ยินลิซ่าสารภาพว่านอกใจเขากับแม่ของเธอ จอห์นนี่จึงติดเทปบันทึกเสียงไว้กับโทรศัพท์ของพวกเขา
เพื่อหวังว่าจะได้ระบุตัวคนชู้รักรายนี้ด้วยการบันทึกการสนทนาของลิซ่า
จอห์นนี่ เสียใจและซึมเศร้าอย่างยิ่งจนต้องไปขอความช่วยเหลือจากปีเตอร์ เพื่อนของเขาและมาร์คซึ่งเป็นนักจิตวิทยา
เช่นเดียวกับมาร์คก็ไปคุยกับปีเตอร์เช่นกัน มาร์คเล่าให้ปีเตอร์ฟังว่าเขารู้สึกผิดเรื่องชู้สาวกับเพื่อนตัวเอง
และเมื่อปีเตอร์ถามมาร์คว่าเป็นชู้กับลิซ่าหรือไม่ มาร์คโมโหจัดและทำร้ายปีเตอร์ในทันที ..
แต่ไม่เกิน 5 วิ หลังจากนั้น พวกเขาก็คืนดีกันอย่างรวดเร็ว (WTF)
ในงานเลี้ยงวันเกิดสุดเซอร์ไพรส์ของจอห์นนี่ สตีเวนเพื่อนของเขาจับได้ว่าลิซ่าจูบกับมาร์คขณะที่แขกคนอื่นๆ อยู่ข้างนอก..
เมื่อความมันแตกแล้วก็ไม่ต้องไปเกรงใจอะไรกันอีกล่ะ ลิซ่าแสดงความสัมพันธ์ของเธอต่อหน้าจอห์นนี่
ความสัมพันธ์ของเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดระหว่างมาร์คกับจอห์นนี่จบสิ้นลง...
จอห์นนี่หมดอาลัยกับชีวิตขังตัวเอง เสียใจที่แฟนตัวเองมีชู้กับเพื่อนรัก
สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจจบชีวิตตัวเองเพื่อยุติเรื่องทั้งหมดนี้....
The Room เป็นภาพยนตร์ที่ตามพลอตคือโรแมนติกดราม่า เขียนบท ผลิต อำนวยการสร้าง และกำกับโดยทอมมี่ ไวโซ
เรื่องราวความรักสามเส้าระหว่างนายธนาคารผู้น่ารักอย่างจอห์นนี่ (ไวโซ) คู่หมั้นที่หลอกลวงอย่างลิซ่า (แดเนียล)
และมาร์ค (เซสเตโร) เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด สาระสำคัญเอาแค่นี้ก็พอ
จริงๆมีอีกตัวละครที่สำคัญก็คือเดนนี่ เด็กหนุ่มมหาวิทยาลัยที่จอห์นี่ อุปการะไว้ แต่ไม่ต้องพูดถึงก็ได้เพราะไม่รู้มีไว้ทำไมเหมือนกัน 555 ...
ชื่อเรื่อง The Room นั้น ตามที่ไวโซเผยไว้นั้นหมายถึงในสถานที่เดียวกันนั้นเป็นจุดเริ่มต้น
ทั้งเหตุการณ์ทั้งดีและร้ายทั้งหมดสามารถเกิดขึ้นได้ในที่เดียวกัน ซึ่งล้ำลึกมากครับ
ความแปลกประหลาดของหนังเรื่องนี้ถูกถ่ายทอดมาในตัวหนังอย่างต่อเนื่องแทบทุกซีน ไม่ว่าจะเป็น
= อารมณ์ตัวแสดงที่แทบไม่สอดคล้องกับตัวบท
= รูปประโยคที่สุดพิสดาร ซึ่งไม่มีทางเกิดขึ้นแน่ๆ ในชีวิตจริง
= เนื้อหาที่บางทีก็มีขึ้นมาเหมือนว่าจะเป็นอีกเส้นเรื่องที่เพิ่มเติมขึ้นมาได้แต่ก็ไม่มีทางเอ่ยถึงมันอีกเลย
และอีกมากมายที่คุณไม่สามารถหาชมจากหนังเรื่องใดได้อีก ซึ่งถือเป็นการเปิดโลกทัศน์แห่งวงการภาพยนตร์อย่างที่สุดจริงๆ ครับ
(โดยรายละเอียดความแปลกแบบสุดขั้วทั้งหมด ผมคงไม่ขอลงรายละเอียดนะครับ เพราะมันเยอะจริงๆ )
เหตุที่หนังออกมาเป็นแบบนี้ก็เพราะจุดเริ่มนั้นมาจากการที่ ทอมมี่นั้น ไม่เคยมีประสบการณ์ในงานด้านภาพยนตร์มาก่อนเลย
มันมาจากความอยากที่จะทำและจิตวิญญาณของเขาล้วนๆ ดังนั้นทุกอย่างเลยหลุดพ้นจากทุกทฤษฎีในการทำหนังอย่างสิ้นเชิง
ซึ่งจนถึงทุกวันนี้คนก็ยังงงกันอยู่ว่าเขาไปหาเงินทุนมหาศาลถึง 6 ล้านเหรียญฯ มาสร้างหนังได้อย่างไร
เพราะตัวตนความเป็นมาของเขานั้นสับสนมาก บางคนก็บอกว่าเขาทำงานทุกอย่างทั้งขายของที่ระลึกให้นักท่องเที่ยว
ทำงานโรงงาน ร้านอาหาร โรงพยาบาลก็ทำ ถึงขั้นที่ว่าเงินที่ได้มาอาจเป็นเงินผิดกฎหมายและเขาก็สร้างหนังเรื่องนี้มาเพื่อฟอกเงิน!!
ในที่สุด The Room ห้องนี้ก็ถือกำเนิดขึ้นมา พร้อมกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นภาพยนตร์ที่แย่ที่สุดเรื่องหนึ่งที่เคยสร้างมาในโลกใบนี้ ..
อย่างไรก็ตามจากกระแสความแย่แบบสุดขั้ว ก็ทำให้เกิดคลื่นใต้น้ำของเหล่าคนที่ชอบในหนังแปลกที่ไม่เหมือนใครหรือที่เรียกกันว่า “หนังคัลท์”
และความแหวกตรงนี้นี่เองที่ไปเข้าตา เจมส์ ฟรังโก้ ดาราดังฮอลลีวู้ดจนถึงขั้นที่เจ้าตัวทนไม่ไหว
ต้องสร้างหนังที่เผยถึงความเป็นมาของ The Room อย่าง The Disaster Artist ซึ่งประสบความสำเร็จไปทั่วโลก
และแน่นอนว่ามันทำให้ตัวของหนังต้นฉบับกลายเป็นที่พูดถึงและยิ่งทำให้คนต้องย้อนกลับไปหาดูให้ได้เช่นกัน
และที่ผมต้องนำเรื่องนี้มานำเสนอเพราะว่าวันที่ 27 มิถุนายนนี้ คือการครบรอบ 20 ปีที่หนัง The Room ได้ออกฉาย
เท่านั้นยังไม่พอ The Room จะมีเวอร์ชั่นรีเมคให้เราได้ชมกันอีกด้วยซึ่งจะฉายในเดือนหน้านี่ล่ะครับ คือทำฉลอง 20 ปีนี่ล่ะ
นักแสดงเปลี่ยนหน้าใหม่หมด ยกเว้น Greg Sestero ที่รับบทมาร์คเพื่อนสนิททั้งในหนังและชีวิตของทอมมี่ กลับมาเล่นด้วยอีกครั้งในบทเดิม
(แต่ข่าวนี่มันดูลวงๆ ยังไงพิกล 55)
ในความรู้สึกผมถึงแม้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้บท ตัวแสดง หรืออะไรต่อมิอะไรจะออกมาพังขนาดไหนก็ตาม
แต่นั่นก็ทำให้เราได้สัมผัสถึงความตั้งใจของคนคนนึงที่อยากจะสร้างสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้โลกได้จดจำ
เพราะแทบทุกคนที่ชม The Room มีแต่คนยิ้ม เสียงหัวเราะ
ซึ่งตัวผมเองเชื่อว่าหนังที่ดีคือหนังที่ทำให้คนมีความรู้สึกไปกับสิ่งที่กำลังได้ชม ถึงแม้ว่าหนังจะบอกว่าเป็นโรแมนติกดราม่าก็เถอะ
ถึงจะไม่ได้เศร้าไปกับบทหนัง แต่เราก็มีความสุขไปกับมัน ทำให้ได้ใจจดจ่อว่าจะมีอะไรแปลกๆเกิดขึ้นให้เราได้ฮาอีกมั้ย ..
และ The Room ก็ตอบโจทย์ตรงนี้ได้ครบถ้วนทั้งหมด
หนังไม่ดี แต่เป็นหนังที่โลกจำ การที่เราไปบอกว่านี่คือหนังที่แย่ที่สุดในโลกใบนี้ผมว่ามันไม่เป็นธรรมสักเท่าไรนัก..
ศิลปะไม่มีถูกผิด ..เพราะหากหนังมันทำให้เรามีความสุข มีรอยยิ้มและเรียกเสียงหัวเราะได้
ก็ถือว่าตัวเองทอมมี่นั้นได้ทำงานของเขาในฐานะผู้กำกับหนังคนนึงเสร็จสมบูรณ์ที่สุดแล้ว จริงมั้ยครับ ..... Oh Hi Mark ^__^
=== ทิ้งท้ายครับ หนังที่ดีสำหรับตัวเรา แน่นอนว่าอาจจะไม่ได้ดีและไม่ได้ถูกใจสำหรับใคร
ซึ่งอยู่ที่ความชอบของแต่ละบุคคล ภาพยนตร์ก็เหมือนอาหารล่ะครับ อยู่ที่เราเลือกที่จะอยากชิมรสชาติแบบไหนเท่านั้นเอง ===