วีระ จับโกหก ‘เรืองไกร’ ปมเบนซ์หรู เคยสัมภาษณ์ ‘ผู้ใหญ่ใจดีซื้อให้’ แต่ให้ปากคำป.ป.ช. ‘เมียซื้อให้’
‘วีระ’ จับโกหก ‘เรืองไกร’ ปมเบนซ์หรู เคยสัมภาษณ์ ‘ผู้ใหญ่ใจดีซื้อให้’ แต่ให้ปากคำป.ป.ช. ‘เมียซื้อให้’
จากกรณีที่นาย
วีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชัน สมาชิกพรรคเสรีรวมไทย เคยยื่นป.ป.ช. ขอให้ตรวจสอบนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) และสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) กรณีรับแคชเชียร์ จำนวน 25 ล้านบาท รวมถึงรถเมอร์เซเดสเบนซ์ รุ่น S 560 จากผู้ใหญ่ใจดีที่ซื้อให้
เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน นาย
วีระ โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก “
Veera Somkwamkid” ระบุว่า
ช่วยกันแชร์ออกไปให้มากที่สุด!
หลักฐานจับโกหก หรือใบเสร็จที่เชื่อว่านายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ได้รถเบนซ์หรูจากผู้ใหญ่คนหนึ่ง กรณีนายเรืองไกร โกหกสังคม หลังจากทราบว่านายวีระ สมความคิด ไปแจ้ง ป.ป.ช. ให้ตรวจสอบ โดยโกหกว่าผู้ใหญ่ใจดี ที่ให้รถเบนซ์หรู คือเมียตัวเอง นั้น
วันนี้จะนำข่าวที่เผยแพร่ต่อสาธารณะเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2564 ที่สำคัญ เป็นการให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนของนายเรืองไกรเอง ก่อนที่นายวีระ สมความคิด จะนำกรณีดังกล่าวไปยื่นเรื่องกล่าวหาต่อ ป.ป.ช. ในวันที่ 29 กรกฎาคม 2564 นายเรืองไกร พูดผูกมัดตัวเองก่อนที่จะถูกนายวีระยื่นให้ ป.ป.ช. ตรวจสอบ ถึง 10 วัน ตรงนี้นี่คือใบเสร็จหรือคำสารภาพของเรืองไกรทั้งหมด
หลักฐาน ที่เชื่อว่านายเรืองไกรได้รถเบนซ์หรูจากผู้ใหญ่คนหนึ่ง ไม่ใช่เมียเป็นคนซื้อให้ก็คือ “นายเรืองไกรได้ให้สัมภาษณ์ในรายการเจาะลึกทั่วไทย บอกว่า ความจริงอยากได้เงินสด เงินก้อน (เอ่ยถึงหลัก 30 ล้านบาท) แต่ผู้ใหญ่เขาให้รถแทน ให้ในโอกาสวันเกิด 60 ปี และมีงานร่วมกัน” (ตรงนี้สำคัญ เรืองไกร ยืนยันเองว่า ทำงานร่วมกับผู้ใหญ่ ต้องหาคำตอบต่อไปว่า เรืองไกรไปทำงานให้ผู้ใหญ่ชื่ออะไร ไปทำงานรับใช้เรื่องอะไร ผู้ใหญ่จึงตอบแทน ด้วยการให้รถเบนซ์หรู)
นายเรืองไกร ยังบอกต่อไปอีกว่า “ผู้ใหญ่คนดังกล่าวบอก เงินก้อน ยังไม่ได้หรอก ยังเคลียร์ตัวเลขไม่เสร็จเลย (ต้องตรวจสอบต่อไปว่า ยังเคลียร์ตัวเลขไม่เสร็จ นั้น หมายถึงเรื่องอะไร เกี่ยวกับอะไร อาจจะหมายถึง ตัวเลขที่เกี่ยวกับการพิจารณาเพิ่มหรือลดงบประมาณแผ่นดิน ปี 2565 ซึ่งนายเรืองไกร กำลังทำหน้าที่ กรรมาธิการวิสามัญอยู่ ใช่หรือไม่)”
และหลักฐานที่ทำให้เชื่อว่าผู้ใหญ่ใจดีนั้น ไม่ใช่เมียของนายเรืองไกร ก็คือ นายเรืองไกรพูดเองว่า “ผู้ใหญ่คนดังกล่าว ใหญ่กว่านายทักษิณ ชินวัตร พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และใหญ่กว่า พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นคนที่นายเรืองไกร กลัวมากกว่าคนอื่นที่เอ่ยมา และเมียที่แต่งงานด้วยเสียอีก” (ชัดเจนนะครับ เรืองไกร ยืนยันเอง เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2564 ว่า กลัวผู้ใหญ่ที่ให้รถเบนซ์หรู มากกว่าเมียที่แต่งงานด้วยเสียอีก ดังนั้น ผู้ใหญ่ที่ให้รถเบนซ์หรูคันดังกล่าว จึงไม่ใช่เมียที่แต่งงานด้วยอย่างแน่นอน)
และนายเรืองไกร ยังตบท้ายอีกว่า “ก่อนจะขอตัดบทไป เพราะทางผู้ใหญ่ได้ส่งไลน์ มาต่อว่าในเรื่องการโพสต์นี้” (ตรงนี้ก็ยิ่งยืนยันให้เชื่อได้ว่า ผู้ใหญ่คนดังกล่าว ไม่ใช่เมียของนายเรืองไกร อย่างแน่นอน )
เป็นอย่างไรครับ ชัดเจนไหมครับ ว่านายเรืองไกร พูดโกหกต่อสังคมมาโดยตลอด หลังจากวันที่ 29 กรกฎาคม 2564 เป็นต้นมา โดยที่ตัวเอง จำไม่ได้ว่าก่อนหน้านั้น ในวันที่ 19 กรกฎาคม 2564 ตัวเขาได้เคยให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับกรณีนี้กับสื่อมวลชนไว้ว่าอย่างไร เรื่องนี้จบแล้วนะครับ จบแล้วจริงๆ จับโกหก เรื่องไกร ได้อย่างไม่ต้องแถอีกต่อไป
นอกจากนี้นาย
วีระ ยังโพสต์ใต้คอมเมนต์ว่า “
ไปฟัง เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ยืนยันและสารภาพว่า ผู้ใหญ่ใจดีที่ให้ทั้งตังและให้ทั้งรถ ไม่ใช่เมียที่แต่งงานด้วย การให้สัมภาษณ์ของ เรืองไกร อยู่ในช่วงท้ายของรายการ ตั้งแต่นาทีที่ 1.08.45 น. เป็นต้นไป ตั้งใจฟังกันเอาเอง แล้วพิพากษาคดีนี้ได้เลย
ขณะที่
สฤณี อาชวานันทกุล นักวิชาการอิสระด้านเศรษฐศาสตร์ แชร์โพสต์ของนายวีระมาที่เฟซบุ๊กส่วนตัว ”
Sarinee Achavanuntakul – สฤณี อาชวานันทกุล” พร้อมกับเขียนข้อความระบุว่า “
นี่ก็น่าติดตาม ”
https://www.facebook.com/SarineeA/posts/826715722157450
‘หมอชัย’ ซัด ‘หมูเถื่อน’ สะท้อนความด้อยประสิทธิภาพรัฐบาล-หน่วยงานรัฐ
https://www.dailynews.co.th/news/2439965/
"หมอชัย" ซัดปัญหาเรื้อรัง "หมูเถื่อน" สะท้อนความด้อยประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมายของรัฐบาล-หน่วยงานรัฐ การปราบปรามให้ราบคาบเป็นบททดสอบที่หมูที่สุดแล้ว ในการประเมินขีดความสามารถการบริหารแผ่นดิน หาก "เพื่อไทย" เข้ามารับผิดชอบจะสาธิตให้ดู!
เมื่อวันที่ 15 มิ.ย. 66 นาย
ชัย วัชรงค์ หรือ “
หมอชัย” นักวิชาการทางด้านการเกษตรสมัยใหม่ ในฐานะคณะกรรมการทางด้านเศรษฐกิจ พรรคเพื่อไทย ได้เปิดเผยผ่านทางเฟซบุ๊ก เกี่ยวกับปัญหาเรื่องหมูเถื่อนที่ลักลอบเข้ามาในประเทศไทยนั้น เป็นปัญหาเรื้อรังที่เกิดขึ้นมาเป็นปีแล้ว และเป็นปัญหาใหญ่ที่ไม่เพียงแต่กระทบต่อสุขภาพและความปลอดภัยของประชาชนเท่านั้น แต่มันยังมีผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อการทำลายอาชีพของเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรในประเทศ ถือเป็นภัยต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ
การที่ปัญหาใหญ่ระดับนี้ถูกปล่อยให้มีสภาพเรื้อรังมานับปีเช่นนี้ ย่อมสะท้อนให้เห็นถึงความด้อยประสิทธิภาพอย่างยิ่งในการบังคับใช้กฎหมายของรัฐบาลและหน่วยงานของรัฐ ความล่าช้าในการดำเนินคดี เพื่อสืบสวนสอบสวนขยายผลเอาผิดกับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ทั้งๆ ที่มีหลักฐานการกระทำความผิดที่ชัดแจ้งโจ๋งครึ่มขนาดนั้น ย่อมทำให้ประชาชนมองออกว่า ต้องมีขบวนการสมคบคิดกันเพื่อปกป้องผู้กระทำความผิดอย่างไร้ยางอายแน่นอน
นอกจากหมูเถื่อนที่ลักลอบนำเข้ามาจากบราซิลและสเปน จำนวน 161 ตู้ ที่ค้างเติ่งอยู่ที่ท่าเรือแหลมฉบัง จนถึงปัจจุบันเวลาผ่านมาเนิ่นนานแล้ว ก็ยังไม่ได้ถูกทำลายทิ้ง และผู้กระทำผิดก็ยังคงลอยนวลอยู่ ยังมีเรื่องบัดซบที่เกิดขึ้นในท้องที่ สภ.เมืองนครปฐม ที่เจ้าหน้าที่กรมปศุสัตว์ ได้เข้าไปตรวจค้นที่ห้องเย็นแห่งหนึ่ง พบเนื้อหมูเถื่อนจำนวน 59,089 กิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 28 มิ.ย. 65 ผ่านการแจ้งความลงบันทึกประจำวันที่ สภ.เมืองนครปฐม มาแล้ว 5 ครั้ง ตั้งแต่ลงบันทึกการยึดอายัดของกลาง ไปจนถึงการแจ้งเพื่อเข้ายึดของกลาง การถูกขัดขวางจากเจ้าของห้องเย็นและบรรดาลูกสมุน
ครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 25 ม.ค. 66 เป็นการร้องทุกข์กล่าวโทษว่าถูกขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ในการเข้าไปที่ห้องเย็น เพื่อนำของกลางที่อายัดเอาไว้ไปทำลาย ความผิดซึ่งๆ หน้าเจ้าหน้าที่เช่นนี้ กลับไม่ได้รับการจัดการตามกฎหมาย เรื่องถูกปล่อยทิ้งไว้นานถึงสี่เดือนครึ่ง จนถึงวันที่ 8 มิ.ย. 66 ทาง สภ.เมืองนครปฐม เพิ่งจะมีหนังสือไปเรียกเจ้าหน้าที่กองสารวัตรฯ กรมปศุสัตว์ ไปให้ปากคำเพิ่มเติม ป่านนี้ของกลางจะยังอยู่ให้เห็นหน้าหรือไม่ เจ้าหน้าที่จงใจละเว้นการปฏิบัติหน้าที่เพื่อเอื้อประโยชน์แก่พวกพ้องหรือไม่ ทำไมคนเหล่านี้จึงกล้าบังอาจละเมิดกฎหมายบ้านเมืองกันอย่างโจ๋งครึ่มขนาดนั้น
ปัญหาเรื่องหมูเถื่อนนี้ เป็นเรื่องที่ไม่มีอะไรสลับซับซ้อนมากเลย หลักฐานการกระทำความผิดก็ชัดแจ้งขนาดนั้น ถ้าจะจัดการลากคอคนกระทำผิดมาลงโทษให้ได้ ก็น่าจะใช้เวลาไม่เกินหนึ่งสัปดาห์ก็น่าจะได้ตัว หากปัญหานี้ไม่ได้รับการแก้ไขให้เด็ดขาดภายในสิ้นเดือน มิ.ย. นี้ คนที่ต้องรับผิดชอบก็คงหนีไม่พ้นเจ้าหน้าที่รัฐ ตั้งแต่ระดับนายกรัฐมนตรี (ในฐานะกำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ) ลงมาจนถึง ผบ.ตร.-ผบช.ภาค7-ผบก.ตร.นครปฐม-ผกก.สภ.เมืองนครปฐม รวมถึงเจ้าหน้าที่กรมศุลกากรที่เกี่ยวข้องทุกคน
“
การปราบปรามปัญหาหมูเถื่อนให้ราบคาบ เป็นบททดสอบที่หมูที่สุดแล้วในการประเมินขีดความสามารถในการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลนี้ หากพรรคเพื่อไทยได้เข้ามารับผิดชอบในเรื่องนี้ จะสาธิตให้ดูว่า การบริหารราชการแผ่นดินที่ดีมีประสิทธิภาพ โปร่งใสและเป็นธรรมนั้น เขาต้องทำกันอย่างไร” นาย
ชัย ระบุ
“พิธา” ร่วมวงภาคเอกชน-ประชาสังคมเชียงใหม่ ถกปัญหา pm2.5
https://www.innnews.co.th/news/politics/news_567775/
“พิธา” ร่วมวงภาคเอกชน-ประชาสังคมเชียงใหม่ ถกปัญหา pm2.5-การท่องเที่ยว พร้อมดันเชียงใหม่เป็นที่ตั้งศูนย์ปฏิบัติการอาเซียนร่วมแก้ปัญหาฝุ่นระดับภาค พร้อมดันการท่องเที่ยวด้วย พ.ร.บ.โฮมเสตย์-แก้ปัญหา ส.ป.ก.กว่าแสนไร่เปิดทางผู้ประกอบการรายเล็ก
วันนี้ (15 มิ.ย. 66) นาย
พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล พร้อมด้วย นาย
เดชรัต สุขกำเนิด ผู้อำนวยการศูนย์นโยบายของพรรคก้าวไกล เดินสายพบปะกลุ่มภาคประชาสังคมและภาคเอกชนหลากหลายกลุ่มใน จ.เชียงใหม่ เพื่อรับฟังปัญหา ข้อคิดเห็น และข้อเสนอแนะด้านนโยบาย โดยช่วงเช้าเข้าประชุมร่วมกับกลุ่มสภาลมหายใจ หารือเรื่องปัญหาฝุ่นควัน pm2.5 ตามด้วยการประชุมร่วมกันภาคเอกชนด้านการท่องเที่ยวในช่วงบ่าย
ในวงประชุมด้านฝุ่น pm2.5 นาย
พิธาได้กล่าวสรุปถึงแนวนโยบายของพรรคก้าวไกล โดยระบุว่าปัญหาฝุ่น pm2.5 ทำให้เรื่องเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมกลายเป็นเรื่องเดียวกัน มีสามสถาบันวิจัยเป็นอย่างน้อยที่คำนวณมูลค่าผลกระทบทางเศรษฐกิจจากฝุ่น pm2.5 ออกมาแตกต่างกันบ้าง แต่เฉลี่ยคืออยู่ที่หลักหมื่นกว่าล้านบาท แต่ที่ผ่านมางบประมาณการแก้ไขปัญหานี้เป็นเบี้ยหัวแตก
หน่วยงานทั้งราชการและท้องถิ่นต่างคนต่างมีงบประมาณก้อนเล็กก้อนน้อย รวมกันมีเพียงแค่ 85 ล้านบาท สำหรับการแก้ปัญหาหลักหมื่นล้านบาท และประสบการณ์ที่ผ่านมาก็ชี้ให้เราเห็นแล้ว ว่าการจัดสรรงบประมาณแบบเก่าๆ ไปแก้ความท้าทายใหม่ๆ อย่างไรก็แก้ปัญหาไม่ได้ ส่วนกฎหมายที่มีอยู่ก็ติดขัดเรื่องโครงสร้างอำนาจ เช่น การที่อธิบดีกรมควบคุมมลพิษไม่มีอำนาจในการสั่งการให้ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องยุติหรือชะลอกิจกรรมที่ก่อให้เกิดฝุ่น ได้เพียงขอความร่วมมือเท่านั้น
ดังนั้น นโยบายของรัฐบาลก้าวไกลต่อปัญหาฝุ่น pm2.5 จะแบ่งเป็นสามระดับ คือระดับนานาชาติ ระดับประเทศ และระดับท้องถิ่น อันดับแรกระดับนานาชาติ อาเซียนเคยออกข้อตกลงที่เกี่ยวข้องกับอากาศไว้แล้วตั้งแต่ปี 2004 แต่ไม่เคยมีการใช้จริง และขณะนี้ก็มีความพยายามจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการ ASEAN Haze Pollution Center ขึ้นมาแต่ยังหาที่ตั้งไม่ได้ ซึ่งรัฐบาลก้าวไกลจะเสนอให้นำศูนย์ปฏิบัติการนี้มาไว้ที่เชียงใหม่ เพื่อใช้กลไกอาเซียนพร้อมกับการพูดคุยร่วมกับประเทศเพื่อนบ้าน ไปผลักดันการแก้ปัญหาร่วมกันในระดับภูมิภาคต่อไป
ส่วนในระดับประเทศ ฝุ่น pm2.5 ในแต่ละพื้นที่มีความแตกต่างกันอยู่มาก เข่น ที่สระบุรี มาจากการทำเหมือง ที่สมุทรปราการ มาจากโรงงาน ที่เชียงใหม่ มาจากการเกษตรทั้งในประเทศและข้ามแดน ที่กรุงเทพ มาจากคมนาคมและการก่อสร้าง บทเรียนคือเราจะตัดเสื้อโหลตัวเดียวใช้ทั้งประเทศไม่ได้ การออกแบบนโยบายแก้ปัญหาแต่ละพื้นที่จะต้องสอดรับกับบริบทที่แตกต่างกันไปตรงนี้ด้วย
ส่วนในระดับท้องถิ่น จะเห็นได้ว่าที่ผ่านมางบประมาณท้องถิ่นในการแก้ปัญหานี้น้อยมาก ท้องถิ่นเองไม่มีเครื่องมือและอุปกรณ์ในการแก้ปัญหา คนที่มีเครื่องมือในการแก้ปัญหาก็กลับไม่ได้เป็นคนแก้ การกระจายงบประมาณลงมาให้กับกลไกท้องถิ่น จะทำให้คนที่อยู่ใกล้ชิดกับปัญหาที่สุดได้มีเครื่องมือในการแก้ปัญหานี้ได้
JJNY : 5in1 จับโกหก‘เรืองไกร’│‘หมอชัย’ซัด‘หมูเถื่อน’│“พิธา”ถกปัญหา pm2.5│ต่างชาติชะลอลงทุน│ธุรกิจเตือนเอลนีโญ ไร้ผลผลิต
‘วีระ’ จับโกหก ‘เรืองไกร’ ปมเบนซ์หรู เคยสัมภาษณ์ ‘ผู้ใหญ่ใจดีซื้อให้’ แต่ให้ปากคำป.ป.ช. ‘เมียซื้อให้’
จากกรณีที่นายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชัน สมาชิกพรรคเสรีรวมไทย เคยยื่นป.ป.ช. ขอให้ตรวจสอบนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) และสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) กรณีรับแคชเชียร์ จำนวน 25 ล้านบาท รวมถึงรถเมอร์เซเดสเบนซ์ รุ่น S 560 จากผู้ใหญ่ใจดีที่ซื้อให้
เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน นายวีระ โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก “Veera Somkwamkid” ระบุว่า
ช่วยกันแชร์ออกไปให้มากที่สุด!
หลักฐานจับโกหก หรือใบเสร็จที่เชื่อว่านายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ได้รถเบนซ์หรูจากผู้ใหญ่คนหนึ่ง กรณีนายเรืองไกร โกหกสังคม หลังจากทราบว่านายวีระ สมความคิด ไปแจ้ง ป.ป.ช. ให้ตรวจสอบ โดยโกหกว่าผู้ใหญ่ใจดี ที่ให้รถเบนซ์หรู คือเมียตัวเอง นั้น
วันนี้จะนำข่าวที่เผยแพร่ต่อสาธารณะเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2564 ที่สำคัญ เป็นการให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนของนายเรืองไกรเอง ก่อนที่นายวีระ สมความคิด จะนำกรณีดังกล่าวไปยื่นเรื่องกล่าวหาต่อ ป.ป.ช. ในวันที่ 29 กรกฎาคม 2564 นายเรืองไกร พูดผูกมัดตัวเองก่อนที่จะถูกนายวีระยื่นให้ ป.ป.ช. ตรวจสอบ ถึง 10 วัน ตรงนี้นี่คือใบเสร็จหรือคำสารภาพของเรืองไกรทั้งหมด
หลักฐาน ที่เชื่อว่านายเรืองไกรได้รถเบนซ์หรูจากผู้ใหญ่คนหนึ่ง ไม่ใช่เมียเป็นคนซื้อให้ก็คือ “นายเรืองไกรได้ให้สัมภาษณ์ในรายการเจาะลึกทั่วไทย บอกว่า ความจริงอยากได้เงินสด เงินก้อน (เอ่ยถึงหลัก 30 ล้านบาท) แต่ผู้ใหญ่เขาให้รถแทน ให้ในโอกาสวันเกิด 60 ปี และมีงานร่วมกัน” (ตรงนี้สำคัญ เรืองไกร ยืนยันเองว่า ทำงานร่วมกับผู้ใหญ่ ต้องหาคำตอบต่อไปว่า เรืองไกรไปทำงานให้ผู้ใหญ่ชื่ออะไร ไปทำงานรับใช้เรื่องอะไร ผู้ใหญ่จึงตอบแทน ด้วยการให้รถเบนซ์หรู)
นายเรืองไกร ยังบอกต่อไปอีกว่า “ผู้ใหญ่คนดังกล่าวบอก เงินก้อน ยังไม่ได้หรอก ยังเคลียร์ตัวเลขไม่เสร็จเลย (ต้องตรวจสอบต่อไปว่า ยังเคลียร์ตัวเลขไม่เสร็จ นั้น หมายถึงเรื่องอะไร เกี่ยวกับอะไร อาจจะหมายถึง ตัวเลขที่เกี่ยวกับการพิจารณาเพิ่มหรือลดงบประมาณแผ่นดิน ปี 2565 ซึ่งนายเรืองไกร กำลังทำหน้าที่ กรรมาธิการวิสามัญอยู่ ใช่หรือไม่)”
และหลักฐานที่ทำให้เชื่อว่าผู้ใหญ่ใจดีนั้น ไม่ใช่เมียของนายเรืองไกร ก็คือ นายเรืองไกรพูดเองว่า “ผู้ใหญ่คนดังกล่าว ใหญ่กว่านายทักษิณ ชินวัตร พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และใหญ่กว่า พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นคนที่นายเรืองไกร กลัวมากกว่าคนอื่นที่เอ่ยมา และเมียที่แต่งงานด้วยเสียอีก” (ชัดเจนนะครับ เรืองไกร ยืนยันเอง เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2564 ว่า กลัวผู้ใหญ่ที่ให้รถเบนซ์หรู มากกว่าเมียที่แต่งงานด้วยเสียอีก ดังนั้น ผู้ใหญ่ที่ให้รถเบนซ์หรูคันดังกล่าว จึงไม่ใช่เมียที่แต่งงานด้วยอย่างแน่นอน)
และนายเรืองไกร ยังตบท้ายอีกว่า “ก่อนจะขอตัดบทไป เพราะทางผู้ใหญ่ได้ส่งไลน์ มาต่อว่าในเรื่องการโพสต์นี้” (ตรงนี้ก็ยิ่งยืนยันให้เชื่อได้ว่า ผู้ใหญ่คนดังกล่าว ไม่ใช่เมียของนายเรืองไกร อย่างแน่นอน )
เป็นอย่างไรครับ ชัดเจนไหมครับ ว่านายเรืองไกร พูดโกหกต่อสังคมมาโดยตลอด หลังจากวันที่ 29 กรกฎาคม 2564 เป็นต้นมา โดยที่ตัวเอง จำไม่ได้ว่าก่อนหน้านั้น ในวันที่ 19 กรกฎาคม 2564 ตัวเขาได้เคยให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับกรณีนี้กับสื่อมวลชนไว้ว่าอย่างไร เรื่องนี้จบแล้วนะครับ จบแล้วจริงๆ จับโกหก เรื่องไกร ได้อย่างไม่ต้องแถอีกต่อไป
นอกจากนี้นายวีระ ยังโพสต์ใต้คอมเมนต์ว่า “ไปฟัง เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ยืนยันและสารภาพว่า ผู้ใหญ่ใจดีที่ให้ทั้งตังและให้ทั้งรถ ไม่ใช่เมียที่แต่งงานด้วย การให้สัมภาษณ์ของ เรืองไกร อยู่ในช่วงท้ายของรายการ ตั้งแต่นาทีที่ 1.08.45 น. เป็นต้นไป ตั้งใจฟังกันเอาเอง แล้วพิพากษาคดีนี้ได้เลย
https://www.facebook.com/SarineeA/posts/826715722157450
‘หมอชัย’ ซัด ‘หมูเถื่อน’ สะท้อนความด้อยประสิทธิภาพรัฐบาล-หน่วยงานรัฐ
https://www.dailynews.co.th/news/2439965/
"หมอชัย" ซัดปัญหาเรื้อรัง "หมูเถื่อน" สะท้อนความด้อยประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมายของรัฐบาล-หน่วยงานรัฐ การปราบปรามให้ราบคาบเป็นบททดสอบที่หมูที่สุดแล้ว ในการประเมินขีดความสามารถการบริหารแผ่นดิน หาก "เพื่อไทย" เข้ามารับผิดชอบจะสาธิตให้ดู!
เมื่อวันที่ 15 มิ.ย. 66 นายชัย วัชรงค์ หรือ “หมอชัย” นักวิชาการทางด้านการเกษตรสมัยใหม่ ในฐานะคณะกรรมการทางด้านเศรษฐกิจ พรรคเพื่อไทย ได้เปิดเผยผ่านทางเฟซบุ๊ก เกี่ยวกับปัญหาเรื่องหมูเถื่อนที่ลักลอบเข้ามาในประเทศไทยนั้น เป็นปัญหาเรื้อรังที่เกิดขึ้นมาเป็นปีแล้ว และเป็นปัญหาใหญ่ที่ไม่เพียงแต่กระทบต่อสุขภาพและความปลอดภัยของประชาชนเท่านั้น แต่มันยังมีผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อการทำลายอาชีพของเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรในประเทศ ถือเป็นภัยต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ
การที่ปัญหาใหญ่ระดับนี้ถูกปล่อยให้มีสภาพเรื้อรังมานับปีเช่นนี้ ย่อมสะท้อนให้เห็นถึงความด้อยประสิทธิภาพอย่างยิ่งในการบังคับใช้กฎหมายของรัฐบาลและหน่วยงานของรัฐ ความล่าช้าในการดำเนินคดี เพื่อสืบสวนสอบสวนขยายผลเอาผิดกับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ทั้งๆ ที่มีหลักฐานการกระทำความผิดที่ชัดแจ้งโจ๋งครึ่มขนาดนั้น ย่อมทำให้ประชาชนมองออกว่า ต้องมีขบวนการสมคบคิดกันเพื่อปกป้องผู้กระทำความผิดอย่างไร้ยางอายแน่นอน
นอกจากหมูเถื่อนที่ลักลอบนำเข้ามาจากบราซิลและสเปน จำนวน 161 ตู้ ที่ค้างเติ่งอยู่ที่ท่าเรือแหลมฉบัง จนถึงปัจจุบันเวลาผ่านมาเนิ่นนานแล้ว ก็ยังไม่ได้ถูกทำลายทิ้ง และผู้กระทำผิดก็ยังคงลอยนวลอยู่ ยังมีเรื่องบัดซบที่เกิดขึ้นในท้องที่ สภ.เมืองนครปฐม ที่เจ้าหน้าที่กรมปศุสัตว์ ได้เข้าไปตรวจค้นที่ห้องเย็นแห่งหนึ่ง พบเนื้อหมูเถื่อนจำนวน 59,089 กิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 28 มิ.ย. 65 ผ่านการแจ้งความลงบันทึกประจำวันที่ สภ.เมืองนครปฐม มาแล้ว 5 ครั้ง ตั้งแต่ลงบันทึกการยึดอายัดของกลาง ไปจนถึงการแจ้งเพื่อเข้ายึดของกลาง การถูกขัดขวางจากเจ้าของห้องเย็นและบรรดาลูกสมุน
ครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 25 ม.ค. 66 เป็นการร้องทุกข์กล่าวโทษว่าถูกขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ในการเข้าไปที่ห้องเย็น เพื่อนำของกลางที่อายัดเอาไว้ไปทำลาย ความผิดซึ่งๆ หน้าเจ้าหน้าที่เช่นนี้ กลับไม่ได้รับการจัดการตามกฎหมาย เรื่องถูกปล่อยทิ้งไว้นานถึงสี่เดือนครึ่ง จนถึงวันที่ 8 มิ.ย. 66 ทาง สภ.เมืองนครปฐม เพิ่งจะมีหนังสือไปเรียกเจ้าหน้าที่กองสารวัตรฯ กรมปศุสัตว์ ไปให้ปากคำเพิ่มเติม ป่านนี้ของกลางจะยังอยู่ให้เห็นหน้าหรือไม่ เจ้าหน้าที่จงใจละเว้นการปฏิบัติหน้าที่เพื่อเอื้อประโยชน์แก่พวกพ้องหรือไม่ ทำไมคนเหล่านี้จึงกล้าบังอาจละเมิดกฎหมายบ้านเมืองกันอย่างโจ๋งครึ่มขนาดนั้น
ปัญหาเรื่องหมูเถื่อนนี้ เป็นเรื่องที่ไม่มีอะไรสลับซับซ้อนมากเลย หลักฐานการกระทำความผิดก็ชัดแจ้งขนาดนั้น ถ้าจะจัดการลากคอคนกระทำผิดมาลงโทษให้ได้ ก็น่าจะใช้เวลาไม่เกินหนึ่งสัปดาห์ก็น่าจะได้ตัว หากปัญหานี้ไม่ได้รับการแก้ไขให้เด็ดขาดภายในสิ้นเดือน มิ.ย. นี้ คนที่ต้องรับผิดชอบก็คงหนีไม่พ้นเจ้าหน้าที่รัฐ ตั้งแต่ระดับนายกรัฐมนตรี (ในฐานะกำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ) ลงมาจนถึง ผบ.ตร.-ผบช.ภาค7-ผบก.ตร.นครปฐม-ผกก.สภ.เมืองนครปฐม รวมถึงเจ้าหน้าที่กรมศุลกากรที่เกี่ยวข้องทุกคน
“การปราบปรามปัญหาหมูเถื่อนให้ราบคาบ เป็นบททดสอบที่หมูที่สุดแล้วในการประเมินขีดความสามารถในการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลนี้ หากพรรคเพื่อไทยได้เข้ามารับผิดชอบในเรื่องนี้ จะสาธิตให้ดูว่า การบริหารราชการแผ่นดินที่ดีมีประสิทธิภาพ โปร่งใสและเป็นธรรมนั้น เขาต้องทำกันอย่างไร” นายชัย ระบุ
“พิธา” ร่วมวงภาคเอกชน-ประชาสังคมเชียงใหม่ ถกปัญหา pm2.5
https://www.innnews.co.th/news/politics/news_567775/
“พิธา” ร่วมวงภาคเอกชน-ประชาสังคมเชียงใหม่ ถกปัญหา pm2.5-การท่องเที่ยว พร้อมดันเชียงใหม่เป็นที่ตั้งศูนย์ปฏิบัติการอาเซียนร่วมแก้ปัญหาฝุ่นระดับภาค พร้อมดันการท่องเที่ยวด้วย พ.ร.บ.โฮมเสตย์-แก้ปัญหา ส.ป.ก.กว่าแสนไร่เปิดทางผู้ประกอบการรายเล็ก
วันนี้ (15 มิ.ย. 66) นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล พร้อมด้วย นายเดชรัต สุขกำเนิด ผู้อำนวยการศูนย์นโยบายของพรรคก้าวไกล เดินสายพบปะกลุ่มภาคประชาสังคมและภาคเอกชนหลากหลายกลุ่มใน จ.เชียงใหม่ เพื่อรับฟังปัญหา ข้อคิดเห็น และข้อเสนอแนะด้านนโยบาย โดยช่วงเช้าเข้าประชุมร่วมกับกลุ่มสภาลมหายใจ หารือเรื่องปัญหาฝุ่นควัน pm2.5 ตามด้วยการประชุมร่วมกันภาคเอกชนด้านการท่องเที่ยวในช่วงบ่าย
ในวงประชุมด้านฝุ่น pm2.5 นายพิธาได้กล่าวสรุปถึงแนวนโยบายของพรรคก้าวไกล โดยระบุว่าปัญหาฝุ่น pm2.5 ทำให้เรื่องเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมกลายเป็นเรื่องเดียวกัน มีสามสถาบันวิจัยเป็นอย่างน้อยที่คำนวณมูลค่าผลกระทบทางเศรษฐกิจจากฝุ่น pm2.5 ออกมาแตกต่างกันบ้าง แต่เฉลี่ยคืออยู่ที่หลักหมื่นกว่าล้านบาท แต่ที่ผ่านมางบประมาณการแก้ไขปัญหานี้เป็นเบี้ยหัวแตก
หน่วยงานทั้งราชการและท้องถิ่นต่างคนต่างมีงบประมาณก้อนเล็กก้อนน้อย รวมกันมีเพียงแค่ 85 ล้านบาท สำหรับการแก้ปัญหาหลักหมื่นล้านบาท และประสบการณ์ที่ผ่านมาก็ชี้ให้เราเห็นแล้ว ว่าการจัดสรรงบประมาณแบบเก่าๆ ไปแก้ความท้าทายใหม่ๆ อย่างไรก็แก้ปัญหาไม่ได้ ส่วนกฎหมายที่มีอยู่ก็ติดขัดเรื่องโครงสร้างอำนาจ เช่น การที่อธิบดีกรมควบคุมมลพิษไม่มีอำนาจในการสั่งการให้ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องยุติหรือชะลอกิจกรรมที่ก่อให้เกิดฝุ่น ได้เพียงขอความร่วมมือเท่านั้น
ดังนั้น นโยบายของรัฐบาลก้าวไกลต่อปัญหาฝุ่น pm2.5 จะแบ่งเป็นสามระดับ คือระดับนานาชาติ ระดับประเทศ และระดับท้องถิ่น อันดับแรกระดับนานาชาติ อาเซียนเคยออกข้อตกลงที่เกี่ยวข้องกับอากาศไว้แล้วตั้งแต่ปี 2004 แต่ไม่เคยมีการใช้จริง และขณะนี้ก็มีความพยายามจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการ ASEAN Haze Pollution Center ขึ้นมาแต่ยังหาที่ตั้งไม่ได้ ซึ่งรัฐบาลก้าวไกลจะเสนอให้นำศูนย์ปฏิบัติการนี้มาไว้ที่เชียงใหม่ เพื่อใช้กลไกอาเซียนพร้อมกับการพูดคุยร่วมกับประเทศเพื่อนบ้าน ไปผลักดันการแก้ปัญหาร่วมกันในระดับภูมิภาคต่อไป
ส่วนในระดับประเทศ ฝุ่น pm2.5 ในแต่ละพื้นที่มีความแตกต่างกันอยู่มาก เข่น ที่สระบุรี มาจากการทำเหมือง ที่สมุทรปราการ มาจากโรงงาน ที่เชียงใหม่ มาจากการเกษตรทั้งในประเทศและข้ามแดน ที่กรุงเทพ มาจากคมนาคมและการก่อสร้าง บทเรียนคือเราจะตัดเสื้อโหลตัวเดียวใช้ทั้งประเทศไม่ได้ การออกแบบนโยบายแก้ปัญหาแต่ละพื้นที่จะต้องสอดรับกับบริบทที่แตกต่างกันไปตรงนี้ด้วย
ส่วนในระดับท้องถิ่น จะเห็นได้ว่าที่ผ่านมางบประมาณท้องถิ่นในการแก้ปัญหานี้น้อยมาก ท้องถิ่นเองไม่มีเครื่องมือและอุปกรณ์ในการแก้ปัญหา คนที่มีเครื่องมือในการแก้ปัญหาก็กลับไม่ได้เป็นคนแก้ การกระจายงบประมาณลงมาให้กับกลไกท้องถิ่น จะทำให้คนที่อยู่ใกล้ชิดกับปัญหาที่สุดได้มีเครื่องมือในการแก้ปัญหานี้ได้