เมื่อพ่อแม่ยอมเอาความฝันของลูกมาแลกกับความอยู่รอดของครอบครัว โดยไม่ถามความเห็นจากลูกสักคำ?
ผมขอเล่าจากประสบการณ์ตัวผมเองนะครับ เคยมีครั้งนึงโกรธพ่อแม่ของผมเองมากๆ โกรธจนด่าด้วยถ้อยคำที่แสดงถึงความเกลียดชังแบบสุดขั้วหัวใจมากๆ ประมาณว่า " ผมเกลียดพ่อแม่ที่สุด ไม่รักษาสัญญา ไม่รักษาสัจจะ จะไปตายที่ไหนก็ไป !!!!! ไม่ควรจะเป็นพ่อแม่ผมเลย....."
คำเตือน : ขออนุญาตผู้คอมเม้นที่จะไม่อ้างเรื่องบุญคุณพ่อแม่นะครับ เพราะเรื่องนี้มันเกิน(แอ ืทมกว่าจะเอาบุญคุณพ่อแม่มาอ้างแล้ว
ตอนนั้นผมอายุประมาณ 16 มีแผนอยากจะเก็บเงินซื้อกล้องถ่ายรูปสักตัว แต่ด้วยความที่ผมยัง 16 และยังไม่เคยเปิดบัญชีด้วย แล้วมันไม่ใช่ถูกๆ 20000-30000 ขึ้น พ่อแม่เคยบอกผมว่าถ้าลูกอยากได้ ก็ทำพาร์ทไทม์ดูมั้ย เก็บหอมรอมริบก็ได้ ผมก็ทำตามคำแนะนำของท่านมาตลอด พวกท่านสนับสนุนอย่างเต็มที่ ผมก็ทำไป แน่นอนว่ามันต้องทนเก็บนานมากผ่านราวๆ 2 ปี ผมอายุ 18 แล้วกำลังจะจบม.ปลายพอดี เปิดบัญชีไว้พร้อมแล้ว จำนวนเงินที่มีตอนนี้ก็คือพร้อมจะถอยกล้องถ่ายรูปตัวแรกมาเลย วันต่อมาผมไปกด ATM เพื่อเอาเงินออกปรากฏว่าไม่มีเงินเหลือในบัญชีเลยจำนวนเงินคือ 0 บาท ย้อนก่อนว่าตอนผมเปิดบัญชีพร้อมบัตรครั้งแรก แม่ผมเป็นคนไปเปิด มีแค่แม่กับผมเท่านั้นที่รู้รหัสกดบัตรผม ด้วยความที่แบบงงว่าเกิดอะไรขึ้น ผมก็เลยไปถามทั้งพ่อทั้งแม่ว่าเงินในบัญชีผมหายไปไหนหมด ปรากฏว่าแม่ผมนี่เองที่แอบเอาบัตรผมไปกดถอนเงินมาจนหมดเกลี้ยง ผมเลยถามว่า แม่เอาเงินผมไปทำไม เงินที่ผมเก็บหอมรอมริบ ทำพาร์ทไทม์แทบตาย เพื่อจะเอาไปซื้อกล้องที่ผมอยากได้ ในตอนนั้นแม่ผมเล่าให้ฟัง แต่ในตอนนั้นผมไม่ได้ฟังพวกท่านพูดเลย เพราะว่ามันโกรธโมโหจนไม่ฟังใครไปแล้ว จนกลายเป็นที่มาของคำด่าทุกอย่างที่ออกมาจากปากผมที่มีแต่ความเกลียดชัง แล้วทิ้งท้ายกับพ่อแม่ในตอนนั้นว่า "ความฝันของผมมันไร้ค่ามากเลยสินะ ? " จบประโยคนั้น แม่ผมที่เป็นคนกดเงินขโมยเงินผมมาถึงกับร้องไห้ออกมา พ่อผมถึงกับสตันไป ผมก็รู้สึกแย่ที่ต้องมาโดนอะไรแบบนี้ พ่อแม่ที่ผมไว้ใจที่สุด คนที่คอยสนับสนุนผมให้รู้จักประหยัดอดออม อดทนเก็บเงินเพื่อสิ่งที่ลูกอยากได้ แต่พ่อแม่มาทำแบบนี้ มันไม่ต่างอะไรกับการหักหลังที่โคตรเหี้Eที่สุดในชีวิตเลย ชีวิตนี้โดนหักหลังมาก็เยอะ ไม่นึกว่าจะต้องมาโดนพ่อแม่ตัวเองหักหลังอีก ในตอนนั้นผมดาวน์มากๆ จนกระทั่งผมใจเย็นลง แล้วกราบเท้าขอโทษพวกท่านไป พ่อแม่ยอมเล่าความจริงให้ผมฟังทุกอย่างว่า ที่ผ่านมาพวกท่านไม่เคยบอกผมว่าบ้านเราเป็นหนี้ธนาคาร ไม่มีเงินส่งงวดมาหลายเดือนแล้วแล้วจำนวนที่ต้องจ่ายทบเพิ่มคือ เท่ากับจำนวนเงินเก็บทั้งหมดของผม ผมก็ถามท่านไปว่า ทำไมไม่บอกผมตั้งแต่แรก ท่านตอบว่า ก็เพราะรู้ว่าถ้าบอกลูกแบบนั้นลูกคงไม่อยากให้เงินเก็บลูกมาช่วยแม่แน่ๆ แม่ก็เลยเลือกที่จะทำแบบนี้กับลูก .... ผมถึงกับสตันไปเลย แค่บอกกันหน่อย ผมพร้อมที่จะช่วยพวกท่าน แต่การเล่นเงียบแล้วมาขโมยกันแบบนี้ แม่เป็นผมจะรู้สึกยังไง ท้ายสุดคือ พ่อแม่ผม ยอมเอาความฝันผมไปแลกกับความอยู่รอดของครอบครัว ใช่ ครอบครัวรอดไม่ต้องเป็นหนี้อีกต่อไป ส่วนผมได้อะไรกลับมาบ้างผมไม่ได้เหี้E อะไรกลับมาเลย นอกจากไม่ไว้ใจพ่อแม่ตัวเองอีกต่อไป กลายเป็นคนมี Trust Issue แบบฝังใจมากๆจนถึงตอนนี้ (จะ 30 แล้ว) ท้ายที่สุด ผมให้อภัยกับสิ่งที่พวกท่านเคยทำกับผม เพราะท้ายสุดแล้วพ่อแม่ ก็คือพ่อแม่วันยันค่ำ
"พ่อแม่ยอมเอาความฝันของลูกแลกกับความอยู่รอดของครอบครัว ไม่ใช่เพราะความฝันของลูกมันไม่มีค่า แต่เพราะเพื่ออนาคตของลูกหรือความอยู่รอด"
อันนี้ผมขอเล่าในมุมของคนเป็นลูกนะครับ ผมยังไม่เป็นพ่อคนเลยไม่รู้ว่าพ่อแม่ยุคปัจจุบันนี้ให้ความสำคัญกับความฝันของลูกมากแค่ไหนนะครับ
ต้องขออภัยด้วยเช่นกันถ้าเรื่องเล่าจากชีวิตผมนี้มันไปกระตุกต่อมให้รู้สึกว่าอยากจะอ้างเรื่องบุญคุณพ่อแม่นะครับ เพราะสิ่งที่พวกท่านทำกับผมมามันเกินกว่าจะเอามาอ้างแล้ว แต่ผมให้อภัยพวกท่านไปแล้วเมื่อ 10 กว่าปีก่อน
เมื่อพ่อแม่ยอมเอาความฝันของลูกมาแลกกับความอยู่รอดของครอบครัว โดยไม่ถามความเห็นจากลูกสักคำ? (ขโมยนั่นแหล่ะ)
ผมขอเล่าจากประสบการณ์ตัวผมเองนะครับ เคยมีครั้งนึงโกรธพ่อแม่ของผมเองมากๆ โกรธจนด่าด้วยถ้อยคำที่แสดงถึงความเกลียดชังแบบสุดขั้วหัวใจมากๆ ประมาณว่า " ผมเกลียดพ่อแม่ที่สุด ไม่รักษาสัญญา ไม่รักษาสัจจะ จะไปตายที่ไหนก็ไป !!!!! ไม่ควรจะเป็นพ่อแม่ผมเลย....."
คำเตือน : ขออนุญาตผู้คอมเม้นที่จะไม่อ้างเรื่องบุญคุณพ่อแม่นะครับ เพราะเรื่องนี้มันเกิน(แอ ืทมกว่าจะเอาบุญคุณพ่อแม่มาอ้างแล้ว
ตอนนั้นผมอายุประมาณ 16 มีแผนอยากจะเก็บเงินซื้อกล้องถ่ายรูปสักตัว แต่ด้วยความที่ผมยัง 16 และยังไม่เคยเปิดบัญชีด้วย แล้วมันไม่ใช่ถูกๆ 20000-30000 ขึ้น พ่อแม่เคยบอกผมว่าถ้าลูกอยากได้ ก็ทำพาร์ทไทม์ดูมั้ย เก็บหอมรอมริบก็ได้ ผมก็ทำตามคำแนะนำของท่านมาตลอด พวกท่านสนับสนุนอย่างเต็มที่ ผมก็ทำไป แน่นอนว่ามันต้องทนเก็บนานมากผ่านราวๆ 2 ปี ผมอายุ 18 แล้วกำลังจะจบม.ปลายพอดี เปิดบัญชีไว้พร้อมแล้ว จำนวนเงินที่มีตอนนี้ก็คือพร้อมจะถอยกล้องถ่ายรูปตัวแรกมาเลย วันต่อมาผมไปกด ATM เพื่อเอาเงินออกปรากฏว่าไม่มีเงินเหลือในบัญชีเลยจำนวนเงินคือ 0 บาท ย้อนก่อนว่าตอนผมเปิดบัญชีพร้อมบัตรครั้งแรก แม่ผมเป็นคนไปเปิด มีแค่แม่กับผมเท่านั้นที่รู้รหัสกดบัตรผม ด้วยความที่แบบงงว่าเกิดอะไรขึ้น ผมก็เลยไปถามทั้งพ่อทั้งแม่ว่าเงินในบัญชีผมหายไปไหนหมด ปรากฏว่าแม่ผมนี่เองที่แอบเอาบัตรผมไปกดถอนเงินมาจนหมดเกลี้ยง ผมเลยถามว่า แม่เอาเงินผมไปทำไม เงินที่ผมเก็บหอมรอมริบ ทำพาร์ทไทม์แทบตาย เพื่อจะเอาไปซื้อกล้องที่ผมอยากได้ ในตอนนั้นแม่ผมเล่าให้ฟัง แต่ในตอนนั้นผมไม่ได้ฟังพวกท่านพูดเลย เพราะว่ามันโกรธโมโหจนไม่ฟังใครไปแล้ว จนกลายเป็นที่มาของคำด่าทุกอย่างที่ออกมาจากปากผมที่มีแต่ความเกลียดชัง แล้วทิ้งท้ายกับพ่อแม่ในตอนนั้นว่า "ความฝันของผมมันไร้ค่ามากเลยสินะ ? " จบประโยคนั้น แม่ผมที่เป็นคนกดเงินขโมยเงินผมมาถึงกับร้องไห้ออกมา พ่อผมถึงกับสตันไป ผมก็รู้สึกแย่ที่ต้องมาโดนอะไรแบบนี้ พ่อแม่ที่ผมไว้ใจที่สุด คนที่คอยสนับสนุนผมให้รู้จักประหยัดอดออม อดทนเก็บเงินเพื่อสิ่งที่ลูกอยากได้ แต่พ่อแม่มาทำแบบนี้ มันไม่ต่างอะไรกับการหักหลังที่โคตรเหี้Eที่สุดในชีวิตเลย ชีวิตนี้โดนหักหลังมาก็เยอะ ไม่นึกว่าจะต้องมาโดนพ่อแม่ตัวเองหักหลังอีก ในตอนนั้นผมดาวน์มากๆ จนกระทั่งผมใจเย็นลง แล้วกราบเท้าขอโทษพวกท่านไป พ่อแม่ยอมเล่าความจริงให้ผมฟังทุกอย่างว่า ที่ผ่านมาพวกท่านไม่เคยบอกผมว่าบ้านเราเป็นหนี้ธนาคาร ไม่มีเงินส่งงวดมาหลายเดือนแล้วแล้วจำนวนที่ต้องจ่ายทบเพิ่มคือ เท่ากับจำนวนเงินเก็บทั้งหมดของผม ผมก็ถามท่านไปว่า ทำไมไม่บอกผมตั้งแต่แรก ท่านตอบว่า ก็เพราะรู้ว่าถ้าบอกลูกแบบนั้นลูกคงไม่อยากให้เงินเก็บลูกมาช่วยแม่แน่ๆ แม่ก็เลยเลือกที่จะทำแบบนี้กับลูก .... ผมถึงกับสตันไปเลย แค่บอกกันหน่อย ผมพร้อมที่จะช่วยพวกท่าน แต่การเล่นเงียบแล้วมาขโมยกันแบบนี้ แม่เป็นผมจะรู้สึกยังไง ท้ายสุดคือ พ่อแม่ผม ยอมเอาความฝันผมไปแลกกับความอยู่รอดของครอบครัว ใช่ ครอบครัวรอดไม่ต้องเป็นหนี้อีกต่อไป ส่วนผมได้อะไรกลับมาบ้างผมไม่ได้เหี้E อะไรกลับมาเลย นอกจากไม่ไว้ใจพ่อแม่ตัวเองอีกต่อไป กลายเป็นคนมี Trust Issue แบบฝังใจมากๆจนถึงตอนนี้ (จะ 30 แล้ว) ท้ายที่สุด ผมให้อภัยกับสิ่งที่พวกท่านเคยทำกับผม เพราะท้ายสุดแล้วพ่อแม่ ก็คือพ่อแม่วันยันค่ำ
"พ่อแม่ยอมเอาความฝันของลูกแลกกับความอยู่รอดของครอบครัว ไม่ใช่เพราะความฝันของลูกมันไม่มีค่า แต่เพราะเพื่ออนาคตของลูกหรือความอยู่รอด"
อันนี้ผมขอเล่าในมุมของคนเป็นลูกนะครับ ผมยังไม่เป็นพ่อคนเลยไม่รู้ว่าพ่อแม่ยุคปัจจุบันนี้ให้ความสำคัญกับความฝันของลูกมากแค่ไหนนะครับ
ต้องขออภัยด้วยเช่นกันถ้าเรื่องเล่าจากชีวิตผมนี้มันไปกระตุกต่อมให้รู้สึกว่าอยากจะอ้างเรื่องบุญคุณพ่อแม่นะครับ เพราะสิ่งที่พวกท่านทำกับผมมามันเกินกว่าจะเอามาอ้างแล้ว แต่ผมให้อภัยพวกท่านไปแล้วเมื่อ 10 กว่าปีก่อน