[CR] No.37 การหนี ไม่ใช่ความกลัว แต่ เป็นความกล้า ที่เรียกหาอิสรภาพ


อามินได้เล่าชีวิตในวัยเด็กของเขากับจิตแพทย์ โดยเริ่มต้นจากเด็กชายคนหนึ่งที่อาศัยอยู่ในคาบูร์ ประเทศอัฟกานิสถาน และ ได้พบเจอกับเหตุการณ์จากสงครามกลางเมืองจนทำให้ครอบครัวของเขาต้องระหกระเหินจากบ้านเกิดและได้สถานะเป็นผู้ลี้ภัยในประเทศรัสเซียและในละแวกยุโรป ซึ่งตลอดชีวิตของเขาได้แสวงหาสถานที่ที่ให้ความปลอดภัย และ ให้อิสรภาพโดยที่เขาสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้โดยไม่ต้องหนีหัวซุกหัวซนไปไหนอีกแล้ว ขอแค่เพียงพอจะทำให้เขาเรืยกมันอีกครั้งว่า ‘บ้าน’

ระยะเวลา 1 ชั่วโมง 29 นาที ความรู้สึกของผมเหมือนนั่งดู  Animation สัมภาษณ์เรื่องราวของผู้ลี้ภัยคนหนึ่งโดยมีฉากหลังเป็นสงครามการเมืองมากกว่าความเป็น Document สารคดีเชิงความรู้วิชาการทั่วไป นอกจากนี้ตัวหนังยังสามารถก้าวข้ามขีดจำกัดใน Genre เดียวกันได้มากกว่าจะเป็น Animation โลกสวยแบบ Disney หรือ ฟรุ๊งฟริ๊งแบบ DreamWorks ขณะเดียวกัน Timeline ระหว่างทางจะตัดสลับไปมาระหว่างช่วงวัยเด็กกับวัยผู้ใหญ่ของอามีนค่อนข้างสับสนเป็นบางช่วงจนเผลองีบไปบ้าง แต่ก็ยังสามารถประติดปะต่อเรื่องราวให้เข้าใจได้อยู่ สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนคือพัฒนาการเติบโตของอามีนก้าวไปข้างหน้าจากเด็กร่าเริงในครอบครัวยากจนอันอบอุ่นจนนำไปสู่ผู้ลี้ภัย หนีตายไปตามที่ต่าง ๆ ก่อนจะได้ชีวิตใหม่อีกครั้งในวัยผู้ใหญ่ ระหว่างทางเราจะพบว่าอามีนพบเจอมาอะไรมาหนักหนาสาหัสสุด ๆ ทั้งการทุจริตของเจ้าหน้าที่ตำรวจ , ความโหดร้ายของแก๊งค์ค้ามนุษย์ , ความระแวงต่อผู้ลี้ภัยด้วยกัน หรือแม้กระทั่งปมของตัวเองที่รู้ตัวว่าเป็น LGBTQ ยังดีหน่อยที่มีสมาชิกในครอบครัว ไม่ว่าจะเป็น พ่อแม่ , พี่ชาย และ ย่าของเขาคอยให้กำลังใจเคียงข้างกัน มีเจ้าหน้าที่จากสถานทูตคอยช่วยเหลือเป็นระยะ รวมถึงคนรักที่เป็นทั้งเพื่อนและเป็นที่เยียวยาจิตใจให้แก่อามีนอีก ขณะที่ดูเราไม่รู้เลยว่าเหตุการณ์ข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น ครอบครัวของอามีนจะเป็นอย่างไรกับดินแดนที่ไม่รู้จักไม่รู้กระทั่งว่าจะอยู่หรือตาย ซึ่งตรงจุดนี้หนังทำหน้าที่บอกเล่าให้คนดูรู้สึกสะเทือนใจ และ เห็นใจจนน้ำตาไหลออกมาไม่รู้ตัว การดำเนินเรื่องชวนลุ้นไปกับตัวละครที่เผชิญกับอุปสรรคมากมายตั้งแต่ต้นจนจบจนเกร็งไปข้างนึงแต่หนังก็แอบชี้ทางสว่างให้ความหวังอยู่เป็นระยะเพื่อไม่ให้โทนเรื่องดูโหดร้ายไปมากกว่านี้ แต่ก็ปฎิเสธไม่ได้ว่าเหตุการณ์เหล่านี้มันคือโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นจริง ๆ

ในขณะที่ประเด็นรองอย่างการค้นหาตนเองในเรื่อง เพศสภาพ หรือ LGBTQ สำหรับผมค่อนข้างแอบคิดว่าดูยัดเยียดไปนิดนึง ถึงแม้ว่ามันทำหน้าที่ในส่วน Support เพิ่มเติมขับเคลื่อนให้เราเห็นสภาวะทางจิตใจของอามีนได้ดีอยู่ ได้รู้ว่าสมัยนั้นมันก็มีคนที่พูดถึงเรื่องความหลากหลายทางเพศกันแล้วแต่ไม่สามารถแสดงออกในวงกว้างได้แค่นั้น เพราะมีกฎหมายมองว่าเป็นสิ่งที่ผิดจารีตและถูกห้ามพูดถึง ผมรู้สึกว่าจะมีก็ได้หรือไม่มีก็ได้ เพราะมันเป็นแค่ส่วนประกอบย่อยให้แก่ประเด็นหลักได้เดินไปต่อได้แค่นั้น ซึ่งส่วนตัวผมสนใจในเรื่องของสงคราม ผู้ลี้ภัยในประเทศที่ 3 รวมถึง ความเน่าเฟะของกระบวนการทำงานของระบบที่ใช้ช่องทางอันสกปรกในการหาผลประโยชน์อันมิชอบโดยอ้างกฎหมายในการรีดไถ่เก็บส่วยของเจ้าหน้าที่ หรือ ขบวนการค้ามนุษย์ข้ามชาติที่กระทำต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยความสิ้นหวังเวทนาไม่ต่างกับสัตว์ซะมากกว่า

ความพิเศษอีกอย่างตรงที่หนังต่างประเทศของผู้กำกับชาวเดนมาร์ก Jonas Pohar Rasmussen จากผลงานที่ผ่านมา อย่างเช่น สารคดี What He Did (2015) ที่เข้าใจถึงชีวิตของมนุษย์ที่เผชิญหน้ากับสงครามถึงขั้นไม่อาจอยู่ในประเทศบ้านเกิดตนเองได้ ซึ่งไม่แปลกที่เรื่องนี้ได้เข้าชิงรางวัลออสการ์ในปี 2022 ไปกว่า 3 สาขา อาทิ ภาพยนตร์สารคดียอดเยี่ยม , ภาพยนตร์แอนิเมชั่นยอดเยี่ยม และ ภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยม ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถคว้ารางวัลกลับบ้านได้สักรางวัลก็ถือว่ามาไกลเกินกว่าที่คิดสำหรับหนังสารคดีนอกกระแสประเภทนี้ ที่แน่ ๆ คือได้ใจผมไปเป็นที่เรียบร้อย อีกอย่างที่ชอบคือการใช้ภาพประกอบจากเหตุการณ์จริงเป็น Flashback ประกอบเสริมเข้าไปแล้วแทรกด้วยวาดภาพด้วยลายมือแบบ 2 มิติที่ให้ความ Original และ  Classic ด้วยลายเส้นที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวเพื่อทำให้เนื้อเรื่องดู Smooth มากขึ้น อย่างเช่น ร้าน Mcdonald ที่ปรากฎฉากนี้ ไม่รู้ว่าเป็น Symbol ที่ตัวผู้กำกับจงใจใส่เพื่อบอกนัยยะอะไรหรือเปล่าแต่รู้สึกว่าน่าสนใจไม่น้อย  Score ดนตรีประกอบที่บรรเลงฟังดูแม้จะดูเศร้าสร้อยแต่มีความงดงามในทำนองของมันและช่วยเยียวยาจิตใจให้มีกำลังใจขึ้นมาหน่อยนึง ส่วนที่ปรับปรุงคือซับไทยตัวเล็กมาก แทบมองไม่ค่อยเห็น อาศัยการดูภาพเพื่อเสพงานศิลป์เอา ถ้าปรับตัวอักษรขึ้นมาหน่อยจะรู้เรื่องมากกว่านี้

สรุปคือ ชอบมาก ประทับใจ สะเทือนใจแต่งดงาม ยกให้เป็นสารคดีที่เป็นมากกว่า Animation ที่ช่วย Heel กำลังใจสำหรับคนที่กำลังท้อแท้หรือสิ้นหวังเป็นอย่างดี แถมยังเข้ากับสภาวะการณ์ในปัจจุบันอย่างปัญหาของผู้ลี้ภัยจากสงครามบ้านเกิดที่มีเพิ่มขึ้น อีกทั้งยังทิ้งรองร่อย Message หลายอย่างที่นำไปตกผลึกเกี่ยวกับการวิพากษ์วิจารณ์โลกทุนนิยม ช่องว่างระหว่างชนชั้นในสังคมจากความเหลื่อมล้ำของผู้มีกฎหมายมีอำนาจในมือ รวมถึง ผลกระทบของการเกิดสงครามที่ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไรแต่สิ่งที่ได้แน่นอนคือความสูญเสียพร้อมกับตั้งคำถามกับคนดูเก็บไปคิดต่อกันเองว่าถ้าหากเหตุการณ์ในเรื่องเกิดขึ้นกับเราจะรู้สึกอย่างไร เราจะทำอย่างไรต่อจากนี้ ซึ่งไม่ว่าคำตอบจะเป็นอย่างไรแต่สิ่งที่ผมได้รับก็คือการนิยามของคำว่า บ้าน ที่ไม่ใช่สถานที่ แต่เป็นผู้คนที่อาจจะมาในรูปแบบครอบครัว หรือ ความรักก็ได้ และ คำว่า Flee ก็ไม่ใช่การหนีแต่หากเป็นการเลือกบางสิ่งบางอย่างที่ปราศจากความเจ็บปวด หลีกเลี่ยงความรุนแรง ลดการใช้กำลังให้เกิดความเสียหายโดยเน้นการประนีประนอมทางจิตวิญญาณของความเป็นมนุษย์คืนกลับสู่สามัญชนในแบบที่ควรจะเป็น

ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like กด Share บทความของผม EMCONCEPT และ Facebook : EM Pascal เพื่อเป็นกำลังใจในการรีวิวครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
ชื่อสินค้า:   Review By EMCONCEPT
คะแนน:     

CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้

  • - จ่ายเงินซื้อเอง หรือได้รับจากคนรู้จักที่ไม่ใช่เจ้าของสินค้า เช่น เพื่อนซื้อให้
  • - ไม่ได้รับค่าจ้างและผลประโยชน์ใดๆ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่