วันนี้จะมาแชร์ประสบการณ์ผ่าตัดโดยการส่องกล้อง รักษา เอ็นไขว้หน้าขาดและหมอนรองกระดูกฉีก
1. เริ่มจาก ประมาณ 10 ปี ก่อนหน้านี้ จขกท.ซ้อมกีฬาเทควันโดแล้วเข่าพลิก เล่นต่อไม่ได้ เดินลงนำหนักไม่ได้ ก็เดินกะเผลกๆอยู่เป็นอาทิตย์ และมีอาการเจ็บอยู่เป็นเดือน ก็ไม่ได้ไปหาหมอ เพราะคิดว่าคงแค่อักเสบ กินยาทายาก็หาย แล้วอาการเจ็บก็น้อยลงและหายไปเอง (แต่หารู้ไม่ นั่นแหล่ะ เอ็นไขว้หน้า น่าจะขาดตั้งแต่ตอนนั้น (><)! เพราะหลังจากนั้นเป็นต้นมาก็มีอาการเข่าหลวม รู้สึกไม่มั่นคง เสียวๆเวลากระโดด หรือวิ่งเร็วๆ และเมื่อเล่นกีฬาแรงๆหนักๆ ก็จะมีอาการเจ็บทุกครั้ง แต่ก็หายมาได้ตลอด 555
2. จนกระทั่ง 7 พ.ย. 2565 ที่ทำงานมีจัดแข่งกีฬาสีประจำปี จึงได้ลงแข่งแตะฟุตบอล ด้วยความเอาจริงเอาจัง แบบว่าสีข้าต้องชนะ ก็ได้ทุ่มกำลังเต็มที่ ถึงแม้ว่าจะแตะโดนบอลแค่ 2 ที ก่อนจะกระโดดนิดหน่อยเพื่อรับบอล พอจังหวะลง แม่เจ้า ขยับเดินไม่ได้ รู้สึกว่าเข่าซ้ายเดินลงน้ำหนักไม่ได้เลย ต้องยกมือขอออกจากสนาม ก็ปฐมพยาบาลเบื้องต้นพอเป็นพิธี แต่โชคดีในการแข่งกีฬาครั้งนี้มีอาจารย์หมอไปร่วมแข่งด้วย ก็ได้มาช่วยดูอาการแล้วบอกว่า ให้ไปทำ MRI ที่โรงพยาบาลดูอีกที
3. หลังจากนั้น 1 สัปดาห์อาการปวดลดลง แต่มีอาการงอไม่ได้ เหยียดไม่สุด เหมือนมีอะไรคาอยู่ที่เข่า แต่ก็ยังไม่ไปหาหมออีกนะ555 ทนเดินแบบนั้นมาประมาณ 1 เดือน อาการไม่ดีขึ้นจึงไปหาหมอ(รพ.รัฐ) หมอที่เราไปพบ ใจดีมาก พูดดี เป็นกันเอง และเก่งมาก หมอตรวจดูแล้วสงสัยว่า เอ็นไขว้หน้าเข่าขาด จึงส่งตรวจ MRI แต่ไม่ได้ทำทันทีนะทุกคน เราต้องไปทำนัดก่อน รอตรวจ MRI (เราใช้สิทธิข้าราชการไม่มีค่าใช้จ่าย ปกติราคาจะประมาณ 8,000-10,000 บาท) ได้คิวทำอีกทีประมาณ 1 สัปดาห์ (เพราะติดวันหยุดยาวด้วย) ผล MRI พบว่า เอ็นไขว้หน้าขาดและหมอนรองกระดูกฉีก!!ต้องผ่าตัดให้เร็วที่สุดเพราะมีของเหลวคลั่งอยู่ในเข่าด้วย!!อาจเพราะเรามาหาหมอช้าและเดินเยอะเกิน
4. หลังทราบผล MRI หมอนัดผ่าอีกที 2 สัปดาห์ หมอแจ้งว่าไม่มีค่าใช้จ่ายในการผ่าตัด แต่ต้องจ่ายส่วนเกินที่เบิกกรมบัญชีกลางไม่ได้ประมาณ 2-3 หมื่นบาท เป็นค่ากล้องผ่าตัด (ผ่าตัดแบบส่องกล้อง ซึ่งกล้องเช่าของบริษัทเอกชน) พระเจ้า!! คิดว่าสิทธิเบิกจ่ายตรงของข้าราชการจะครอบคลุม อ่ะนะ แต่ไม่เลย ใครคิดจะเป็นข้าราชการเพียงเพราะสวัสดิการรักษาพยาบาล เราก็ว่าดีนะ แต่แต่แต่ก็ให้คิดดีดี โชคดีที่เราทำประกันสุขภาพไว้ แต่โชคดีแค่นิดเดียว555 เพราะดันทำแบบมีค่า Excess ที่เราต้องจ่ายค่าเสียหายส่วนแรก 20,000 บาทก่อน หากค่ารักษาพยาบาลเกินกว่า 20,000 ประกันถึงจะจ่าย
5. มีพี่ที่รู้จักแนะนำให้ไป รพ.เอกชน คุณหมอดูผล MRI แจ้งว่ามีเลือดคั่ง ควรผ่าตัดทันที ถ้าตกลงผ่า นัดผ่าในอีก 2 วัน ตอนนั้น จขกท.รีบตอบตกลงเลย เพราะรู้สึกว่าใช้ชีวิตลำบากหากต้องรออีก 2 สัปดาห์ คือทรมานอ่ะ เลยปรึกษาประกันแล้ว สามารถเคลมได้ จึงตัดสินใจผ่ากับคุณหมอ ที่ รพ.เอกชน
6. ก่อนผ่า 1 วัน 29/11/65 แอดมิท เพื่อเตรียมตัวและตรวจร่างกาย เจาะเลือด + เอกซ์เรย์ปอด + ตรวจโควิด และงดน้ำ+อาหาร ให้น้ำเกลือและวิสัญญีแพทย์มาคุยเรื่องขั้นตอนการบล็อกหลัง แจ้งว่าเข็มเล็กเท่าเส้นผม ไม่เจ็บมาก ทั้งคุณหมอ พยาบาล และพนักงานทุกคน ให้บริการดีมาก ออเท่าที่อ่านรีวิวมาบางคนจะได้ใส่สายสวนปัสสาวะด้วย แต่เราไม่ได้ใส่ แค่มีพี่พยาบาลมาถามว่าปัสสาวะรึยัง เข้าห้องน้ำไปกี่รอบ พอดีเราเป็นคนเข้าห้องน้ำบ่อยบวกกับตื่นเต้นด้วย จำได้ว่า 4-5 ครั้งเลย เป็นเหตุทำให้เราไม่ต้องใส่สายสวนรึเปล่า แต่ก็ดีแล้วที่ไม่ต้องเจ็บ555
7. ถึงวันผ่าตัด 30/11/65 ก็มีพี่พยาบาลเอาชุดมาให้เปลี่ยน เป็นชุดสำหรับเข้าห้องผ่าตัด แบบว่าเขาไม่ให้ใส่กางเกงในนะก็จะเย็นๆหน่อย แล้วก็มีพี่พนักงานเปลมาย้ายเราขึ้นเตียงรถเข็นไปที่ห้องรอผ่าตัด พอมาถึงก็มีพยาบาลมาวัดสัญญาณชีพต่างๆ สักพักพอได้เวลาก็เข็นเตียงเราเข้าห้องผ่าตัด ครั้งแรกของการเข้าห้องผ่าตัดใหญ่ของตัวเองตื่นเต้นสุดๆ คือมีทีมงานอยู่ในห้องนั้นประมาณสิบกว่าคนได้ เครื่องไม้เครื่องมือทางการแพทย์เต็มไปหมด แอร์เย็นจัดจนสั่นและหนาวสุด หนาวกว่าทุกฤดูที่เคยผ่านมาทั้งชีวิตอีก555 เตียงผ่าตัดจะเป็นแบบแคบพอประมาณแค่ตัวเรานอน แขนทั้งสองข้างต้องกางออกมีสายน้ำเกลือมือด้านหนึ่ง แขนอีกข้างใส่ที่วัดความดันไว้และมีเสียงติ๊ดๆต๊อดๆของสัญญาณชีพเราดังเลอดเวลา เมื่อพร้อมแล้วคุณหมอมาทำการบล็อกหลังโดยให้เรานอนตะแคง งอตัว เข่าชิดอก จังหวะนั้นคือกลัวมากตัวสั่นหงึกๆเลย ทั้งกลัวทั้งหนาว555 พี่พยาบาลก็ใจดีมากช่วยจับมือเราไว้และให้กำลังใจอยู่ข้างๆ คุณหมอก็เช็ดบริเวณที่จะบล็อกหลัง ยังไม่ทันเจ็บก็บอกว่าบล็อกหลังเสร็จแล้ว หลังจากนั้นก็รู้สึกอุ่นวาบลงไปที่ช่วงล่างตั้งแต่เอวลงไปเลย แล้วคุณหมอก็ฉีดยาไปที่บริเวณขาหนีบละต้นขาอีก ไม่แน่ใจว่า 2-3 ที่ได้ แล้วก็ใช้สำลีเย็นๆเช็ดทดสอบว่าเรายังรู้สึกไหม แรกๆก็ยังรู้สึกอยู่สักพักเริ่มชาและไม่รู้สึกแล้ว จากนั้นก็เอาออกซิเจนมาสวมครอบจมูก ไม่ถึง 3 นาที ภาพก็ตัดหลับไปเลย
8. หลังจากตื่นมา พบว่าผ่าตัดเรียบร้อยแล้ว เข้าห้องผ่าตัด 21.30 น. ออกห้องผ่าตัด 00.45 น. นอนดูอาการที่ห้องพักฟื้น รู้สึกหนาวมากๆ อาการหนาวแบบสั่นควบคุมตัวเองไม่ได้ พี่พยาบาลก็เอาผ้ามาห่มให้เพิ่ม อาการก็ค่อยๆทุเลาลง ครบ 1 ชั่วโมง พี่พนักงานเปลก็มาย้ายเราขึ้นเตียงรถเข็นกลับถึงห้องพัก 01.50 น. จากนั้น
9. เมื่อกลับมาถึงห้องพักฟื้น พยาบาลเอา ICE PACK มาวางประคบให้ที่บนเข่า เราก็หลับไปไม่มีอาการปวดใดๆ เพราะยังชาจากฤทธิ์ยาอยู่ ตื่นมาอีกทีประมาณ 04.30 น.มีอาการปวดมากๆ ปวดขาและปวดหลังบริเวณที่เราโดนบล็อกหลัง แจ้งพยาบาลขอยาแก้ปวด พยาบาลจึงมาฉีดมอร์ฟีนให้ โอเคดีขึ้น นอนต่อได้
10. ประมาณ 14.00 น. พยาบาลแจ้งว่าให้หัดเดินที่แผนกกายภาพ นักกายภาพบำบัดช่วยยกขาเราขึ้นลง 20 ครั้งและโยกซ้าย – ขวา 20 ครั้ง จากนั้นให้เราหัดเดิน จากการเดินครั้งแรกเดินโดยใช้ ที่ช่วยพยุง 4 ขา เราเดินไปได้สักพัก รู้สึกหน้ามืดเหมือนจะเป็นลม อาจเพราะฤทธิ์ของมอร์ฟีนด้วย จึงหยุดกายภาพและกลับมาห้องพัก
11. จากนั้นก็นอนอยู่แต่บนเตียง เพราะคุณหมอห้ามลุกจากเตียง เมื่อยหลังมาก เพราะนอนนานไม่ได้เปลี่ยนท่า คุณหมอมาดูแผล มาสอนวิธีเดินไม่ให้ลงน้ำหนักข้างที่ผ่า แจ้งว่าพรุ่งนี้สามารถกลับบ้านได้เลย คุณหมอบอกว่าเคสเราผ่ายาก เป็นแบบที่รุแรงมากเนื่องจากหมอนรองกระดูกที่ฉีกพลิกมาขัดที่ข้อ สาเหตุที่ทำให้เรางอไม่ได้ เหยียดไม่สุด และเราทิ้งไว้นาน ถ้านานกว่านี้โชคร้ายอาจต้องตัดหมอนรองกระดูกออก แต่ของเรายังพอรักษาได้
12. วันรุ่งขึ้น ไปฝึกเดินที่แผนกกายภาพอีกครั้ง นักกายภาพบำบัดบริการดีมาก สอนให้ใช้ไม้ค้ำพยุง โดยสอนการใช้ไม้ทั้งทางราบและทางบันได แล้วก็ถึงเวลากลับบ้านได้ คุณหมอให้หยุดงาน 2 เดือน และพบหมอทุกๆ 1 เดือน
13. พอเรากลับบ้าน ต้องใส่อุปกรณ์พยุงเข่าตลอดเวลา ทั้งตอนอาบน้ำและเวลานอน ตอนอาบน้ำจะใช้พลาสติกที่แร็บอาหารมาพันไว้แล้วใช้วิธีนั่งบนชักโครกอาบน้ำ ส่วนตอนนอนแบบว่าอึดอัดมาก คือทรมานสุดก็ตรงนี้แหละทุกคน เหมือนโดนรัดขาหรือถูกล่ามไว้ตลอดเวลาเพราะขยับไม่ค่อยได้ และทุกคืนขาเราจะกระตุกเหมือนมีคนมาดึงขา ก็จะสะดุ้งตื่นและนอนไม่ค่อยหลับ คุณหมอให้เราฝึกยกขา ขึ้นลง วันละ 1000 ครั้ง เพื่อสร้างกล้ามเนื้อ ฝึกเดินแต่ไม่ให้ลงน้ำหนักข้างที่ผ่า
14. 1 เดือนหลังผ่า ปลายเดือนธันวาคม ไปพบคุณหมอ คุณหมอบอกว่าแผลติดดี สามารถตัดไหมได้เลย ให้เราเดินลงน้ำหนักได้โดยยังใช้ไม้ค้ำพยุงและ ฝึกเหยียดขาให้ตรง (ขายังบวมอยู่ และเวลาฝึกเดินนานๆ ขาจะเป็นตะคริว)
15. 2 เดือนหลังผ่า ปลายเดือนมกราคม ไปพบคุณหมอ เราเดินขาไม่ตรง หมอให้ฝึกโดยให้เรายืน แล้วให้ญาติเอามือประคองเข่าแล้วดึงจากด้านหลัง ท่านี้ทำให้เราขาตรงขึ้นแต่ยังไม่เป็นปกติ และยังคงเดินโดยใช้ไม้ค้ำอยู่และขายังบวมเล็กน้อย อาการเป็นตะคริวเวลาฝึกเดินยังมีอยู่บ้างแต่ไม่บ่อย
16. 3 เดือนหลังผ่า กุมภาพันธ์ เราเดินได้โดยไม่ใช้ไม่ค้ำ แต่ยังเดินไม่ปกติ เดินได้ก้าวสั้นๆ คุณหมอบอกว่าต้องหมั่นยืดขาให้ตรง และหมั่นยกขาเพื่อสร้างกล้ามเนื้อ
17. ตอนนี้ผ่านไป 7 เดือน หลังผ่า เราเดินได้เกือบปกติ ปั่นจักรยานได้ วิ่งได้เยาะๆ แต่ยังงอขาได้ไม่ 100% ยังนั่งขัดสมาธิยังไม่ได้ แต่ก็ดีขึ้นมากแล้ว
ต้องขอขอบคุณผู้มีพระคุณทุกคนที่คอยช่วยเหลือ ที่สำคัญคือคนเฝ้าไข้และอยู่เป็นกำลังกายกำลังใจให้ตลอด คุณหมอที่เก่งมากๆที่สามารถผ่าตัดให้เรากลับมาเดินได้ปกติ พี่ที่แนะนำให้ไปพบคุณหมอ รวมถึงเพื่อนร่วมงานทุกคนที่คอยถามไถ่
สุดท้ายนี้ เราอยากจะบอกว่า ขอให้ทุกคนดูแลสุขภาพดีๆ หากรู้สึกเจ็บปวดไม่สบายตรงไหน ควรรีบพบแพทย์ อย่าปล่อยให้เรื้อรังและอาการรุนแรงแบบเรา เจ็บเข่า เข่าหลวม หลงคิดว่าแค่อักเสบ เดี๋ยวก็หาย เป็นไง เกือบเป็นคนขาเป๋แล้ว
และทำให้รู้ว่า เงินเท่านั้นที่ Knock everything ชีวิตเราเลือกได้นะทุกคน
ซื้อประกันไว้บ้างก็อุ่นใจ เพราะถ้าเจ็บมาทีไรก็ไม่ต้องจ่ายเป็นแสนๆ เบี้ยปีละหลักพัน ถ้าได้ใช้ก็ถือว่าคุ้มนะ ถ้าไม่ได้ใช้ก็ถือว่าซื้อยันต์กันภัยไป555
แชร์ประสบการณ์ผ่าตัดโดยการส่องกล้อง รักษา เอ็นไขว้หน้าขาดและหมอนรองกระดูกฉีก
1. เริ่มจาก ประมาณ 10 ปี ก่อนหน้านี้ จขกท.ซ้อมกีฬาเทควันโดแล้วเข่าพลิก เล่นต่อไม่ได้ เดินลงนำหนักไม่ได้ ก็เดินกะเผลกๆอยู่เป็นอาทิตย์ และมีอาการเจ็บอยู่เป็นเดือน ก็ไม่ได้ไปหาหมอ เพราะคิดว่าคงแค่อักเสบ กินยาทายาก็หาย แล้วอาการเจ็บก็น้อยลงและหายไปเอง (แต่หารู้ไม่ นั่นแหล่ะ เอ็นไขว้หน้า น่าจะขาดตั้งแต่ตอนนั้น (><)! เพราะหลังจากนั้นเป็นต้นมาก็มีอาการเข่าหลวม รู้สึกไม่มั่นคง เสียวๆเวลากระโดด หรือวิ่งเร็วๆ และเมื่อเล่นกีฬาแรงๆหนักๆ ก็จะมีอาการเจ็บทุกครั้ง แต่ก็หายมาได้ตลอด 555
2. จนกระทั่ง 7 พ.ย. 2565 ที่ทำงานมีจัดแข่งกีฬาสีประจำปี จึงได้ลงแข่งแตะฟุตบอล ด้วยความเอาจริงเอาจัง แบบว่าสีข้าต้องชนะ ก็ได้ทุ่มกำลังเต็มที่ ถึงแม้ว่าจะแตะโดนบอลแค่ 2 ที ก่อนจะกระโดดนิดหน่อยเพื่อรับบอล พอจังหวะลง แม่เจ้า ขยับเดินไม่ได้ รู้สึกว่าเข่าซ้ายเดินลงน้ำหนักไม่ได้เลย ต้องยกมือขอออกจากสนาม ก็ปฐมพยาบาลเบื้องต้นพอเป็นพิธี แต่โชคดีในการแข่งกีฬาครั้งนี้มีอาจารย์หมอไปร่วมแข่งด้วย ก็ได้มาช่วยดูอาการแล้วบอกว่า ให้ไปทำ MRI ที่โรงพยาบาลดูอีกที
3. หลังจากนั้น 1 สัปดาห์อาการปวดลดลง แต่มีอาการงอไม่ได้ เหยียดไม่สุด เหมือนมีอะไรคาอยู่ที่เข่า แต่ก็ยังไม่ไปหาหมออีกนะ555 ทนเดินแบบนั้นมาประมาณ 1 เดือน อาการไม่ดีขึ้นจึงไปหาหมอ(รพ.รัฐ) หมอที่เราไปพบ ใจดีมาก พูดดี เป็นกันเอง และเก่งมาก หมอตรวจดูแล้วสงสัยว่า เอ็นไขว้หน้าเข่าขาด จึงส่งตรวจ MRI แต่ไม่ได้ทำทันทีนะทุกคน เราต้องไปทำนัดก่อน รอตรวจ MRI (เราใช้สิทธิข้าราชการไม่มีค่าใช้จ่าย ปกติราคาจะประมาณ 8,000-10,000 บาท) ได้คิวทำอีกทีประมาณ 1 สัปดาห์ (เพราะติดวันหยุดยาวด้วย) ผล MRI พบว่า เอ็นไขว้หน้าขาดและหมอนรองกระดูกฉีก!!ต้องผ่าตัดให้เร็วที่สุดเพราะมีของเหลวคลั่งอยู่ในเข่าด้วย!!อาจเพราะเรามาหาหมอช้าและเดินเยอะเกิน
4. หลังทราบผล MRI หมอนัดผ่าอีกที 2 สัปดาห์ หมอแจ้งว่าไม่มีค่าใช้จ่ายในการผ่าตัด แต่ต้องจ่ายส่วนเกินที่เบิกกรมบัญชีกลางไม่ได้ประมาณ 2-3 หมื่นบาท เป็นค่ากล้องผ่าตัด (ผ่าตัดแบบส่องกล้อง ซึ่งกล้องเช่าของบริษัทเอกชน) พระเจ้า!! คิดว่าสิทธิเบิกจ่ายตรงของข้าราชการจะครอบคลุม อ่ะนะ แต่ไม่เลย ใครคิดจะเป็นข้าราชการเพียงเพราะสวัสดิการรักษาพยาบาล เราก็ว่าดีนะ แต่แต่แต่ก็ให้คิดดีดี โชคดีที่เราทำประกันสุขภาพไว้ แต่โชคดีแค่นิดเดียว555 เพราะดันทำแบบมีค่า Excess ที่เราต้องจ่ายค่าเสียหายส่วนแรก 20,000 บาทก่อน หากค่ารักษาพยาบาลเกินกว่า 20,000 ประกันถึงจะจ่าย
5. มีพี่ที่รู้จักแนะนำให้ไป รพ.เอกชน คุณหมอดูผล MRI แจ้งว่ามีเลือดคั่ง ควรผ่าตัดทันที ถ้าตกลงผ่า นัดผ่าในอีก 2 วัน ตอนนั้น จขกท.รีบตอบตกลงเลย เพราะรู้สึกว่าใช้ชีวิตลำบากหากต้องรออีก 2 สัปดาห์ คือทรมานอ่ะ เลยปรึกษาประกันแล้ว สามารถเคลมได้ จึงตัดสินใจผ่ากับคุณหมอ ที่ รพ.เอกชน
6. ก่อนผ่า 1 วัน 29/11/65 แอดมิท เพื่อเตรียมตัวและตรวจร่างกาย เจาะเลือด + เอกซ์เรย์ปอด + ตรวจโควิด และงดน้ำ+อาหาร ให้น้ำเกลือและวิสัญญีแพทย์มาคุยเรื่องขั้นตอนการบล็อกหลัง แจ้งว่าเข็มเล็กเท่าเส้นผม ไม่เจ็บมาก ทั้งคุณหมอ พยาบาล และพนักงานทุกคน ให้บริการดีมาก ออเท่าที่อ่านรีวิวมาบางคนจะได้ใส่สายสวนปัสสาวะด้วย แต่เราไม่ได้ใส่ แค่มีพี่พยาบาลมาถามว่าปัสสาวะรึยัง เข้าห้องน้ำไปกี่รอบ พอดีเราเป็นคนเข้าห้องน้ำบ่อยบวกกับตื่นเต้นด้วย จำได้ว่า 4-5 ครั้งเลย เป็นเหตุทำให้เราไม่ต้องใส่สายสวนรึเปล่า แต่ก็ดีแล้วที่ไม่ต้องเจ็บ555
7. ถึงวันผ่าตัด 30/11/65 ก็มีพี่พยาบาลเอาชุดมาให้เปลี่ยน เป็นชุดสำหรับเข้าห้องผ่าตัด แบบว่าเขาไม่ให้ใส่กางเกงในนะก็จะเย็นๆหน่อย แล้วก็มีพี่พนักงานเปลมาย้ายเราขึ้นเตียงรถเข็นไปที่ห้องรอผ่าตัด พอมาถึงก็มีพยาบาลมาวัดสัญญาณชีพต่างๆ สักพักพอได้เวลาก็เข็นเตียงเราเข้าห้องผ่าตัด ครั้งแรกของการเข้าห้องผ่าตัดใหญ่ของตัวเองตื่นเต้นสุดๆ คือมีทีมงานอยู่ในห้องนั้นประมาณสิบกว่าคนได้ เครื่องไม้เครื่องมือทางการแพทย์เต็มไปหมด แอร์เย็นจัดจนสั่นและหนาวสุด หนาวกว่าทุกฤดูที่เคยผ่านมาทั้งชีวิตอีก555 เตียงผ่าตัดจะเป็นแบบแคบพอประมาณแค่ตัวเรานอน แขนทั้งสองข้างต้องกางออกมีสายน้ำเกลือมือด้านหนึ่ง แขนอีกข้างใส่ที่วัดความดันไว้และมีเสียงติ๊ดๆต๊อดๆของสัญญาณชีพเราดังเลอดเวลา เมื่อพร้อมแล้วคุณหมอมาทำการบล็อกหลังโดยให้เรานอนตะแคง งอตัว เข่าชิดอก จังหวะนั้นคือกลัวมากตัวสั่นหงึกๆเลย ทั้งกลัวทั้งหนาว555 พี่พยาบาลก็ใจดีมากช่วยจับมือเราไว้และให้กำลังใจอยู่ข้างๆ คุณหมอก็เช็ดบริเวณที่จะบล็อกหลัง ยังไม่ทันเจ็บก็บอกว่าบล็อกหลังเสร็จแล้ว หลังจากนั้นก็รู้สึกอุ่นวาบลงไปที่ช่วงล่างตั้งแต่เอวลงไปเลย แล้วคุณหมอก็ฉีดยาไปที่บริเวณขาหนีบละต้นขาอีก ไม่แน่ใจว่า 2-3 ที่ได้ แล้วก็ใช้สำลีเย็นๆเช็ดทดสอบว่าเรายังรู้สึกไหม แรกๆก็ยังรู้สึกอยู่สักพักเริ่มชาและไม่รู้สึกแล้ว จากนั้นก็เอาออกซิเจนมาสวมครอบจมูก ไม่ถึง 3 นาที ภาพก็ตัดหลับไปเลย
8. หลังจากตื่นมา พบว่าผ่าตัดเรียบร้อยแล้ว เข้าห้องผ่าตัด 21.30 น. ออกห้องผ่าตัด 00.45 น. นอนดูอาการที่ห้องพักฟื้น รู้สึกหนาวมากๆ อาการหนาวแบบสั่นควบคุมตัวเองไม่ได้ พี่พยาบาลก็เอาผ้ามาห่มให้เพิ่ม อาการก็ค่อยๆทุเลาลง ครบ 1 ชั่วโมง พี่พนักงานเปลก็มาย้ายเราขึ้นเตียงรถเข็นกลับถึงห้องพัก 01.50 น. จากนั้น
9. เมื่อกลับมาถึงห้องพักฟื้น พยาบาลเอา ICE PACK มาวางประคบให้ที่บนเข่า เราก็หลับไปไม่มีอาการปวดใดๆ เพราะยังชาจากฤทธิ์ยาอยู่ ตื่นมาอีกทีประมาณ 04.30 น.มีอาการปวดมากๆ ปวดขาและปวดหลังบริเวณที่เราโดนบล็อกหลัง แจ้งพยาบาลขอยาแก้ปวด พยาบาลจึงมาฉีดมอร์ฟีนให้ โอเคดีขึ้น นอนต่อได้
10. ประมาณ 14.00 น. พยาบาลแจ้งว่าให้หัดเดินที่แผนกกายภาพ นักกายภาพบำบัดช่วยยกขาเราขึ้นลง 20 ครั้งและโยกซ้าย – ขวา 20 ครั้ง จากนั้นให้เราหัดเดิน จากการเดินครั้งแรกเดินโดยใช้ ที่ช่วยพยุง 4 ขา เราเดินไปได้สักพัก รู้สึกหน้ามืดเหมือนจะเป็นลม อาจเพราะฤทธิ์ของมอร์ฟีนด้วย จึงหยุดกายภาพและกลับมาห้องพัก
11. จากนั้นก็นอนอยู่แต่บนเตียง เพราะคุณหมอห้ามลุกจากเตียง เมื่อยหลังมาก เพราะนอนนานไม่ได้เปลี่ยนท่า คุณหมอมาดูแผล มาสอนวิธีเดินไม่ให้ลงน้ำหนักข้างที่ผ่า แจ้งว่าพรุ่งนี้สามารถกลับบ้านได้เลย คุณหมอบอกว่าเคสเราผ่ายาก เป็นแบบที่รุแรงมากเนื่องจากหมอนรองกระดูกที่ฉีกพลิกมาขัดที่ข้อ สาเหตุที่ทำให้เรางอไม่ได้ เหยียดไม่สุด และเราทิ้งไว้นาน ถ้านานกว่านี้โชคร้ายอาจต้องตัดหมอนรองกระดูกออก แต่ของเรายังพอรักษาได้
12. วันรุ่งขึ้น ไปฝึกเดินที่แผนกกายภาพอีกครั้ง นักกายภาพบำบัดบริการดีมาก สอนให้ใช้ไม้ค้ำพยุง โดยสอนการใช้ไม้ทั้งทางราบและทางบันได แล้วก็ถึงเวลากลับบ้านได้ คุณหมอให้หยุดงาน 2 เดือน และพบหมอทุกๆ 1 เดือน
13. พอเรากลับบ้าน ต้องใส่อุปกรณ์พยุงเข่าตลอดเวลา ทั้งตอนอาบน้ำและเวลานอน ตอนอาบน้ำจะใช้พลาสติกที่แร็บอาหารมาพันไว้แล้วใช้วิธีนั่งบนชักโครกอาบน้ำ ส่วนตอนนอนแบบว่าอึดอัดมาก คือทรมานสุดก็ตรงนี้แหละทุกคน เหมือนโดนรัดขาหรือถูกล่ามไว้ตลอดเวลาเพราะขยับไม่ค่อยได้ และทุกคืนขาเราจะกระตุกเหมือนมีคนมาดึงขา ก็จะสะดุ้งตื่นและนอนไม่ค่อยหลับ คุณหมอให้เราฝึกยกขา ขึ้นลง วันละ 1000 ครั้ง เพื่อสร้างกล้ามเนื้อ ฝึกเดินแต่ไม่ให้ลงน้ำหนักข้างที่ผ่า
14. 1 เดือนหลังผ่า ปลายเดือนธันวาคม ไปพบคุณหมอ คุณหมอบอกว่าแผลติดดี สามารถตัดไหมได้เลย ให้เราเดินลงน้ำหนักได้โดยยังใช้ไม้ค้ำพยุงและ ฝึกเหยียดขาให้ตรง (ขายังบวมอยู่ และเวลาฝึกเดินนานๆ ขาจะเป็นตะคริว)
15. 2 เดือนหลังผ่า ปลายเดือนมกราคม ไปพบคุณหมอ เราเดินขาไม่ตรง หมอให้ฝึกโดยให้เรายืน แล้วให้ญาติเอามือประคองเข่าแล้วดึงจากด้านหลัง ท่านี้ทำให้เราขาตรงขึ้นแต่ยังไม่เป็นปกติ และยังคงเดินโดยใช้ไม้ค้ำอยู่และขายังบวมเล็กน้อย อาการเป็นตะคริวเวลาฝึกเดินยังมีอยู่บ้างแต่ไม่บ่อย
16. 3 เดือนหลังผ่า กุมภาพันธ์ เราเดินได้โดยไม่ใช้ไม่ค้ำ แต่ยังเดินไม่ปกติ เดินได้ก้าวสั้นๆ คุณหมอบอกว่าต้องหมั่นยืดขาให้ตรง และหมั่นยกขาเพื่อสร้างกล้ามเนื้อ
17. ตอนนี้ผ่านไป 7 เดือน หลังผ่า เราเดินได้เกือบปกติ ปั่นจักรยานได้ วิ่งได้เยาะๆ แต่ยังงอขาได้ไม่ 100% ยังนั่งขัดสมาธิยังไม่ได้ แต่ก็ดีขึ้นมากแล้ว
ต้องขอขอบคุณผู้มีพระคุณทุกคนที่คอยช่วยเหลือ ที่สำคัญคือคนเฝ้าไข้และอยู่เป็นกำลังกายกำลังใจให้ตลอด คุณหมอที่เก่งมากๆที่สามารถผ่าตัดให้เรากลับมาเดินได้ปกติ พี่ที่แนะนำให้ไปพบคุณหมอ รวมถึงเพื่อนร่วมงานทุกคนที่คอยถามไถ่
สุดท้ายนี้ เราอยากจะบอกว่า ขอให้ทุกคนดูแลสุขภาพดีๆ หากรู้สึกเจ็บปวดไม่สบายตรงไหน ควรรีบพบแพทย์ อย่าปล่อยให้เรื้อรังและอาการรุนแรงแบบเรา เจ็บเข่า เข่าหลวม หลงคิดว่าแค่อักเสบ เดี๋ยวก็หาย เป็นไง เกือบเป็นคนขาเป๋แล้ว
และทำให้รู้ว่า เงินเท่านั้นที่ Knock everything ชีวิตเราเลือกได้นะทุกคน
ซื้อประกันไว้บ้างก็อุ่นใจ เพราะถ้าเจ็บมาทีไรก็ไม่ต้องจ่ายเป็นแสนๆ เบี้ยปีละหลักพัน ถ้าได้ใช้ก็ถือว่าคุ้มนะ ถ้าไม่ได้ใช้ก็ถือว่าซื้อยันต์กันภัยไป555