JJNY : 5in1 ปริญญาชี้ไร้สาระ│“ไพศาล”เตือนเตรียมเงิบ│พิธาจ่อเช็กบิลตู่│“ประเสริฐ”เผยแนวโน้มดี│นักร้องเมียนมา เสียชีวิต

กกต.เลิกบ้าจี้ได้แล้ว ปริญญา แนะยกคำร้องทั้ง ‘หุ้นพิธา-การ์ตูนค้อนเคียว’ ชี้ไร้สาระ
https://www.khaosod.co.th/election-2023/news_7705437
 
 
ปริญญา แนะ กกต.เลิกบ้าจี้ ควรยกคำร้องทั้ง‘หุ้นพิธา-ค้อนเคียว’ ชี้จะไปล้มล้างการปกครองได้อย่างไร เผยข้อกฎหมาย สละมรดกเท่ากับยังไม่เป็นเจ้าของตั้งแต่ต้น
 
เมื่อวันที่ 8 มิ.ย.2566 นายปริญญา เทวานฤมิตรกุล ผู้อำนวยการศูนย์นิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวในรายการ “อยากมีเรื่องคุย” ของ ข่าวสดออนไลน์ ถึงกรณีคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีหนังสือให้พรรคก้าวไกลชี้แจงเรื่องค้อนเคียว ที่ปรากฏอยู่ในภาพการ์ตูนหาเสียงของพรรค ว่า มีนักร้องไปร้อง เรื่องนี้ กกต.ควรไม่รับคำร้อง เพราะสิ่งที่ปรากฏมันไม่ใช่โลโก้ของพรรค มันอยู่ในการ์ตูนหาเสียงของผู้สมัครส.ส.บัญชีรายชื่อ และถึงจะเป็นโลโก้พรรคก็ไม่ได้หมายถึงคอมมิวนิสต์ ไปดูค้อนเคียวมีการนำมาใช้อย่างหลากหลาย เช่น สร.รฟท.ก็มีใช้ค้อนเคียว พรรคคอมมิวนิสต์หลายพรรคในหลายประเทศก็ไม่ใช้ค้อนเคียวเป็นโลโก้
 
ดังนั้น ค้อนเคียวจึงไม่ได้แปลว่าเป็นคอมมิวนิสต์ และไม่ได้ล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขของไทย
 
กรณีพรรคก้าวไกลไม่ใช่โลโก้พรรค แค่รูปอันหนึ่งอยู่ในโปสเตอร์ กกต.ไม่ควรบ้าจี้ การ์ตูนรูปค้อนเคียวจะไปล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยได้อย่างไร ต้องเป็นการกระทำถึงจะล้มล้างการปกครอง ผมเห็นว่าเรื่องนี้ กกต.ควรยกคำร้อง แล้วรีบมาทำหน้าที่ของตัวเอง ประกาศรับรองส.ส. บ้านเมืองจะได้เดินหน้าต่อ” นายปริญญา กล่าว
 
นายปริญญา กล่าวต่อว่า อย่าไปคิดว่าค้อนเคียวคือการล้มล้างระบอบการปกครอง แต่การยึดอำนาจเป็นการใช้กำลังล้มล้างรัฐธรรมนูญ หรือพรรคการเมืองที่หาเสียงอ้างสถาบันแล้วเอามาโจมตีพรรคอื่น นี่แหละเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข ทำให้การเมืองกระทบกระทั่งไปถึงสถาบัน
 
ตนคิดว่า กกต.เรื่องใหญ่คือจัดเลือกตั้งเที่ยงธรรมและรวดเร็ว และควรรับรองส.ส.โดยเร็ว ไม่ต้องรอให้ครบ 60 วัน ตนคิดว่าไม่เกิน 14 มิ.ย.ควรจะประกาศผลแล้ว อย่างน้อย 95 เปอร์เซ็นต์ เพื่อให้เดินหน้าต่อไปได้
 
ส่วนกรณีการถือหุ้นไอทีวีของ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลนั้น นายปริญญา กล่าวว่า ความจริงเรื่องหุ้นของนายพิธา มันไม่มีสาระเลย โดยเฉพะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ การสละมรดกเท่ากับมีผลย้อนหลังถึงวันที่เจ้าของมรดกตาย ผู้รับมรดกไม่ถือเป็นเจ้าของที่แท้จริงตั้งแต่ต้นเพราะยังไม่ได้แบ่ง จึงควรยกคำร้องเรื่องหุ้น แนวคำวินิจฉัยของศาลฎีกา ต่อให้ฟื้นคืนชีพไอทีวีขึ้นมา ก็มีกรณี นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ มีเป็นบรรทัดฐานอยู่แล้ว
 
ดังนั้น กรณีนายพิธา มีหุ้นแค่ 0.0035 เปอร์เซ็นต์ มรดกก็ยังไม่ได้แบ่ง เมื่อสละไปแล้วก็มีผลย้อนหลัง ดังนั้น กกต.ยกคำร้องได้เลย


  
“ไพศาล” ยัน ไอทีวีไม่ใช่สื่อ ใช้สอย “พิธา” ไม่ได้ เตือนเตรียมเงิบกันได้แล้ว
https://www.matichon.co.th/politics/news_4018963

“ไพศาล” ยัน ไอทีวีไม่ใช่สื่อ ใช้สอย “พิธา” ไม่ได้ เตือนเตรียมเงิบกันได้แล้ว
 
เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน นายไพศาล พืชมงคล อดีตที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความเกี่ยวกับเรื่องหุ้นไอทีวี โดยมีรายละเอียดว่า 
 
“เรื่องหุ้น itv ประเด็นชี้ขาดเรื่องหนึ่งคือ itv เป็นสื่อและทำธุรกิจสื่อหรือไม่?
 
1. ตั้งร้านชื่อรุ่งฟ้าอาภรณ์ แต่ที่ทำคือขายข้าวมันไก่ ร้านนี้ เป็นร้านข้าวมันไก่ ทำการขายข้าวมันไก่ จึงไม่ใช่ร้านตัดเสื้อผ้าฉันใด itv ก็ฉันนั้น
 
2. ไอทีวีเป็นสื่อประเภทวิทยุโทรทัศน์ จะทำธุรกิจได้ต้องอาศัยปัจจัยสำคัญ 2 อย่าง คือใบอนุญาตให้ประกอบกิจการโทรทัศน์วิทยุ และคลื่นสัญญาณวิทยุโทรทัศน์ ซึ่งเป็นของรัฐ ถ้าไม่มีสองสิ่งนี้แล้ว ก็ทำธุรกิจสื่อไม่ได้
 
3. ไอทีวีทำสัญญาร่วมการงานกับรัฐคือสำนักปลัดสำนักนายกทำธุรกิจสื่อวิทยุโทรทัศน์ จึงได้รับอนุญาตให้ทำวิทยุโทรทัศน์ และคลื่นสัญญาณจากทางราชการ
 
4. ต่อมาสำนักนายก ได้ยกเลิกสัญญาร่วมการงาน และยึดเอาคลื่นวิทยุสัญญาณ กลับมาเป็นของรัฐทำให้ itv ทำสื่อไม่ได้ และเลิกทำสื่อตั้งแต่บัดนั้น เรียกว่า itv จอดำตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา โดยไม่ได้ทำธุรกิจอื่นใดอีก ความเป็นสื่อและการประกอบธุรกิจสื่อจึงสิ้นสุดลงตั้งแต่เกือบ 20 ปีที่ผ่านมาแล้ว!!!!

5. ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา itv ก็ไม่ได้ทำธุรกิจสื่อใดๆอีกเลย จึงไม่ได้เป็นสื่อและไม่ได้ทำธุรกิจสื่อด้วย

6. ไอทีวีได้ดำเนินคดีเรียกค่าเสียหายจากสำนักปลัดสำนักนายก จึงยังเลิกบริษัทไม่ได้ เพราะรอรับค่าเสียหาย และชนะคดีตลอดมา ซึ่งศาลฎีกาจะตัดสินคดีในที่สุดในไม่กี่วันข้างหน้านี้ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ไอทีวีมีรายได้ จากดอกเบี้ยของเงินฝาก และมีค่าเช่า จากการนำเอาอุปกรณ์ให้เช่า ซึ่งไม่ใช่กิจการสื่อ
 
ดังนั้นตั้งแต่ 20 ปีที่ผ่านมา ไอทีวีจึงไม่ใช่สื่อ และไม่ได้ประกอบธุรกิจสื่อ และไม่ได้ทำธุรกิจใดๆ
 
ดังนั้น หุ้นของ itv จึงไม่ต้องห้ามผู้สมัครรับเลือกตั้งที่จะถือหุ้นดังกล่าว ต่อให้ใครถือหุ้น itv สักเท่าใดก็ไม่ผิด ไม่ขาดคุณสมบัติในการเลือกตั้ง
เมื่อประเด็นสำคัญนี้ ยุติว่าไอทีวีไม่ใช่สื่อแล้ว ไม่ได้ประกอบธุรกิจสื่อแล้ว ก็สอยนายพิธา ไม่ได้
 
เงิบๆๆๆ”
 
https://www.facebook.com/Paisal.Fanpage/posts/pfbid02MKegSpb73k7n6RqWqceWzfpFpnNGvShk2C4NJhVFwtMnYVoay16stYRDDehyvky2l
 


พิธา จ่อเช็กบิลยุคลุงตู่ ไม่ห่วงนับผลเลือกตั้งใหม่
https://www.innnews.co.th/news/politics/news_564146/
 
‘พิธา’ พบ องค์กรต่อต้านคอร์รัปชันประเทศไทย ACT พร้อมเดินหน้าประชุม กมธ.งบฯ แบบเปิดเผย ให้สื่อเข้าไลฟ์สดได้ จ่อเช็คบิลยุคลุงตู่ ไม่หวั่น กกต.สั่งนับคะแนนใหม่ 47 หน่วย พร้อมเลือกตั้งซ่อม โวได้มากกว่าเดิม
  
นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล พร้อมว่าที่ ส.ส.พรรคก้าวไกล อาทิ นายรังสิมันต์ โรม นายปกรณ์วุฒิ พิพัฒน์สกุล นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ และนายพริษฐ์ วัชรสินธุ เดินทางเข้าพบ นายวิเชียร พงศธร ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่น (ประเทศไทย) หรือ ACT เพื่อพูดคุยหารือแลกเปลี่ยนนโยบายต่อต้านคอร์รัปชัน
 
ทั้งนี้ ภายหลังหารือนานกว่า 2 ชั่วโมง นายพิธา ยืนยันว่า พรรคก้าวไกลมีความตั้งใจในการสร้างการร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนในการต่อต้านคอร์รัปชัน เพื่อแก้ไขปัญหาดัชนีคอร์รัปชัน ซึ่งพรรคก้าวไกลมีแผนการดำเนินงาน ทั้งระยะสั้น และระยะยาว รวมถึงระยะเร่งด่วน โดยเฉพาะการบริหารงานในภาครัฐที่จะใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ หรือ AI เข้ามาขับเคลื่อน รวมทั้งโครงการจัดซื้อจัดจ้าง ที่จะต้องตรวจสอบได้ ซึ่งกลไกลเหล่านี้จะทำให้การต่อต้านคอร์รัปชัน เป็นไปในเชิงรุกมากขึ้น เพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ และศึกษาความจำเป็นในการแก้ไขกฎหมายที่เป็นอุปสรรคทำให้เกิดคอร์รัปชัน เพราะยิ่งมีกฎหมายมาก มีขั้นตอนการขออนุญาต การใช้ดุลยพินิจมาก ก็จะเป็นช่องทางทำให้เกิดการทุจริต ดังนั้น จึงมีความจำเป็นที่ต้องลดขั้นตอนการขออนุญาต การใช้ดุลยพินิจลง เพื่อลดปัญหาดังกล่าว
  
นายพิธา ยังยืนยันด้วยว่า พรรคก้าวไกล พร้อมสนับสนุนข้อเสนอขององค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน ในการเปิดเผยข้อมูลบางประการที่รัฐบาลชุดที่ผ่านมาไม่ยอมเปิดเผย เพื่อให้มีการตรวจสอบโดยภาคประชาชน เพื่อความโปร่งใส รวมถึงการเปิดเผยข้อมูลอื่น ๆ ให้มีความโปร่งใส เช่น การเปิดระบบรัฐสภา การถ่ายทอดสดการประชุมกรรมาธิการการพิจารณางบประมาณฯ งบประมาณของกระทรวงกลาโหมที่สามารถเปิดเผยได้ และข้อมูลอื่น ๆ ที่ในอดีตเป็นความลับ แต่สามารถเปิดเผยได้ รัฐบาลพรรคก้าวไกล พร้อมเปิดเผย เพื่อให้เป็นไปอย่างโปร่งใส
 
ส่วนที่มีโครงการไหนของรัฐบาลชุดที่แล้ว (พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา) ที่จะนำมาตรวจสอบหรือเช็คบิลนั้น นายพิธา กล่าวว่า จากการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เห็นว่า น่าจะมีเรื่องทุจริตคอรัปชั่น ปีละ 4-5 เรื่องหรือ ตลอด 4ปี ประมาณ 20 เรื่อง รวมทั้งรถไฟฟ้าสายสีส้ม ก็จะได้กลับไปตามเรื่องต่อ หลังจากที่ยื่นต่อป.ป.ชไปแล้ว ทั้งนี้ การตรวจสอบ
 
จะเป็นการสร้างระบบที่ยุติธรรมทั้งกับรัฐบาลชุดก่อน และรัฐบาลของตน เพื่อกลับมาตรวจสอบตน คงไม่ใช่เรื่องส่วนตัว ไม่ใช่ว่าเรื่องของการชำระแค้น ลดระบบการใช้ดุลยพินิจของรัฐและการผูกขาดเพื่อความโปร่งใส เปิดให้ติดตามการตรวจสอบ
  
สำหรับแนวโน้ม จะดำเนินการกับองค์กรอิสระ ที่ถูกมองว่าเป็นแดนสนธยามีความโปร่งใสหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า หลายองค์กรในองค์กรอิสระไม่ได้อิสระจริง เพราะมาจากการแต่งตั้ง จึงเห็นว่ากรรมการในองค์กรอิสระควรจะมาจากการเลือกตั้งและเรื่องนี้เป็น 1ใน 300นโยบาย ของรัฐบาลใหม่ที่จะต้องทำ ซึ่งย้ำว่า แนวคิดของเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องส่วนตัวหรือรายบุคคล แต่เป็นเรื่องของที่มาที่ไปและการใช้อำนาจ โดยคณะกรรมการจะต้องมีที่มา หลากหลาย มีคนนอกเป็นส.ส.ทั้งฝ่ายค้าน และรัฐบาลเพื่อให้มีความเป็นกลางมากที่สุด รับรองคนที่จะมาเป็นองค์กรอิสระ ซึ่งตรงนี้จะต้องแก้ไขกฎหมาย
   
ด้าน ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่น (ประเทศไทย) ยินดีที่พรรคก้าวไกลให้ความสำคัญ มีเจตจำนงค์อย่างมุ่งมั่น และจริงจัง หาทางแก้ไขปัญหาคอร์รัปชัน พร้อมเชื่อว่า บทบาทของพรรคการเมือง มีความสำคัญที่จะสะท้อนความจริงจังในการต่อต้านคอร์รัปชัน ซึ่งองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน ได้มีการหารือร่วมกับพรรคก้าวไกลในหลายประเด็น ในการแก้ไขปัญหาทุจริตในหลายวงการ และความจำเป็นในการมีเครื่องมือในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยเฉพาะการสร้างเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน และภาคประชาชน พร้อมยอมรับว่า องค์กรต่อต้านคอร์รัปชันฯ มีความคาดหวังทางการเมืองว่า เรื่องการทุจริตของประเทศไทยจะถูกแก้ไข ทั้งเรื่องเล็กน้อย อย่างค่าน้ำร้อน-น้ำชา และเรื่องใหญ่ ที่กระทบต่องบประมาณของประเทศ และขอให้สังคม และภาคประชาชน ได้ร่วมกันติดตาม และเชื่อมโยงกับภาคส่วนอื่นๆ ร่วมมือกัน เพื่อมีเจตจำนงร่วมกันแก้ไขปัญหาดังกล่าว
 
ส่วนกรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีคำสั่งให้นับคะแนนการเลือกตั้งใหม่ใน 47 หน่วยการเลือกตั้ง นายพิธา กล่าวว่า ตามหลักปฏิบัติแล้ว กกต.ควรตรวจสอบตั้งแต่เนิ่นๆ แต่พรรคก้าวไกล ไม่รู้สึกกังวลต่อการประกาศนับคะแนนใหม่ เพราะเชื่อว่าจะมีภาคประชาชน ที่บันทึกหลักฐานการตรวจนับคะแนนไว้แล้ว มาร่วมตรวจสอบย้อนกลับด้วย และหาก กกต.ระบุหน่วยเลือกตั้งที่ต้องมีการนับคะแนนใหม่ ภาคประชาชนก็น่าจะร่วมตรวจสอบอีกครั้ง พร้อมยืนยันว่า พรรคก้าวไกล ไม่กังวลว่าจะถูกวินิจฉัยว่า ทุจริตการเลือกตั้ง หรือหากมีความจำเป็นต้องมีการเลือกตั้งใหม่ในหน่วยใด พรรคก้าวไกลก็พร้อมสู้ และเชื่อว่า หากมีการนับใหม่ พรรคก้าวไกล ก็น่าจะได้เพิ่มมากขึ้น ขณะเดียวกัน นายพิธา ยอมรับว่า กังวลเรื่องบัตรโหลตั้งแต่ก่อนเลือกตั้งที่อาจพิมพ์บัตรเกินกว่าจำนวนผู้มาใช้สิทธิ์ ซึ่งอาจเป็นที่มาของการที่ กกต.สั่งตรวจนับคะแนนใหม่ครั้งนี้หรือไม่
 
นอกจากนี้ นายพิธา ยังชี้แจงถึงกรณีที่นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการองค์กรพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เอาผิดฐานมีส่วนในการสนับสนุนการโฆษณาสุราว่า เจตนาการกล่าวถึงสุรานั้น เนื่องจากเป็นการตอบคำถามสื่อมวลชน และส่วนตัวก็รู้สึกดีใจที่มีผู้ไปร้องเรียน เพื่อให้สังคมได้ตั้งคำถามต่อการห้ามการโฆษณาสุราว่า มีความเหมาะสมหรือไม่ โดยเฉพาะในช่วงโควิด-19 ที่ผ่านมา ที่สุราพื้นบ้านได้รับผลกระทบไปด้วย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่