(ชวนวิเคราะห์) ถ้าเรามีมโนมยิทธิ เราสามารถทำบุญในลักษณะใดได้เด่นชัดเพิ่มขึ้น ?

มโนมยิทธิ เป็นญาณอภิญญาลักษณะหนึ่งตามหลักปรัชญาศาสนา ซึ่งบรรดาญาณ,อภิญญา,วิชชา,ฯลฯ นั้นย่อมเป็นปัญญาขั้นสูงในธรรมชาติใดๆโดยเป็นภาวนามยปัญญา หรือปัญญาจากสังขารภายในอันเป็นทิฏฐิจิตใจที่สูงละเอียดอ่อนยิ่ง (หรืออาจถึงขั้นเป็นภาวนามยปัญญาอย่างบริสุทธิ์เที่ยงแท้ ซึ่งเป็นอสังขารธรรมภายในที่สูงละเอียดอ่อนสิ้นเชิงเป็นอนัตตาหรืออนันตาภายใน พ้นจากสังขารตัวตนจิตใจที่เคยเวียนว่ายมีมาแต่ปางใด และจะมีศักยภาพปัญญาญาณในขั้นอนุตระหรือโดยเอนกอนันต์)

การมีมโนมยิทธิและปัญญาจากทิฏฐิจิตใจที่สูงล้ำยิ่งหรือภาวนามยปัญญาใดๆ นั้นจะมีศักยภาพที่เหนือสังกัปปะการคิดวิเคราะห์ที่ดียิ่งหรือเหนือจินตมยปัญญา(ปัญญาค่อนข้างสูงจากวิญญาณ)  ภาวนามยปัญญาจึงสามารถล่วงรู้เข้าถึงข้อเท็จจริงทั่วไปในสังขารธรรมที่ลึกล้ำยิ่งยวดเป็นอวิญญาณหรืออจินไตยได้แล้ว  นอกจากนี้ก็ย่อมมีศักยภาพเหนือปัญญาพื้นฐานของมนุษย์โลกตามหลักอุปาทานความยึดมั่นจดจ่อจดจำหรือสุตตมยปัญญา เหนือปัญญาพื้นฐานยิ่งนับแต่เกิดหรือสัญชาตญาณ ฯลฯ

มโนมยิทธิและภาวนามยปัญญาใดๆ เกิดได้ตามเหตุและปัจจัย

- มโนมยิทธิตามปัจจัย นั้นคือเป็นผลปัจจัย(ผลกรรม)ที่เอื้ออำนวยให้มีธรรมชาติชีวิตที่มีมโนมยิทธิชัดเจน ซึ่งคือการเกิดในภพภูมิขั้นสูงยิ่งในสังขารธรรมที่ย่อมกระทำใดๆได้ตามสังขารจิตใจ(โดยไม่จำเป็นต้องนึกคิดให้เป็นทุกข์ยิ่งขึ้น) และในที่นี้ก็สามารถกระทำสิ่งอันเป็นบุญได้มากมายตามศักยภาพภพภูมิขั้นสูงที่เอื้ออำนวย

เช่น ดำเนินมโนมยิทธิที่เป็นปัตติทานมัย(ทานจากการดำเนินจิตใจที่เอื้อเฟื้อเผื้อแผ่) หรือปัตตานุโมทนามัยในรูปแผ่เมตตาหรือแผ่มุทิตาต่างๆ ที่ช่วยให้ชีวิตที่เกี่ยวข้องบรรเทาทุกข์กายหรือใจได้ชัดเจนโดยตรงจากศักยภาพมโนมยิทธิของภพภูมิขั้นสูง  การให้วิทยาทานมัย,หรือธรรมทาน(ธัมมเทศนามัย),หรือการเรียนรู้อันเป็นธัมมัสสวนมัยใดๆ ได้โดยตรงต่อจิตใจผู้อื่นจากการดำเนินมโนมยิทธิของภพภูมิขั้นสูง   การก่ออัตถจริยา(เวยยาวัจจมัย)เพื่อช่วยสงเคราะห์บรรเทาทุกข์แก่ชีวิตต่างๆหรือเป็นพลีกรรม(พะ-ลี-กำ) ต่อบรรดาสุคติภูมิที่บรรเทาทุกข์หรือสร้างสุขง่ายยิ่งแม้เพียงการก่อมโนกรรมต่อกัน เช่นการดำเนินมโนมยิทธิเพื่อเป็นเทวตาพลี  หรือการดำเนินมโนมยิทธิที่เป็นพลีกรรมละเว้นการก่อทุกข์ต่อทุคติภูมิที่เกิดทุกข์ง่ายยิ่งแม้เพียงการก่อมโนกรรมจากภพภูมิขั้นสูง เช่นการช่วยเหลือเพื่อเป็นเปตตพลี ฯลฯ

- มโนมยิทธิตามเหตุ คือชีวิตในภพภูมิใดที่ดำเนินเหตุจากทิฏฐิจิตใจได้อย่างสูงล้ำละเอียดอ่อนยิ่ง หรือหยุดละเหตุในธรรมอันเป็นกิเลสอวิชชาได้อย่างยิ่ง(มีภาวนาจิตอย่างยิ่ง,ทิฏฐุชุกรรมอย่างยิ่ง,สัมมาทิฏฐิอย่างยิ่ง,จิตอุเบกขาผ่องใสอย่างยิ่ง,ฯลฯ) หรือก็คือการมีอาสวักขยญาณซึ่งเป็นเหตุที่มาของญาณอภิญญาทั้งปวง   ทั้งนี้ผู้มีมโนมยิทธิตามเหตุ หากบำเพ็ญกุศลสงเคราะห์ชีวิตใดนั้นจะขึ้นอยู่กับผลปัจจัยหรือผลกรรมของชีวิตในโลกนั้นๆที่เอื้ออำนวยด้วย โดยอาจมีกรณีที่คล้ายพระปัจเจกพุทธเจ้าที่ไม่เอื้อให้สอนธรรมแก่ชีวิตรอบข้างในโลกปัจจุบันนั้นๆที่ยังขัดข้อง(เป็นนัยยะ,เนยยะ) โดยยังไม่เป็นวินัยยะหรือเวไนย

ในกรณีถ้าเป็นผู้มีมโนมยิทธิในโลกปัจจุบัน อาจปฏิบัติบุญสงเคราะห์ผู้คนบนโลกลักษณะต่างๆ เช่น ดำเนินมโนมยิทธิที่เป็นธัมมเทศนามัยหรือธรรมทานปัจจัยที่ดลใจให้เขาตระหนักคิดในทางดี(แต่ต้องขึ้นอยู่กับเหตุอันเป็นทิฏฐิจิตใจของเขาเป็นสำคัญ)  การดำเนินมโนมยิทธิที่สอนวิทยาทานในใจเขาโดยตรง  การดำเนินมโนมยิทธิที่ดลใจให้ผู้เกี่ยวข้องดำเนินพฤติกรรมในทางดีที่เป็นศีลมัย,หรือทานมัย,หรืออปจายนมัยในรูปกริยาท่าทางที่ดีหรือปิยวาจาที่ดี,หรือมีอัตถจริยาหรือเวยยาวัจจัยมัยในกรณีต่างๆ,ฯลฯ(แต่ต้องขึ้นอยู่กับเหตุอันเป็นทิฏฐิจิตใจของเขาเป็นสำคัญ)  การการดำเนินมโนมยิทธิที่เป็นมโนกรรมปัตติทานมัย หรือเป็นปัตตานุโมทนามัยจากการแผ่เมตตาหรือแผ่มุทิตา นั้นสามารถส่งผลไปสู่สุคติภูมิและทุคติภูมิอันยิ่งในโลกอื่นได้ชัดเจน(แต่ผู้คนทั่วไปในโลกปัจจุบันที่ไม่มีมโนมยิทธิย่อมยังไม่อาจกระทำได้ชัดเจนหรือส่งผลได้เบามาก  นอกจากนี้ชีวิตต่างๆในโลกปัจจุบันก็ยังมีผลกรรมที่มโนมยิทธิทั่วไปไม่อาจสร้างทุกข์หรือบรรเทาทุกข์ได้โดยตรงอีกเช่นกัน แต่ก็มีการก่อกรรมและการรับผลกรรมอันเป็นทุกข์สุขที่ชัดเจนของมนุษย์โลก ซึ่งคือกายกรรมและวจีกรรม) ฯลฯ

กรณีถ้าเป็นมโนมยิทธิของอรหัตผล นั้นจะเป็นอุเบกขาสิ้นเชิงในทุกกรณี ไม่มีมโนกรรมใดๆ ไม่มีอาการทางสังขารจิตใจทั้งปวง ฯลฯ

(ทั้งหมดเป็นข้อเสนอแนะและข้อวิเคราะห์เกี่ยวกับมโนมยิทธิ ที่เชิญชวนผู้อ่านพิจารณาด้วยหลักกาลามสูตรกันไปครับ)


(แก้ไขขนาดตัวหนังสือ)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่