สวัสดีค่ะ เราขออนุญาตสอบถามผู้รู้ และขอคำแนะหน่อยค่ะ
เริ่มเรื่องนะคะ ในวันที่ 27 ก.ย.65 รถเราถูกชนและเราเป็นฝ่ายถูก ในวันนั้นเราก็ดำเนินการเอารถเข้าอู่ซ่อมคู่สัญญา แล้วเจ้าหน้าที่ของทางอู่แจ้งว่า รถที่จอดรอซ่อมที่อู่มีจำนวนมาก ถ้าจอดไว้ที่อู่ อู่ไม่มีหลังคาจะทำให้น้ำฝนเข้ารถ เนื่องจากช่วงนั้นเป็นฤดูฝน น้ำเข้ารถจะเกิดความเสียหายเพิ่ม ซึ่งประกันอาจไม่ครอบลคุมเนื่องจากไม่ได้เกิดจากอุบัติเหตุ ด้วยความรักรถและ(รู้ไม่เท่าไม่ถึงการณ์) เราจึงจำเป็นต้องดูแลรักษาให้อยู่ในสภาพที่ดีที่สุด(เรารักรถ และนี่คืออุบัติที่เกิดกับรถเราเป็นครั้งแรก) เราไม่ต้องการให้เกิดความเสียหายเพิ่ม จึงทำตามที่อู่แนะนำ และนำรถมาจอดไว้ในที่ร่ม(นำรถกลับมาจอดที่ทำงาน) ในช่วงระหว่างที่รอการอนุมัติซ่อมจากบริษัทคู่กรณี ทางอู่บอกเราว่าถ้าประกันอนุมัติ จะเรียกให้เข้ามา...
วันที่ 10 ต.ค.65 อู่ส่งไลน์มาแจ้งเราว่า บ.ประกันอนุมัติแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือรออะไหล่ เราก้ถามว่าใช้เวลาซ่อมกี่วัน ทางอู่บอกว่า 7 วัน แต่ยังต้องรออะไหล่รถก่อนถึงจะนัดเอาเข้ามาซ่อม
วันที่ 18 ต.ค.65 เราก็ทักไปถามว่าอะไหล่เข้ารึยัง คำตอบที่ได้คือ เพิ่งอนุมัติเมื่อวันที่ 10 แล้วทางอู่ก็กำลังหาอะไหล่ให้ งงตรงนี้มาก ก้ผ่านไป 8 วันละนะ (แล้วทางอู่มันทำอะไรอยู่) จนเรากับแฟนต้องไล่โทรหาอะไหล่รถแทนอู่ไปเลย เอาง่ายๆ อะไหล่ที่รอซ่อมคือเรากับแฟนเป็นฝ่ายโทรหาของ เราอยากให้รถเข้าซ่อมไวๆ ไม่มีรถคือมันลำบากจริงๆ เราต้องเรียกแทีกซี่ เรียกวิน จ้างคนรู้จักให้ไปส่งที่ทำงาน ส่งลุกๆ
วันที่ 31 ต.ค.65 ทางอู่ไลน์มาแจ้งให้เอารถเข้าจอด และยืนยันใช้เวลาซ่อมแค่ 7 วัน แต่สุดท้ายแล้วเราได้รับรถออกจากอู่จริงๆคือวันที่ 22 พ.ย.65 (ไหนบอก 7 วัน)
ช่วงตั้งแต่เกิดเหตุ จนถึงวันที่รับรถใช้เวลา 57 วัน เราได้ก้เตรียมเอกสารเพื่อเรียกค่าขาดประโยชน์ ประเด็นคือจนมาถึงวันที่ไปติดต่อ บ.ประกันคู่กรณี แต่ บ.ประกันประเมินจ่ายให้เรา 16 วัน วันละ 500 บาท โดยไม่มีการพูดคุยหรือต่อรองอะไรเลย ตัดๆแล้วปัดจบที่ ยอด 8000 บาท (คือประเมินน้อยไปไหม) และ 57 วันที่เราเรียกค่าขาดประโยชน์ไป เราเรียกตามจริงที่เราเสียค่าใช้จ่ายตรงนี้ไป สำหรับเราไม่ว่าจะจ่าย 500 หรือ 1000 มันก็ไม่พอหรอก คนมีรถก็หวังใช้รถในการซื้อความสะดวกสบายให้กับตัวเอง และค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงต่อวันมันไม่ใช่ 500 อยู่แล้ว เรามีลูกให้ต้องไปส่งที่โรงเรียน ไหนจะขับมาทำงาน ค่าใช้จ่ายทั้งนั้น พอมาเจอ บ.ประกันจ่ายแบบ “ลิดรอนสิทธิ” แบบนี้ เราคือไม่ยอมแน่นอน แต่ด้วยความที่ไม่เคยมีประสบการณ์ เราจึงมาโพสในนี้เพื่อขอข้อมูลเพื่อนๆค่ะ
ค่าเสียเวลา ค่าขาดประโยชน์ระหว่างซ่อมรถ
เริ่มเรื่องนะคะ ในวันที่ 27 ก.ย.65 รถเราถูกชนและเราเป็นฝ่ายถูก ในวันนั้นเราก็ดำเนินการเอารถเข้าอู่ซ่อมคู่สัญญา แล้วเจ้าหน้าที่ของทางอู่แจ้งว่า รถที่จอดรอซ่อมที่อู่มีจำนวนมาก ถ้าจอดไว้ที่อู่ อู่ไม่มีหลังคาจะทำให้น้ำฝนเข้ารถ เนื่องจากช่วงนั้นเป็นฤดูฝน น้ำเข้ารถจะเกิดความเสียหายเพิ่ม ซึ่งประกันอาจไม่ครอบลคุมเนื่องจากไม่ได้เกิดจากอุบัติเหตุ ด้วยความรักรถและ(รู้ไม่เท่าไม่ถึงการณ์) เราจึงจำเป็นต้องดูแลรักษาให้อยู่ในสภาพที่ดีที่สุด(เรารักรถ และนี่คืออุบัติที่เกิดกับรถเราเป็นครั้งแรก) เราไม่ต้องการให้เกิดความเสียหายเพิ่ม จึงทำตามที่อู่แนะนำ และนำรถมาจอดไว้ในที่ร่ม(นำรถกลับมาจอดที่ทำงาน) ในช่วงระหว่างที่รอการอนุมัติซ่อมจากบริษัทคู่กรณี ทางอู่บอกเราว่าถ้าประกันอนุมัติ จะเรียกให้เข้ามา...
วันที่ 10 ต.ค.65 อู่ส่งไลน์มาแจ้งเราว่า บ.ประกันอนุมัติแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือรออะไหล่ เราก้ถามว่าใช้เวลาซ่อมกี่วัน ทางอู่บอกว่า 7 วัน แต่ยังต้องรออะไหล่รถก่อนถึงจะนัดเอาเข้ามาซ่อม
วันที่ 18 ต.ค.65 เราก็ทักไปถามว่าอะไหล่เข้ารึยัง คำตอบที่ได้คือ เพิ่งอนุมัติเมื่อวันที่ 10 แล้วทางอู่ก็กำลังหาอะไหล่ให้ งงตรงนี้มาก ก้ผ่านไป 8 วันละนะ (แล้วทางอู่มันทำอะไรอยู่) จนเรากับแฟนต้องไล่โทรหาอะไหล่รถแทนอู่ไปเลย เอาง่ายๆ อะไหล่ที่รอซ่อมคือเรากับแฟนเป็นฝ่ายโทรหาของ เราอยากให้รถเข้าซ่อมไวๆ ไม่มีรถคือมันลำบากจริงๆ เราต้องเรียกแทีกซี่ เรียกวิน จ้างคนรู้จักให้ไปส่งที่ทำงาน ส่งลุกๆ
วันที่ 31 ต.ค.65 ทางอู่ไลน์มาแจ้งให้เอารถเข้าจอด และยืนยันใช้เวลาซ่อมแค่ 7 วัน แต่สุดท้ายแล้วเราได้รับรถออกจากอู่จริงๆคือวันที่ 22 พ.ย.65 (ไหนบอก 7 วัน)
ช่วงตั้งแต่เกิดเหตุ จนถึงวันที่รับรถใช้เวลา 57 วัน เราได้ก้เตรียมเอกสารเพื่อเรียกค่าขาดประโยชน์ ประเด็นคือจนมาถึงวันที่ไปติดต่อ บ.ประกันคู่กรณี แต่ บ.ประกันประเมินจ่ายให้เรา 16 วัน วันละ 500 บาท โดยไม่มีการพูดคุยหรือต่อรองอะไรเลย ตัดๆแล้วปัดจบที่ ยอด 8000 บาท (คือประเมินน้อยไปไหม) และ 57 วันที่เราเรียกค่าขาดประโยชน์ไป เราเรียกตามจริงที่เราเสียค่าใช้จ่ายตรงนี้ไป สำหรับเราไม่ว่าจะจ่าย 500 หรือ 1000 มันก็ไม่พอหรอก คนมีรถก็หวังใช้รถในการซื้อความสะดวกสบายให้กับตัวเอง และค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงต่อวันมันไม่ใช่ 500 อยู่แล้ว เรามีลูกให้ต้องไปส่งที่โรงเรียน ไหนจะขับมาทำงาน ค่าใช้จ่ายทั้งนั้น พอมาเจอ บ.ประกันจ่ายแบบ “ลิดรอนสิทธิ” แบบนี้ เราคือไม่ยอมแน่นอน แต่ด้วยความที่ไม่เคยมีประสบการณ์ เราจึงมาโพสในนี้เพื่อขอข้อมูลเพื่อนๆค่ะ