ชีวิตการ้รียนนะคะ
คือมานั่งนึกชีวิตตอนเด็ก พอนึกย้อนไปทีไรจะร้องไห้ทุกที แล้วก็คิดว่า กูนี่มันทนอยู่ได้ไงวะ
บอกก่อนว่าเราเรียนเอกชน เป็นคนเงียบมากๆ มีปัญหาเรื่องมนุษย์สัมพันธ์อยู่แล้ว เช้ายันเย็นไม่ได้เปิดปากพูดเลย
อนุบาล-ประถม ไม่มีเพื่อน ไม่รู้จักชื่อเพื่อนในห้องด้วยซ้ำ เด็กวัยเดียวกันเข้าไม่ได้ เข้าแต่แต่ผู้ใหญ่ มีเพื่อนสนิทเป็นครูประจำชั้นค่ะ พอเริ่มขึ้นประถม มันยิ่งแย่ เราพยายามหาเพื่อน แต่มันมีชนชั้นอ่ะค่ะ เราจะโดนบูลี่ ด่า ดูถูก ตลอด คำพูดจาที่เพื่อนพูดกับเรา คือบอกให้รู้ว่าเราต่ำกว่าเขามาก คนอื่นก็มีโดน บางคนโดนเรื่องตัวดำ บางคนดูจนๆ
-คนเก่ง
-คนเรียนไม่เก่ง
-คนตัวดำ
-คนตัวขาว
มีหลายกลุ่มค่ะ กลุ่มนั้นเหยียดกลุ่มนี้ กลุ่มนั้นจะไม่คุยกลุ่มนี้ อะไรอย่างนี้ค่ะ ตอนนั้นเราก็เฉยๆนะคะ เพราะสังคมเด็กประถมมันแคบ ไม่รู้จักโลก
มัธยมเรียนรัฐบาล เจอศึกใหญ่เลยค่ะ เข้ากับเพื่อนยากมาก เพราะสังคมต่างกันเกินไป ไม่เข้าใจเพื่อน/ครู
เราก็เริ่มพูดนะคะ เพราะคิดว่านี่จะเป็นทางที่เราจะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ แต่การพูดจา ความคิดไม่เหมือนกันอ่ะค่ะ เราคุยแบบนี้ เพื่อนว่าเราขี้อวด สังคมเก่าเป็นเรื่องปกติ เพื่อนอทบทั้งห้องพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ แบบบางคนอ่านไม่ออก เราอึ้งมาก ซึ่งอายุ 13 มันก็น่าจะสื่อสารได้แล้ว เรียนไป 2 ปี เริ่มชิน แต่พูดตรงๆ ไม่ชอบวัฒนธรรม มารยาท และสภาพแวดล้อม โรงเรียนรัฐสกปรกอ่ะ ผู้ชายก็พูดคำหยาบกับผู้หญิง ครูก็ไม่ใส่ใจเด็ก พูดไม่เพราะ แต่ก็ดีกว่าตอนประถมนิดนึง55 เพื่อนๆเค้ารักกันดีอ่ะ ไปไหนไปกัน แคร์กันมาก โรงเรียนเก่าไม่ค่ิยแคร์กันนะถึงเป็นเพื่อนสนิทกัน แต่ก็ไม่ค่อยมีเพื่อนเหมือนเดิม
มปลาย เริ่มกล้าพูด หัวเราะกับเพื่อน ตอนม6 โดนเพื่อนสนิทที่อยู่กันมา 3 ปี ใส่ร้าย เพื่อนในห้องไม่มีใครคุยกับเราเลย มองเราด้วยสายตาที่แหยะ เป็นแบบนั่นประมาณเดือนนึง เพื่อนบางคนมาถาม
มารู้ตอนหลังว่ามันไม่เคยชอบเราเลย “อีนี่น่ะ มันตอ…ย้อมผมสีน้ำตาล” ซึ่งเราผมสีน้ำตาลทองแต่เกิด มันพูดถึงเราสารพัดนะ เพื่ิอนเอามาเล่าให้ฟัง พอเพื่อนเริ่มรู้ความจริง เพื่อนก็เกลียดมันค่ะ
มหาวิทยาลัยเรียนกลับมาเอกชน
อยู่ได้ ไม่โดนบูลี่ ไม่โดนอะไรเลย มีเพื่อนสนิทคนเดียว นอกนั้นไม่เคยคุยกับใครเลย 3 ปี อยู่ดีๆอาการกลัวคนมันกลับมา
ปัจจุบัน ปี3เทอม2ค่ะ มีเพื่อนทั้งห้องเลย ต่างคณะด้วย เพื่อนเยอะมาก ด้วยเหตุที่มีโปรเจ็คถ่ายรายการเยอะ เลยต้องมีทีมงาน ทำงานกันไปสนิทกันไปเอง ดีใจมากที่ผ่านมาได้ และดีใจที่ชีวิตดีขึ้น
ทุกวันนี้เรื่องสังคม มีความสุขที่สุดในชีวิตเลยค่ะ
สังคม/ชีวิตวัยเด็กมีใครคล้ายเราไหม แชร์กัน
คือมานั่งนึกชีวิตตอนเด็ก พอนึกย้อนไปทีไรจะร้องไห้ทุกที แล้วก็คิดว่า กูนี่มันทนอยู่ได้ไงวะ
บอกก่อนว่าเราเรียนเอกชน เป็นคนเงียบมากๆ มีปัญหาเรื่องมนุษย์สัมพันธ์อยู่แล้ว เช้ายันเย็นไม่ได้เปิดปากพูดเลย
อนุบาล-ประถม ไม่มีเพื่อน ไม่รู้จักชื่อเพื่อนในห้องด้วยซ้ำ เด็กวัยเดียวกันเข้าไม่ได้ เข้าแต่แต่ผู้ใหญ่ มีเพื่อนสนิทเป็นครูประจำชั้นค่ะ พอเริ่มขึ้นประถม มันยิ่งแย่ เราพยายามหาเพื่อน แต่มันมีชนชั้นอ่ะค่ะ เราจะโดนบูลี่ ด่า ดูถูก ตลอด คำพูดจาที่เพื่อนพูดกับเรา คือบอกให้รู้ว่าเราต่ำกว่าเขามาก คนอื่นก็มีโดน บางคนโดนเรื่องตัวดำ บางคนดูจนๆ
-คนเก่ง
-คนเรียนไม่เก่ง
-คนตัวดำ
-คนตัวขาว
มีหลายกลุ่มค่ะ กลุ่มนั้นเหยียดกลุ่มนี้ กลุ่มนั้นจะไม่คุยกลุ่มนี้ อะไรอย่างนี้ค่ะ ตอนนั้นเราก็เฉยๆนะคะ เพราะสังคมเด็กประถมมันแคบ ไม่รู้จักโลก
มัธยมเรียนรัฐบาล เจอศึกใหญ่เลยค่ะ เข้ากับเพื่อนยากมาก เพราะสังคมต่างกันเกินไป ไม่เข้าใจเพื่อน/ครู
เราก็เริ่มพูดนะคะ เพราะคิดว่านี่จะเป็นทางที่เราจะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ แต่การพูดจา ความคิดไม่เหมือนกันอ่ะค่ะ เราคุยแบบนี้ เพื่อนว่าเราขี้อวด สังคมเก่าเป็นเรื่องปกติ เพื่อนอทบทั้งห้องพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ แบบบางคนอ่านไม่ออก เราอึ้งมาก ซึ่งอายุ 13 มันก็น่าจะสื่อสารได้แล้ว เรียนไป 2 ปี เริ่มชิน แต่พูดตรงๆ ไม่ชอบวัฒนธรรม มารยาท และสภาพแวดล้อม โรงเรียนรัฐสกปรกอ่ะ ผู้ชายก็พูดคำหยาบกับผู้หญิง ครูก็ไม่ใส่ใจเด็ก พูดไม่เพราะ แต่ก็ดีกว่าตอนประถมนิดนึง55 เพื่อนๆเค้ารักกันดีอ่ะ ไปไหนไปกัน แคร์กันมาก โรงเรียนเก่าไม่ค่ิยแคร์กันนะถึงเป็นเพื่อนสนิทกัน แต่ก็ไม่ค่อยมีเพื่อนเหมือนเดิม
มปลาย เริ่มกล้าพูด หัวเราะกับเพื่อน ตอนม6 โดนเพื่อนสนิทที่อยู่กันมา 3 ปี ใส่ร้าย เพื่อนในห้องไม่มีใครคุยกับเราเลย มองเราด้วยสายตาที่แหยะ เป็นแบบนั่นประมาณเดือนนึง เพื่อนบางคนมาถาม
มารู้ตอนหลังว่ามันไม่เคยชอบเราเลย “อีนี่น่ะ มันตอ…ย้อมผมสีน้ำตาล” ซึ่งเราผมสีน้ำตาลทองแต่เกิด มันพูดถึงเราสารพัดนะ เพื่ิอนเอามาเล่าให้ฟัง พอเพื่อนเริ่มรู้ความจริง เพื่อนก็เกลียดมันค่ะ
มหาวิทยาลัยเรียนกลับมาเอกชน
อยู่ได้ ไม่โดนบูลี่ ไม่โดนอะไรเลย มีเพื่อนสนิทคนเดียว นอกนั้นไม่เคยคุยกับใครเลย 3 ปี อยู่ดีๆอาการกลัวคนมันกลับมา
ปัจจุบัน ปี3เทอม2ค่ะ มีเพื่อนทั้งห้องเลย ต่างคณะด้วย เพื่อนเยอะมาก ด้วยเหตุที่มีโปรเจ็คถ่ายรายการเยอะ เลยต้องมีทีมงาน ทำงานกันไปสนิทกันไปเอง ดีใจมากที่ผ่านมาได้ และดีใจที่ชีวิตดีขึ้น
ทุกวันนี้เรื่องสังคม มีความสุขที่สุดในชีวิตเลยค่ะ