เพื่อไทย ชี้ประเทศยังไม่วิกฤต จนต้องตั้งรัฐบาลแห่งชาติ เชื่อฝ่ายปชต. ตั้งรบ.สำเร็จ
https://www.khaosod.co.th/election-2023/news_7693625
“ภูมิธรรม” รองหัวหน้าเพื่อไทย ชี้ประเทศยังไม่วิกฤตถึงขั้นต้องตั้ง รัฐบาลแห่งชาติ เชื่อฝ่ายประชาธิปไตย จัดตั้งรัฐบาลของประชาชนสำเร็จแน่
เมื่อวันที่ 1 มิ.ย. 2566 นาย
ภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงข้อเสนอของนาย
จเด็จ อินสว่าง ส.ว. ที่อยากให้มีการตั้งรัฐบาลแห่งชาติขึ้นมาว่า ถือเป็นเพียงความคิดเห็นที่แตกต่างซึ่งเราก็รับฟัง แต่การตั้งรัฐบาลแห่งชาติมักเกิดขึ้นในยามที่ประเทศเกิดวิกฤต เช่น อยู่ในภาวะสงคราม ต้องการความเป็นเอกภาพ แต่สถานการณ์ในขณะนี้ยังไม่เข้าขั้นวิกฤต ยังมีช่องทางให้เดินต่อไปได้ตามรัฐธรรมนูญ
นาย
ภูมิธรรม กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ การเลือกตั้งครั้งนี้ฝ่ายประชาธิปไตยได้เสียงเกินกว่า 300 เสียง ซึ่งเราต้องคำนึงถึงเจตจำนงและความคาดหวังของประชาชนด้วย ดังนั้น เราต้องช่วยกันผลักดันเจตจำนงและความคาดหวังของประชาชนให้สำเร็จ
“
หากเกิดปัญหาขึ้นจริงๆ จนถึงขั้นไปต่อไม่ได้ ต้องสอบถามผู้ที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งว่ายอมรับได้หรือไม่ ทุกฝ่ายต้องช่วยกันหาทางออกร่วมกัน แต่ขณะนี้อย่าเพิ่งตัดช่องทางต่างๆ เพื่อจะตั้งรัฐบาลแห่งชาติ อย่างไรก็ตาม ผมเชื่อว่าฝ่ายประชาธิปไตยสามารถจัดตั้งรัฐบาลของประชาชนได้สำเร็จ” นายภูมิธรรม กล่าว
ปราบอย่างเดียวไม่จบ! วิโรจน์ ปัก 4 ธงต้องทำ ถึงจะ ‘แก้’ ปัญหาคอร์รัปชั่นได้ถาวร
https://www.matichon.co.th/politics/news_4007791
ปราบอย่างเดียวไม่จบ! วิโรจน์ ปัก 4 ธงต้องทำ ถึงจะ ‘แก้’ ปัญหาคอร์รัปชั่นได้ถาวร
จากการตั้งคำถามว่า สติ๊กเกอร์ยอดฮิตที่รถบรรทุกหลายคันมักจะติดไว้คืออะไร สู่การเปิดโปงขบวนการ “
ส่วยรถบรรทุก” หรือ “
ส่วยทางหลวง” จนนำไปสู่การตรวจสอบโครงสร้างความโปร่งใส ขององค์กรหนึ่งในวงการคมนาคม
เป็นบทบาทที่โดดเด่นของ นาย
วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ว่าที่ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ที่ล่าสุด เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กอันเกี่ยวเนื่องมาจากประเด็นดังกล่าว ต่อเรื่องสำคัญอย่างการ “
แก้ปัญหาคอร์รัปชั่น” ว่า
[ 4 ธงสำคัญ แก้ปัญหาคอร์รัปชั่น แค่ปราบอย่างเดียว ไม่จบ! ]
พอพูดถึงปัญหาการคอร์รัปชั่นในประเทศไทย ที่ผ่านมาไม่ใช่ว่าไม่มีการปราบปรามนะครับ ก็มีการปราบกันเป็นระยะๆ แต่พอสักพักการคอร์รัปชั่น ก็กลับมาใหม่ นั่นเป็นเพราะว่า เราเน้นแก้ปัญหาที่ตัวบุคคล แต่ไม่ได้แก้ปัญหาที่โครงสร้างเลย
ดังนั้น การที่จะแก้ไขปัญหาคอร์รัปชั่นที่ดีที่สุด จะต้องไม่ใช่แค่ปราบ แต่ต้องแก้ไขที่โครงสร้างด้วย และต้องทำให้ประชาชนทุกภาคส่วน เล็งเห็นถึงผลประโยชน์ร่วมกันของระบบที่ปราศจากคอร์รัปชั่น ทำให้การคอร์รัปชั่น มีกระบวนการที่วุ่นวายกว่าการทำงานตรงไปตรงมา ตราบใดก็ตาม ถ้ายังมีการสมประโยชน์กันของการให้และรับสินบน การทุจริตคอร์รัปชั่นก็จะผุดขึ้นมาอยู่เรื่อยๆ ไม่มีวันหมดไป
ผมจึงคิดว่า การแก้ไขปัญหาคอร์รัปชั่น ต้องมีธงสำคัญในการแก้ไขปัญหาอยู่ 4 ด้าน ด้วยกัน คือ
1) การสร้างระบบที่ข้าราชการที่ดีมีโอกาสที่จะเติบโตในหน้าที่การงาน ข้าราชการระดับปฏิบัติงานได้รับสวัสดิการที่ดี มีขวัญ และกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่อย่างซื่อสัตย์สุจริต
ต้องไม่มีการซื้อขายตำแหน่ง ไม่มีระบบตั๋ว เพราะถ้าได้ตำแหน่งมาด้วยการซื้อ ก็ไม่วายต้องใช้อำนาจจมาถอนทุนคืน หรือไม่ก็ต้องตอบแทนมาเฟียเจ้าของทุน
2) การปราบปรามวงจรส่วยอย่างครบวงจร ไม่ใช่แค่จับปลาซิวปลาสร้อย ดังนั้น การมี พ.ร.บ.ปกป้องผู้เปิดโปงเบาะแสการคอร์รัปชั่น (Whistle Blower Protection Act) จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะหากผู้เปิดโปงการทุจริต ได้รับการกันตัวไว้เป็นพยาน และได้รับการปกป้องคุ้มครองอย่างดี เมื่อไหร่ก็ตามที่เครือข่ายการทุจริตขยายวง จนผลประโยชน์ไม่ลงตัว เมื่อการเปิดโปงเกิดขึ้น ก็จะทำให้รัฐมีหลักฐานเพียงพอ ที่จะทลายเครือข่ายการทุจริตได้แบบยกรัง
3) การแก้ไขกฎหมายที่เวิ่นเว้อวุ่นวาย มีงานธุรการเต็มไปหมด ให้ดุลยพินิจกับเจ้าหน้าที่มากจนเกินไป เนื้อหา และหลักเกณฑ์ในกฎหมายไม่สมเหตุสมผล ขัดกับมาตรฐานสากล ไม่สอดคล้องกับการปฏิบัติงานจริง กฎหมายแบบนี้ จะทำให้คนที่ตั้งใจทำธุรกิจอย่างสุจริต ต้องมาผิดกฎหมายอย่างที่ไม่ควรจะเป็น ทำให้ข้าราชการที่ไม่ดีบางคน เอากฎหมายแบบนี้มาใช้เป็นเครื่องมือในการกลั่นแกล้ง รังควาน เพื่อเรียกรับผลประโยชน์
อย่างกรณี #ส่วยทางหลวง ก็ต้องมาทบทวนว่า การกำหนดให้รถพ่วง ไม่ว่าจะ 6 เพลา 20 ล้อ 6 เพลา 22 ล้อ หรือ 7 เพลา 24 ล้อ ที่แต่เดิมมีน้ำหนักจำกัดที่ 52 ตัน 53 ตัน และ 58 ตัน อยู่ดีๆ คสช. ก็เปลี่ยนมาให้มีน้ำหนักจำกัดเท่ากันที่ 50.5 ตัน เมื่อวันที่ 1 ก.ค. 57 นั้นสมเหตุสมผลตามหลักวิศวกรรม หรือไม่ หรือเป็นการปรับหลักเกณฑ์ เพื่อหมานให้คนที่ทำถูกกฎหมายอยู่ดีๆ กลายเป็นคนที่ผิดกฎหมายไปซะอย่างนั้น
โดยทั่วไปแล้ว การจำกัดน้ำหนักรถบรรทุก ต้องพิจารณาจากน้ำหนักเฉลี่ยต่อล้อ ไม่ใช่น้ำหนักรวม ถ้าน้ำหนักบรรทุกมาก แต่มีจำนวนล้อมากเพียงพอที่จะถ่ายน้ำหนักลงพื้นถนน ก็จะไม่เป็นปัญหา ซึ่งในเรื่องนี้หลักเกณฑ์การจำกัดน้ำหนักของรถบรรทุก สามารถปรึกษาวิศวกรรมสถาน แห่งประเทศไทย หรือสภาวิศวกร ให้ทบทวนตามหลักวิศวกรรม แล้วกำหนดเกณฑ์ใหม่ให้มีความสมเหตุสมผลได้เลย
ถ้ากฎหมายมีความสมเหตุสมผล ไม่มีใครอยากจ่ายส่วยหรอกครับ
4) การนำเอาเทคโนโลยีมาช่วยสร้างความโปร่งใสในระบบราชการ และลดการใช้ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ลง เช่น
– การทำธุรกรรมผ่านระบบออนไลน์ ลดงานธุรการ และขั้นตอนการขออนุญาตที่ซ้ำซ้อนลง
– การเปิดเผยข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างอย่างโปร่งใส
– การใช้ AI จับพิรุธของการประมูลจัดซื้อจัดจ้าง ฯลฯ
อย่างกรณี #ส่วยทางหลวง ถ้าเราเปลี่ยนระบบการชั่งน้ำหนัก จากการต่อคิวเข้าด่านชั่ง ให้กลายเป็นระบบ “การชั่งน้ำหนักขณะรถวิ่ง (Weigh In Motion หรือ WIM)” ก็จะทำให้ผู้ประกอบการไม่ต้องเสียเวลาต่อคิวชั่งน้ำหนัก คันไหนบรรทุกน้ำหนักเกิน ก็จะถูกออกใบสั่งผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์โดยทันที แล้วให้ไปจ่ายค่าปรับผ่านระบบธนาคาร
สรุป ก็คือ การแก้ไขปัญหาคอร์รัปชั่น จะใช้แค่การปราบอย่างเดียวไม่ได้ จะต้องแก้ที่โครงสร้างด้วย ถ้าปราบอย่างเดียว อีกสักพักก็จะกลับมาใหม่ ถ้าเราทำควบคู่กันไป ทั้งการปราบปราม การปรับปรุงกฎหมายให้สมเหตุสมผล การมีระบบคุณธรรมส่งเสริมคนดีให้เติบโตมีความก้าวหน้าในอาชีพ และการใช้เทคโนโลยีมาสนับสนุน ในที่สุด ปัญหาการคอร์รัปชั่น ก็จะถูกจัดการให้หมดไปอย่างถาวร และยั่งยืน
https://www.facebook.com/wirojlak/posts/pfbid0UkbC7RGwRzjNXqEXxXKFWg6G3augU33ofJtVkyysKngeNjMTR8sxLyVdtcBj3fMVl
อ.จุฬาฯ ยกรธน.มาตรา 82 ชี้ถ้าพิธาพ้นหน.ก้าวไกล แต่การออกหนังสือรับรองส.ส.ไม่เป็นโมฆะ
https://www.matichon.co.th/politics/news_4007848
อาจารย์จุฬาฯ ยกรธน.มาตรา 82 ชี้ชัดถ้าพิธาพ้นหน.ก้าวไกล แต่การออกหนังสือรับรองส.ส.ไม่ถือเป็นโมฆะ
เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า รศ.ดร.
ณรงค์เดช สรุโฆษิต อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ จุฬาฯ ได้โพสต์เฟซบุ๊ก แสดงความเห็น ในกรณีหากนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ พ้นจากส.ส. และ หัวหน้าพรรค จะมีผลต่อผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคหรือไม่ โดยระบุว่า
“แม้ไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายระบุไว้เป็นการเฉพาะ แต่ก็สามารถนำหลักกฎหมายทั่วไปมาอุดช่องว่างแห่งกฎหมายได้
หลักกฎหมายทั่วไปที่ว่านี้ คือ
“แม้ปรากฏภายหลังว่า กรรมการของนิติบุคคลแต่งตั้งโดยไม่ถูกต้องหรือขาดคุณสมบัติ กิจการที่กรรมการของนิติบุคคลนั้นได้กระทำไป ย่อมสมบูรณ์”
หลักการนี้ ปรากฏใน
รัฐธรรมนูญ มาตรา 82 วรรคสอง
พรบ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง 2539 มาตรา 19
พรบ. บริษัทมหาชน จำกัด 2535 มาตรา 84
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 88, 124 และ 1166
หลักการนี้ นำไปใช้กับนิติบุคคลตามกฎหมายต่าง ๆ ที่ พรบ. เฉพาะไม่ได้บัญญัติไว้ เช่น สหภาพแรงงาน สมาคมนายจ้าง หอการค้า สหกรณ์ และพรรคการเมืองด้วย
ดังนั้น สมมุติว่า แม้คุณพิธา มีลักษณะต้องห้าม พ้นจากความเป็นสมาชิกพรรคก้าวไกล จึงไม่อาจดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคได้ แต่การออกหนังสือรับรองผู้สมัคร ส.ส. และการส่งบัญชีรายชื่อผู้สมัคร ส.ส. ของพรรค ย่อมไม่เสียไปเพราะเหตุดังกล่าว”
https://www.facebook.com/new.srukhosit/posts/10167514543430462
JJNY : เพื่อไทยเชื่อฝ่ายปชต. ตั้งรบ.สำเร็จ│วิโรจน์ปัก 4 ธงต้องทำ│อ.จุฬาฯ ยกรธน.มาตรา 82│ภาคโรงแรมไม่ติด ค่าแรง 450
https://www.khaosod.co.th/election-2023/news_7693625
“ภูมิธรรม” รองหัวหน้าเพื่อไทย ชี้ประเทศยังไม่วิกฤตถึงขั้นต้องตั้ง รัฐบาลแห่งชาติ เชื่อฝ่ายประชาธิปไตย จัดตั้งรัฐบาลของประชาชนสำเร็จแน่
เมื่อวันที่ 1 มิ.ย. 2566 นายภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงข้อเสนอของนายจเด็จ อินสว่าง ส.ว. ที่อยากให้มีการตั้งรัฐบาลแห่งชาติขึ้นมาว่า ถือเป็นเพียงความคิดเห็นที่แตกต่างซึ่งเราก็รับฟัง แต่การตั้งรัฐบาลแห่งชาติมักเกิดขึ้นในยามที่ประเทศเกิดวิกฤต เช่น อยู่ในภาวะสงคราม ต้องการความเป็นเอกภาพ แต่สถานการณ์ในขณะนี้ยังไม่เข้าขั้นวิกฤต ยังมีช่องทางให้เดินต่อไปได้ตามรัฐธรรมนูญ
นายภูมิธรรม กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ การเลือกตั้งครั้งนี้ฝ่ายประชาธิปไตยได้เสียงเกินกว่า 300 เสียง ซึ่งเราต้องคำนึงถึงเจตจำนงและความคาดหวังของประชาชนด้วย ดังนั้น เราต้องช่วยกันผลักดันเจตจำนงและความคาดหวังของประชาชนให้สำเร็จ
“หากเกิดปัญหาขึ้นจริงๆ จนถึงขั้นไปต่อไม่ได้ ต้องสอบถามผู้ที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งว่ายอมรับได้หรือไม่ ทุกฝ่ายต้องช่วยกันหาทางออกร่วมกัน แต่ขณะนี้อย่าเพิ่งตัดช่องทางต่างๆ เพื่อจะตั้งรัฐบาลแห่งชาติ อย่างไรก็ตาม ผมเชื่อว่าฝ่ายประชาธิปไตยสามารถจัดตั้งรัฐบาลของประชาชนได้สำเร็จ” นายภูมิธรรม กล่าว
ปราบอย่างเดียวไม่จบ! วิโรจน์ ปัก 4 ธงต้องทำ ถึงจะ ‘แก้’ ปัญหาคอร์รัปชั่นได้ถาวร
https://www.matichon.co.th/politics/news_4007791
ปราบอย่างเดียวไม่จบ! วิโรจน์ ปัก 4 ธงต้องทำ ถึงจะ ‘แก้’ ปัญหาคอร์รัปชั่นได้ถาวร
จากการตั้งคำถามว่า สติ๊กเกอร์ยอดฮิตที่รถบรรทุกหลายคันมักจะติดไว้คืออะไร สู่การเปิดโปงขบวนการ “ส่วยรถบรรทุก” หรือ “ส่วยทางหลวง” จนนำไปสู่การตรวจสอบโครงสร้างความโปร่งใส ขององค์กรหนึ่งในวงการคมนาคม
เป็นบทบาทที่โดดเด่นของ นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ว่าที่ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ที่ล่าสุด เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กอันเกี่ยวเนื่องมาจากประเด็นดังกล่าว ต่อเรื่องสำคัญอย่างการ “แก้ปัญหาคอร์รัปชั่น” ว่า
[ 4 ธงสำคัญ แก้ปัญหาคอร์รัปชั่น แค่ปราบอย่างเดียว ไม่จบ! ]
พอพูดถึงปัญหาการคอร์รัปชั่นในประเทศไทย ที่ผ่านมาไม่ใช่ว่าไม่มีการปราบปรามนะครับ ก็มีการปราบกันเป็นระยะๆ แต่พอสักพักการคอร์รัปชั่น ก็กลับมาใหม่ นั่นเป็นเพราะว่า เราเน้นแก้ปัญหาที่ตัวบุคคล แต่ไม่ได้แก้ปัญหาที่โครงสร้างเลย
ดังนั้น การที่จะแก้ไขปัญหาคอร์รัปชั่นที่ดีที่สุด จะต้องไม่ใช่แค่ปราบ แต่ต้องแก้ไขที่โครงสร้างด้วย และต้องทำให้ประชาชนทุกภาคส่วน เล็งเห็นถึงผลประโยชน์ร่วมกันของระบบที่ปราศจากคอร์รัปชั่น ทำให้การคอร์รัปชั่น มีกระบวนการที่วุ่นวายกว่าการทำงานตรงไปตรงมา ตราบใดก็ตาม ถ้ายังมีการสมประโยชน์กันของการให้และรับสินบน การทุจริตคอร์รัปชั่นก็จะผุดขึ้นมาอยู่เรื่อยๆ ไม่มีวันหมดไป
ผมจึงคิดว่า การแก้ไขปัญหาคอร์รัปชั่น ต้องมีธงสำคัญในการแก้ไขปัญหาอยู่ 4 ด้าน ด้วยกัน คือ
1) การสร้างระบบที่ข้าราชการที่ดีมีโอกาสที่จะเติบโตในหน้าที่การงาน ข้าราชการระดับปฏิบัติงานได้รับสวัสดิการที่ดี มีขวัญ และกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่อย่างซื่อสัตย์สุจริต
ต้องไม่มีการซื้อขายตำแหน่ง ไม่มีระบบตั๋ว เพราะถ้าได้ตำแหน่งมาด้วยการซื้อ ก็ไม่วายต้องใช้อำนาจจมาถอนทุนคืน หรือไม่ก็ต้องตอบแทนมาเฟียเจ้าของทุน
2) การปราบปรามวงจรส่วยอย่างครบวงจร ไม่ใช่แค่จับปลาซิวปลาสร้อย ดังนั้น การมี พ.ร.บ.ปกป้องผู้เปิดโปงเบาะแสการคอร์รัปชั่น (Whistle Blower Protection Act) จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะหากผู้เปิดโปงการทุจริต ได้รับการกันตัวไว้เป็นพยาน และได้รับการปกป้องคุ้มครองอย่างดี เมื่อไหร่ก็ตามที่เครือข่ายการทุจริตขยายวง จนผลประโยชน์ไม่ลงตัว เมื่อการเปิดโปงเกิดขึ้น ก็จะทำให้รัฐมีหลักฐานเพียงพอ ที่จะทลายเครือข่ายการทุจริตได้แบบยกรัง
3) การแก้ไขกฎหมายที่เวิ่นเว้อวุ่นวาย มีงานธุรการเต็มไปหมด ให้ดุลยพินิจกับเจ้าหน้าที่มากจนเกินไป เนื้อหา และหลักเกณฑ์ในกฎหมายไม่สมเหตุสมผล ขัดกับมาตรฐานสากล ไม่สอดคล้องกับการปฏิบัติงานจริง กฎหมายแบบนี้ จะทำให้คนที่ตั้งใจทำธุรกิจอย่างสุจริต ต้องมาผิดกฎหมายอย่างที่ไม่ควรจะเป็น ทำให้ข้าราชการที่ไม่ดีบางคน เอากฎหมายแบบนี้มาใช้เป็นเครื่องมือในการกลั่นแกล้ง รังควาน เพื่อเรียกรับผลประโยชน์
อย่างกรณี #ส่วยทางหลวง ก็ต้องมาทบทวนว่า การกำหนดให้รถพ่วง ไม่ว่าจะ 6 เพลา 20 ล้อ 6 เพลา 22 ล้อ หรือ 7 เพลา 24 ล้อ ที่แต่เดิมมีน้ำหนักจำกัดที่ 52 ตัน 53 ตัน และ 58 ตัน อยู่ดีๆ คสช. ก็เปลี่ยนมาให้มีน้ำหนักจำกัดเท่ากันที่ 50.5 ตัน เมื่อวันที่ 1 ก.ค. 57 นั้นสมเหตุสมผลตามหลักวิศวกรรม หรือไม่ หรือเป็นการปรับหลักเกณฑ์ เพื่อหมานให้คนที่ทำถูกกฎหมายอยู่ดีๆ กลายเป็นคนที่ผิดกฎหมายไปซะอย่างนั้น
โดยทั่วไปแล้ว การจำกัดน้ำหนักรถบรรทุก ต้องพิจารณาจากน้ำหนักเฉลี่ยต่อล้อ ไม่ใช่น้ำหนักรวม ถ้าน้ำหนักบรรทุกมาก แต่มีจำนวนล้อมากเพียงพอที่จะถ่ายน้ำหนักลงพื้นถนน ก็จะไม่เป็นปัญหา ซึ่งในเรื่องนี้หลักเกณฑ์การจำกัดน้ำหนักของรถบรรทุก สามารถปรึกษาวิศวกรรมสถาน แห่งประเทศไทย หรือสภาวิศวกร ให้ทบทวนตามหลักวิศวกรรม แล้วกำหนดเกณฑ์ใหม่ให้มีความสมเหตุสมผลได้เลย
ถ้ากฎหมายมีความสมเหตุสมผล ไม่มีใครอยากจ่ายส่วยหรอกครับ
4) การนำเอาเทคโนโลยีมาช่วยสร้างความโปร่งใสในระบบราชการ และลดการใช้ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ลง เช่น
– การทำธุรกรรมผ่านระบบออนไลน์ ลดงานธุรการ และขั้นตอนการขออนุญาตที่ซ้ำซ้อนลง
– การเปิดเผยข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างอย่างโปร่งใส
– การใช้ AI จับพิรุธของการประมูลจัดซื้อจัดจ้าง ฯลฯ
อย่างกรณี #ส่วยทางหลวง ถ้าเราเปลี่ยนระบบการชั่งน้ำหนัก จากการต่อคิวเข้าด่านชั่ง ให้กลายเป็นระบบ “การชั่งน้ำหนักขณะรถวิ่ง (Weigh In Motion หรือ WIM)” ก็จะทำให้ผู้ประกอบการไม่ต้องเสียเวลาต่อคิวชั่งน้ำหนัก คันไหนบรรทุกน้ำหนักเกิน ก็จะถูกออกใบสั่งผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์โดยทันที แล้วให้ไปจ่ายค่าปรับผ่านระบบธนาคาร
สรุป ก็คือ การแก้ไขปัญหาคอร์รัปชั่น จะใช้แค่การปราบอย่างเดียวไม่ได้ จะต้องแก้ที่โครงสร้างด้วย ถ้าปราบอย่างเดียว อีกสักพักก็จะกลับมาใหม่ ถ้าเราทำควบคู่กันไป ทั้งการปราบปราม การปรับปรุงกฎหมายให้สมเหตุสมผล การมีระบบคุณธรรมส่งเสริมคนดีให้เติบโตมีความก้าวหน้าในอาชีพ และการใช้เทคโนโลยีมาสนับสนุน ในที่สุด ปัญหาการคอร์รัปชั่น ก็จะถูกจัดการให้หมดไปอย่างถาวร และยั่งยืน
https://www.facebook.com/wirojlak/posts/pfbid0UkbC7RGwRzjNXqEXxXKFWg6G3augU33ofJtVkyysKngeNjMTR8sxLyVdtcBj3fMVl
อ.จุฬาฯ ยกรธน.มาตรา 82 ชี้ถ้าพิธาพ้นหน.ก้าวไกล แต่การออกหนังสือรับรองส.ส.ไม่เป็นโมฆะ
https://www.matichon.co.th/politics/news_4007848
อาจารย์จุฬาฯ ยกรธน.มาตรา 82 ชี้ชัดถ้าพิธาพ้นหน.ก้าวไกล แต่การออกหนังสือรับรองส.ส.ไม่ถือเป็นโมฆะ
เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า รศ.ดร.ณรงค์เดช สรุโฆษิต อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ จุฬาฯ ได้โพสต์เฟซบุ๊ก แสดงความเห็น ในกรณีหากนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ พ้นจากส.ส. และ หัวหน้าพรรค จะมีผลต่อผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคหรือไม่ โดยระบุว่า
“แม้ไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายระบุไว้เป็นการเฉพาะ แต่ก็สามารถนำหลักกฎหมายทั่วไปมาอุดช่องว่างแห่งกฎหมายได้
หลักกฎหมายทั่วไปที่ว่านี้ คือ
“แม้ปรากฏภายหลังว่า กรรมการของนิติบุคคลแต่งตั้งโดยไม่ถูกต้องหรือขาดคุณสมบัติ กิจการที่กรรมการของนิติบุคคลนั้นได้กระทำไป ย่อมสมบูรณ์”
หลักการนี้ ปรากฏใน
รัฐธรรมนูญ มาตรา 82 วรรคสอง
พรบ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง 2539 มาตรา 19
พรบ. บริษัทมหาชน จำกัด 2535 มาตรา 84
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 88, 124 และ 1166
หลักการนี้ นำไปใช้กับนิติบุคคลตามกฎหมายต่าง ๆ ที่ พรบ. เฉพาะไม่ได้บัญญัติไว้ เช่น สหภาพแรงงาน สมาคมนายจ้าง หอการค้า สหกรณ์ และพรรคการเมืองด้วย
ดังนั้น สมมุติว่า แม้คุณพิธา มีลักษณะต้องห้าม พ้นจากความเป็นสมาชิกพรรคก้าวไกล จึงไม่อาจดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคได้ แต่การออกหนังสือรับรองผู้สมัคร ส.ส. และการส่งบัญชีรายชื่อผู้สมัคร ส.ส. ของพรรค ย่อมไม่เสียไปเพราะเหตุดังกล่าว”
https://www.facebook.com/new.srukhosit/posts/10167514543430462