Review ชีวิตหลังจากผ่าตัดเอ็นไขว้หน้า

สวัสดีค่ะทุกๆท่านสาวแว่น
     เนื่องจากเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2560 จขกท.ได้เข้ารับการผ่าตัดเอ็นไขว้หน้าบริเวณหัวเข่าข้างขวา และวันนี้ก็เป็นวันครบรอบ 4 สัปดาห์หลังจากผ่าตัด จขกท.จึงตั้งกระทู้นี้เพื่อจะมาบอกเล่าประสบการณ์ เพื่อเป็นแนวทางไว้สำหรับคนที่มีอาการบาดเจ็บเดียวกันค่ะ

     *กระทู้นี้เป็นกระทู้แรกอย่างเป็นทางการของจขกท. หากมีข้อผิดพลาดประการใดก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ ด้วยนะคะอมยิ้ม07อมยิ้ม07

     ก่อนอื่นก็ขออนุญาตแนะนำตัวก่อนนะคะ ขณะนี้จขกท.อายุ 18 ปีค่ะ เป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 1 ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ค่ะ

     สาเหตุของอาการบาดเจ็บ : จขกท.ได้มีโอกาสเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนของโครงการ OEG ประเทศฝรั่งเศส เมื่อปี 2558 ค่ะ ได้ไปเล่นสกี (เป็นครั้งแรกในชีวิต) กับ Host family ค่ะ แล้วก็เกิดอุบัติเหตุล้มบนลานสกีเลย คือล้มบนเขาจนต้องเรียกรถมาลากลงไปสถานพยาบาลกันเลยทีเดียว...

     ความรู้สึกแรกหลังจากล้ม : คือเวลาเราเล่นสกี ขาของเราจะบิดนิดหน่อยเพื่อบังคับทิศทางค่ะ ทีนี้ตอนล้ม จขกท.ก็ล้มลงไปโดยที่เข่าบิดอย่างแรง คือ ณ ตอนนั้นที่ล้มยังไม่รู้สึกเจ็บเท่าไหร่นะคะ มันมึนๆงงๆมากกว่า แล้วพอเราลุกเพื่อจะไถสกีต่อ ขาเราสั่นค่ะ พอเราพยายามจะใส่รองเท้าสกีใหม่อีกรอบ ตรงเข่าเราก็ดัง 'กึก' แล้วเราก็ทรุดลงไปร้องไห้เลยค่ะ เพราะเจ็บมากๆๆๆๆๆ ทางโฮสต์เลยต้องโทรเรียกหน่วยฉุกเฉินมารับ (ก็เป็นประสบการณ์ในชีวิตที่หาได้ยากนะคะ 55555555555)

     การปฐมพยาบาลเบื้องต้น : พอเราโดนลากลงมาจากลานสกีไปสถานพยาบาล คุณหมอที่นู้นก็วินิจฉัยได้ทันทีเลยค่ะว่า เอ็นไขว้หน้าของเราขาด แต่ยังไม่แน่ใจว่าหมอนรองกระดูกมีปัญหาอะไรมั้ย เพราะต้อง MRI ถึงจะรู้ แต่เราไม่ได้ผ่าตัดที่นู้น เพราะอีก 3-4 เดือนเราก็จะกลับประเทศไทยแล้ว คุณหมอเลยใส่ที่ดามขาไว้ให้ (ซึ่งพอผ่านไปสักพักเราก็เดินได้ปกติโดยไม่ต้องใช้) และก็แนะนำให้ไปหานักกายภาพบำบัดเพื่อสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อบริเวณรอบหัวเข่าค่ะ ด้วยความว่าประกันของเรามันครอบคลุมการทำ MRI โฮสต์ก็เลยพาเราไปทำที่โรงพยาบาลที่ฝรั่งเศสเลยค่ะ สรุปก็คือ หมอนรองกระดูกของเราฉีกด้วย ทางคุณหมอที่นู้นก็แนะนำว่าให้เราผ่าตัด เพราะอายุยังน้อย และถ้าปล่อยไว้นานๆจะทำให้ข้อเข่าเสื่อมค่ะ


อันนี้คือที่ดามขาที่คุณหมอฝรั่งเศสใส่ให้ โดยเราจะงอขาไม่ได้เลยค่ะ และอาการบวมของเข่าก็น่ากลัวมาก

     หลังจากนั้นเราก็เดินทางกลับมาประเทศไทยด้วยสภาพปกติทุกอย่าง เพราะตอนนั้นเข่าก็ฟื้นตัวและหายบวมแล้ว และด้วยความที่เราไม่รู้สึกว่าการที่เอ็นเข่าขาดมันเป็นปัญหากับชีวิตเท่าไหร่ เพราะจขกท.ไม่ได้เล่นกีฬาเป็นงานอดิเรก แค่ชอบฟิตเนส วิ่งลู่วิ่ง ยกเวท บ้าง ทำให้จขกท.ไม่ได้ไปหาหมอ และใช้ชีวิตหลังจากกลับมาจากฝรั่งเศสอย่างหัวหมุนเพราะต้องเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัย

     จุดเปลี่ยนที่ทำให้จขกท.ตัดสินใจเข้ารับการผ่าตัด เพราะจขกท.เริ่มรู้สึกเจ็บเวลาทำกิจกรรมทั่วไปในชีวิตประจำวันค่ะ เช่น การขับรถเวลาที่รถติด (เส้นแจ้งวัฒนะตอน 4 โมงเย็นเป็นนรกสำหรับจขกท.มากๆค่ะ), การเดินขึ้นบันไดหลายๆชั้น, การเต้นในคอนเสิร์ตกระโดดกอดคอเพื่อน เป็นต้น ซึ่งจขกท.รู้สึกว่ามันเริ่มจะทำความรำคาญให้กับชีวิตของเราแล้ว เลยได้บอกคุณพ่อให้ติดต่อหาหมอให้หน่อย

     โดยโรงพยาบาลที่จขกท.ตัดสินใจไป คือ โรงพยาบาลมงกุฎแจ้งวัฒนะ ค่ะ เพราะเป็นโรงพยาบาลที่ใกล้บ้านและจขกท.ก็ทำการรักษาอาการป่วยต่างๆที่นี่มาโดยตลอด โดยวันแรกที่ไปพบคุณหมอ คุณหมอก็ทำการเช็คหัวเข่าเลยค่ะว่าเข่าหลวมมั้ย ซึ่งคุณหมอตกใจมาก เพราะ จขกท.เข่าหลวมมากๆๆๆ ก็ได้นัดวันทำการผ่าตัดเป็นวันที่ 18 กรกฎา ที่ผ่านมาค่ะ

     คุณหมอที่ทำการผ่าตัด : คุณหมอเอกอุ เอี่ยมอรุณ ค่ะ โดยปกติคุณหมอน่าจะอยู่ที่โรงพยาบาลกรุงเทพด้วย เป็นแพทย์เฉพาะทางเวชศาสตร์การกีฬา, ศัลยศาสตร์อุบัติเหตุด้านออร์โธปิดิคส์ ค่ะ

     วันผ่าตัด : คุณหมอนัดเรามาที่โรงพยาบาลตอน 10 โมง และก็ให้เราเข้าไปนอนรอในห้องพักก่อนค่ะ งดน้ำงดอาหารหลังจากบ่าย เพราะจะทำการผ่าตัดตอน 19:00 น. ระหว่างนั้นจขกท.ก็นั่งๆนอนๆ มีเพื่อนๆมาให้กำลังใจอย่างล้นหลาม เพราะนี่เป็นการผ่าตัดครั้งแรกในชีวิตของจขกท.เลย ก่อนหน้านี้ไม่เคยโดนคุณหมอลงมีดมาก่อน ฮือๆ
     หลังจากนั้นพอ 18:30 น. พี่ๆพยาบาลก็มาพาจขกท.ไปที่วอร์ดผ่าตัดค่ะ ก็ได้พูดคุยกับคุณหมอผู้ช่วย คุณหมอใจดีมากๆ คอยชวนคุยและอธิบายขั้นตอนการผ่าตัด (แอบได้ยินพี่พยาบาลคุยกันว่าคุณหมอพึ่งกลับมาจากเรียนเฉพาะทางที่เยอรมัน) หลังจากนั้นก็ได้ฤกษ์เข้าห้องผ่าตัดค่ะ คุณหมอที่บล็อคหลังเป็นคุณหมอผู้หญิงที่น่ารักมากๆ ตอนบล็อคหลังสำหรับเราก็ค่อนข้างเจ็บนะคะ แต่มันก็จี๊ดเดียว ทีเดียว หลังจากนั้นท่อนล่างก็จะไม่รู้สึกอะไรอีกเลย 5555555555555 ตอนแรกคุณหมอจะฉีดยาสลบให้ค่ะ แต่จขกท.ไม่เอาเพราะไม่อยากหลับ ซึ่ง ณ จุดๆนี้จะทรมานมากค่ะ เพราะร่างกายที่ได้รับยาชาจะหนาวสั่นตลอดเวลา คุณหมอวิสัญญีแพทย์ก็คอยชะโงกหน้ามาถามตลอดค่ะว่าหนาวมั้ย มีมาชวนคุยด้วยว่าไปทำอะไรมา ฝรั่งเศสเป็นยังไง จขกท.ก็นอนตัวสั่นงึกๆ (ถึงจะมีเครื่องเป่าลมร้อนให้) รู้ตัวอีกทีก็ผ่าตัดเสร็จแล้วตอนเกือบๆ 5 ทุ่มค่ะ

     วันแรกหลังจากผ่าตัด : เป็นความพีคค่ะ เพราะจขกท.ฉี่ไม่ออก คือ ตอนนั้นจขกท.ยังขยับตัวไม่ได้ และจขกท.ไม่มีความสามารถพอที่จะนอนฉี่ค่ะ พี่พยาบาลก็มาคอยลุ้นว่าให้ลองดู พยายามเข้า จนเรากดดัน ทนไม่ไหว ร้องบอกเองเลยว่า 'สวนเลยค่ะ!' คือเราเป็นผู้หญิงอ่ะ เราไม่รู้สึกว่ามันเจ็บนะ สำหรับคุณผู้ชายอันนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันนะคะ รบกวนผู้มีประสบการณ์คอมเม้นท์บอกทีค่ะ 55555555555
     
     ด้านล่างนี่คือภาพวันแรกหลังผ่าตัด คุณหมอจะพันผ้าไว้แน่นและให้ยกขาสูงตลอดค่ะ ลดอาการบวม และพอเลือดในกระบอก(ที่ต่อมาจากเข่า)หยุดไหลก็จะเอาผ้าพันออก โดยคุณหมอก็บอกว่าต่อเอ็นเรียบร้อย แต่หมอนรองกระดูกนี่ต่อเย็บคืนไม่ได้ เลยตัดออกไปค่ะ


     หลังจากเอาผ้าพันออก : หลังจากนั้น 1-2 วัน คุณหมอก็แกะผ้าพันออก และเอาท่อออก (คุณหมอไม่นับเลยค่ะ ดึงออกดัง 'ป๊อก' น้ำตาเรานี่คลอเบ้าเลย) และได้ใส่สนับเข่าให้เป็นตัวล็อกองศา (ดังรูปข้างล่าง) โดยปรับไปที่ 60 องศาก่อนค่ะในตอนแรก แต่ตอนนั้นเรายังงอได้ไม่ถึง 10 องศาเลยค่ะ แค่กระเทือนนิดหน่อยก็เจ็บแล้ว ยิ่งตอนไปฝึกเดินโดยใช้ไม้ค้ำนี่ยิ่งทรมาน หลังจากนั้นก็ประคบเย็นเกือบจะ 24 ชม. เลยค่ะ


     สำหรับคนที่มีความคิดจะผ่านะคะ อย่างแรกเลยคือ ต้องมีคนดูแลค่ะ เพราะหลังผ่าเราจะต้องเข้าห้องน้ำบนเตียง (ใส่โถฉี่นั่นแหละ) ขยับไปไหนไม่ได้เลย มันจะลำบากมากๆ (จขกท.ล่อนอนโรงพยาบาลไป 6 วันเพราะพ่อบอกว่าถ้ากลับมาบ้านไม่มีคนดูแลเลยรอให้อาการเจ็บดีขึ้นก่อนค่อยออก แต่โดยปกติ 3 วันก็ออกได้แล้วค่ะ) ยิ่งพอกลับมาบ้านจะยิ่งลำบากในการอาบน้ำนะคะ (จขกท.ใช้วิธีเอาถุงดำมาตัดตูดครอบขาข้างที่ผ่าตัดเอาค่ะ แล้วก็นั่งโถส้วมอาบ สบาย)


หลังจากกลับบ้านมาก็จะได้ยามาทานทั้งหมด 3 ตัวค่ะ คือ แก้ปวด, ลดบวม และลดการอักเสบของกล้ามเนื้อและกระดูก ค่ะ

     ตัดไหม : หลังจากที่จขกท. กลับมาอยู่บ้านได้ 8 วัน ก็ทำกายภาพตามที่คุณหมอสั่ง (ถ้าอยากหายไวๆก็ต้องทำอย่างเคร่งครัดนะคะ แรกๆอาจจะเจ็บแต่ต้องอดทนค่ะ ไม่งั้นขาจะเป็นพังผืด จะงออีกไม่ได้เลย) ก็ได้เวลานัดไปตัดไหมค่ะ ซึ่งถึงเวลานี้มันก็จะคันยุบยิบเพราะแผลเริ่มแห้งค่ะ ตอนนี้จขกท.ก็งอได้ 60 องศาแล้วค่ะ คุณหมอเลยปรับเพิ่มเป็น 90 องศา และก็ให้อาบน้ำได้ปกติ ไม่ต้องกลัวแผลเปียกหลังจากตัดไหมได้ 2-3 วัน ค่ะ คุณหมอก็นัดอีกทีสิ้นเดือนนี้เลยค่ะ


อันนี้คือรูป 1 วันก่อนตัดไหม และ 3 วันหลังตัดไหมค่ะ

     พอขึ้นอาทิตย์ที่ 3 จขกท.ก็เริ่มวางน้ำหนักลงขาได้แล้วค่ะ ไม่รู้สึกเจ็บมากเท่าไหร่ แต่ก็ต้องคอยระวังไม่ให้เข่าเราช้ำมากเกินไป ไม่งั้นถ้าเป็นอะไรขึ้นมาอีกก็จะซวยนะคะ 55555555555 ขาจะลีบและต้นขาจะย้วยเป็นปกติค่ะ เพราะไม่ได้ใช้งาน พอเข่าหายดีแล้วก็ต้องกลับมาฟิตให้กล้ามเนื้อกลับมาค่ะ พอช่วงกลางๆอาทิตย์ที่ 3 จขกท.ก็งอได้ครบ 90 องศาแล้วค่ะ วันนี้จขกทก็เดินได้แล้วโดยไม่ใช้ไม้ค้ำ แต่ก็จะกระเผลกๆหน่อย แต่ถ้าเดินเยอะๆก็คงจะใช้ไม้ค้ำช่วยไว้ค่ะเพื่อความปลอดภัย เป็นอันจบมหากาพย์ชีวิต 4 อาทิตย์แสนสาหัสค่ะ จขกท.สามารถปล่อยไม้ค้ำได้ในอาทิตย์ที่ 4 พอดิบพอดี ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับอาการของแต่ละบุคคลด้วยค่ะ เห็นว่าถ้าในเคสที่เย็บหมอนรองกระดูกอาจจะต้องใช้ไม้ค้ำไปถึง 2 เดือนเลยก็มีค่ะ

     อุปกรณ์หลังผ่าตัด :


อุปกรณ์แรกสำคัญมาก ก็คือ ตัวล็อคองศา ค่ะ ตัวนี้ราคาประมาณ 2000 บาทค่ะ


ยาทาแก้ปวดค่ะ ต้านการอักเสบจากการบาดเจ็บของเอ็น ตัวนี้คุณหมอจ่ายให้ตอนไปตัดไหม เราจะทาเวลาที่เข่าเราตึงๆตอนตื่นนอน ทาแล้วไม่ร้อนไม่เย็นค่ะ เราชอบทายาตัวนี้ แล้วก็ประคบเย็นค่ะ พอผ่านไปสักพักเข่าก็จะเลิกงอแง กลับสู่สภาวะปกติค่ะ


แผ่นประคบเย็น 200 บาทค่ะ


อาวุธคู่กายในช่วง 3 สัปดาห์แรกของจขกท.เองค่ะ


เป็นเพื่อนรักคนใหม่ของจขกท.หลังจากที่ทิ้งไม้ค้ำยันไปค่ะ เป็นสนับเข่าแบบมีแกนด้านข้าง จขกท.รู้สึกปลอดภัยมากเวลาที่ใส่เจ้านี่เดิน ราคาประมาณเกือบๆ 2000 ค่ะ ซื้อที่โรงพยาบาลค่ะ


ชีวิตของผู้หญิงก็เป็นปกติที่จะรู้สึกกังวลกับรอยแผลใช่มั้ยคะ ยิ่งจขกท.ชอบใส่ขาสั้นมากเลยรีบไปถามพี่ๆเภสัชมาเลยค่ะ จขกท.ใช้ 2 ตัวนี้ค่ะ แผ่นแปะ Cica-care ราคา 1500 บาท ส่วน Dermatix ราคาประมาณ 700 บาทค่ะ ซื้อที่ร้านขายยาในห้างเซ็นทรัลแถวบ้าน พึ่งเริ่มใช้ได้ไม่ถึงเดือนเลยยังให้คำรีวิวไม่ได้ ไว้จะมาตั้งกระทู้บอกถึงผลลัพธ์อีกทีนะคะ

     ค่าใช้จ่าย : ด้วยความที่ว่าจขกท.ผ่าตัดที่โรงพยาบาลเอกชน ค่ารักษาเลยค่อนข้างแพงค่ะ จำแนกหลักๆตามใบเสร็จได้ว่า
- ค่าทำศัลยกรรม 70,000 บาท
- ค่าเวชภัณฑ์ (1) 57,000 บาท
- ค่าเครื่องมือในห้องผ่าตัด 11,800 บาท
- ค่าห้อง 12,000 บาท >>> แหงสิ หล่อนเล่นนอนไปตั้ง 5 คืน
นอกจากนี้ก็มีค่ายิบย่อยอีกเยอะแยะไปหมด
     รวมเบ็ดเสร็จทั้งหมด 200,500 บาท ค่ะ แต่เพราะเรามีประกันของอยุธยากับAIA สุดท้ายเลยจ่ายเองทั้งหมด 61,000 กว่าบาทค่ะ ซึ่งก็เป็นราคาที่ทางบ้านเรารับได้ สำหรับความสะดวกสบายต่างๆที่เราได้รับ เพราะเราไม่สามารถรอคิวการผ่าตัดที่โรงพยาบาลรัฐได้เนื่องจากตารางเรียนที่กระชันชิดของเราค่ะ สำหรับใครที่มีการวางแผนระยะยาวว่าจะผ่าก็ลองไปจองคิวที่โรงพยาบาลรัฐก็น่าจะดีกว่านะคะ

     สุดท้ายนี้เราก็หวังว่ากระทู้นี้จะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อยแก่คนที่เข้ามาอ่านนะคะ หากมีข้อสงสัยใดๆสามารถถามไว้ได้เลยค่ะ จขกท.จะพยายามเข้ามาตอบให้ไวที่สุดนะคะ ขอลาไปด้วยรูปแผลล่าสุดที่ถ่ายวันนี้สดๆร้อนๆแล้วกันค่า


หัวใจหัวใจหัวใจหัวใจหัวใจหัวใจหัวใจหัวใจหัวใจหัวใจหัวใจหัวใจหัวใจหัวใจหัวใจ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่