รู้ได้อย่างไรว่าได้ “ฌาน” ได้ “ญาณ” แล้ว???
เมื่อนักปฏิบัติเจริญ สมถสมาธิและวิปัสสนา จนจิตเข้าถึงสภาวะ “ฌาน” หรือ “ญาณ” ครั้งแรกจะเกิดสภาวะธรรมปรากฏให้เห็นเด่นชัดจนน่าอัศจรรย์ใจ ตัวอย่างเช่น เกิดปีติ น้ำตาไหล ขนลุกขนผอง ตัวขยาย ตัวลอยได้ ตัวขยายใหญ่ ซาบซ่านทั้งกาย เป็นอาการที่เกิดขึ้นกับกายจริงๆ น้ำตาไหลเหมือนคนร้องไห้จริงๆ ขนลุกจริงๆ ตัวลอยได้จริงๆ ซาบซ่านทั้งกายจริงๆ
หรือ อาการสุขที่ใจ ย่อมเกิดสุขมากจริงๆ จนสุขใดในโลกก็ไม่อาจเทียบได้
หรือ เอกัคตา จะเห็นจิตตังมั่นเด่นชัดจริงๆ
หรือเมื่อเกิด “ญาณ” เช่น ปฏิบัติจนเห็น จิตแยกออกมาจากกาย เกิดปัญญาว่า จิต ไม่ใช่ กาย และเราก็ไม่ใช่จิต คนละส่วนกัน ในสภาะนั้น จะเห็นทั้งจิต และ กาย และผู้รู้ (ผู้ดู) ก็เห็นจริงๆ
ไม่ใช่การมานั่งคิดเอา ลังเลสงสัย เพราะสภาวะธรรมปรากฏชัดเจนแล้วที่จิต
รู้ได้อย่างไรว่าได้ “ฌาน” ได้ “ญาณ” แล้ว???
เมื่อนักปฏิบัติเจริญ สมถสมาธิและวิปัสสนา จนจิตเข้าถึงสภาวะ “ฌาน” หรือ “ญาณ” ครั้งแรกจะเกิดสภาวะธรรมปรากฏให้เห็นเด่นชัดจนน่าอัศจรรย์ใจ ตัวอย่างเช่น เกิดปีติ น้ำตาไหล ขนลุกขนผอง ตัวขยาย ตัวลอยได้ ตัวขยายใหญ่ ซาบซ่านทั้งกาย เป็นอาการที่เกิดขึ้นกับกายจริงๆ น้ำตาไหลเหมือนคนร้องไห้จริงๆ ขนลุกจริงๆ ตัวลอยได้จริงๆ ซาบซ่านทั้งกายจริงๆ
หรือ อาการสุขที่ใจ ย่อมเกิดสุขมากจริงๆ จนสุขใดในโลกก็ไม่อาจเทียบได้
หรือ เอกัคตา จะเห็นจิตตังมั่นเด่นชัดจริงๆ
หรือเมื่อเกิด “ญาณ” เช่น ปฏิบัติจนเห็น จิตแยกออกมาจากกาย เกิดปัญญาว่า จิต ไม่ใช่ กาย และเราก็ไม่ใช่จิต คนละส่วนกัน ในสภาะนั้น จะเห็นทั้งจิต และ กาย และผู้รู้ (ผู้ดู) ก็เห็นจริงๆ
ไม่ใช่การมานั่งคิดเอา ลังเลสงสัย เพราะสภาวะธรรมปรากฏชัดเจนแล้วที่จิต