ความน่าสนใจของผมอยู่ที่การเล่าเรื่องของแวมไพร์ในรูปแบบใหม่ที่ฉีกภาพลักษณ์จากเดิมออกไปจากที่เคยกัดคอดูดเลือดเหยื่อเปลี่ยนมาเป็นรูปแบบของสารเสพติดแทน แล้วเพิ่มความรุนแรงของแนวนี้ให้มันส์ขึ้น แต่ไม่คิดว่าผู้กำกับ Joe Begos จาก The Mind’s Eye (2015) แกจะเติมของหนักขนาดนี้ เพราะมันเต็มไปด้วยมหกรรมความมันส์จากการยำหนังตระกูลแวมไพร์ x 2 ที่บ้าคลั่งไม่สนสี่สนแปดอะไรทั้งสิ้น ด้วยระยะเวลา 1 ชั่วโมง 20 นาทีที่ผ่านไปค่อนอย่างไว เราจึงอินกับการเล่าเรื่องของมันได้ง่ายขึ้น แม้บางช่วงจะดูยากไปหน่อยเพราะโทนสีที่ใช้ส่วนใหญ่เป็นสีม่วงอมดำทั้งเรื่อง ส่วนใหญ่จะมืด ๆ จึงมองไม่ค่อยเห็นภาพในเรื่องซะเท่าไหร่ แม้หนังหน้าจะดูเป็นหนัง Horror แผ่นผีใต้ดินแต่แอบสังเกตได้ว่าเนื้อในกลับมีการพูดถึงปัญหาทางสังคมที่มองนักศิลปินเป็นอาชีพไร้อนาคต การตัดสินผลงานของศิลปินเพียงแค่ราคาโดยไม่ได้สนับสนุนปัจจัยอื่นที่มากไปกว่าการคำนึงถึงความฝัน ชื่อเสียง หรือ ความสำเร็จ รวมถึงการแบ่งแยกสถานะชนชั้นที่ถูกปกครองด้วยระบบทุนนิยมซ่อนรูปอยู่ในจารีตการวางตนในหมู่สังคมด้วยการเสียดสีด่าทอด้วยท่าทีเกรี้ยวกราดผ่านโลกของศิลปะได้น่ากลัว ขยะแขยง และบ้าคลั่งเกินกว่าจะคาดคิดไว้ แม้จะไม่ได้ขยี้ในประเด็นสังคมให้แตกละเอียดเท่าไหร่ แต่อย่างน้อยมันก็พอได้มีพื้นที่ให้กล่าวถึงให้เรื่องดูมีน้ำมีนวลกับคนปกติเขาเหมือนกัน
เปิดเรื่องมาจะโฟกัสไปที่ชีวิตของนางเอกซึ่งเป็นจิตรกรสาวโนเนมที่รับบทโดย Dora Madison จาก VFW (2019) กำลังวาดภาพภาพหนึ่งด้วยความขะมักเขม้นเพื่อส่งเข้าประกวดงานศิลปะที่กำลังจะจัดขึ้นเร็วๆนี้ ขณะเดียวกันก็กำลังเผชิญปัญหาส่วนตัวรายล้อมอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน , เงิน , เพื่อนฝูง หรือ สภาพสังคมที่ล้วนเป็นอุปสรรคต่อความฝันในการเป็นศิลปินชื่อดังของเธอ ตรงจุดนี้หนังทำให้เราสามารถสัมผัสกับชีวิตชนชั้นกลางของเธอที่ดิ้นรนต่อสู้ท่ามกลางโลกระบบทุนนิยมค่อนข้างน่าเห็นใจอยู่พอสมควร แล้วออกเป็นพาร์ท Drama ไปซักนิด แต่ก็ไม่ได้เล่นในส่วนนี้ให้ยืดเยื้อจนนานไปจนกระทั่งนางเอกได้เจอกับสาวลึกลับคนหนึ่งในผับรับบทโดย Tru Collins จาก Welcome to the Men’s Group (2016) แล้วได้รับยาเสพติดมาด้วยเท่านั้นแหล่ะความสนุกจึงเริ่มทำงานขึ้นทันที ถ้ามองในความเป็นจริงมันก็ปฏิเสธไม่ได้อีกว่า วงการศิลปินมันต้องมีเรื่องของสุรา นารี และ ยาเสพติดเข้ามาเกี่ยวข้องกันอยู่แล้วเหมือนเป็นไฟลท์บังคับว่าถูกให้เป็นของคู่กัน มันจึงกลายเป็นภาพจำเชิงติดลบว่า เป็นศิลปินต้องแต่งกายไม่เรียบร้อย เสพยา สูบบุหรี่ ทำตัวขวางโลก สร้างกฎเกณฑ์ให้ตนเองโดยไม่สนว่าคนอื่นคิดยังไงไปสำหรับคนส่วนมากทันที
ความที่เป็นหนังอินดี้ ทุนต่ำ ข้อดีคือกล้าได้กล้าเสียเต็มที่ กล้านำเสนอ idea ที่แปลกใหม่ไร้ขีดจำกัด โดยไม่ต้องยึดติดกับสิ่งเดิม ๆ การหยิบเรื่องดัดแปลงพล็อตแวมไพร์ก็เช่นกัน ถูกนำมาใช้ซ้ำไม่รู้กี่ครั้งแต่ยังขายได้อยู่ในยุคนี้เมื่อนำมาผสมองค์แต่งกับความเป็นศิลปะกับสไตล์ Gothic ดันเข้ากันอย่างหน้าตาเฉย บางช่วงก็ปล่อยให้ภาพอาร์ตๆเหล่านั้นบรรยายแทนบทสนทนานอกจากช่วยร่นเวลาให้เดินเร็วขึ้นแล้วยังช่วยทำให้ลืมความตึงเครียดจากการพยายามหาเหตุผลของมันไปได้ชั่วครู่เหมือนกัน ขณะเดียวกันก็สื่อสารกันยากเช่นกัน ไม่เข้าใจในสิ่งที่นำเสนอออกไปว่าจะสื่ออะไรกับเรากันแน่ ถ้าไม่คิดอะไรตรงจุดนี้มากนัก ก็ถือว่าตอบโจทย์ในแง่ความบันเทิงไปกับภาพปรุงแต่งด้วยโทนแดง-ดำ-น้ำเงิน ตัดด้วยแสง Neon เพิ่มด้วย Sound ประกอบแนว Punk Rock สร้างจังหวะให้ชวนประสาทแตก เวลาดูรู้สึกปวดตา มึนหัวบอกไม่ถูก ไม่พอแถมมีลูกเล่นจากมุมกล้องหมุนภาพตามใจฉันไปอีก ดูจบคงมีอ้วกแตกกันบ้างแหล่ะ
ข้อดีที่ชอบก็คือ ไม่มีมุกตลกพร่ำเพรื่อใส่มาให้ขัดใจและเสียอรรถรสของโทนหนังที่วางไว้เลย แต่ก็ไม่วายดันมีความโง่งี่เง่าของบรรดาตัวละครสมทบที่ถูกฆ่าตายเล่น ๆ ง่าย ๆ อีกจนได้ ส่วนข้อเสียคือหนังไม่บอกถึงที่มาของยาเสพติดตัวต้นเหตุเลยว่ามาจากไหน รู้แต่ว่ามันคือสาเหตุของความ
พินาศให้แก่นางเอกแค่นั้น รวมถึงสาวในผับตัวต้นเหตุนั้นก็ไม่ได้ให้ความสำคัญอะไรทั้ง ๆ ที่เป็น Keywords สำคัญมากก็ไม่ใส่ใจลง details ไปด้วยเลย ถ้าหวังว่าจะเห็นฉากต่อสู้ฆ่าฟันเลือดสาดเร็ว ๆ ล่ะก็มี จะมาเป็นช่วงๆมากกว่า แถมหนังไม่ได้จงใจเน้นจังหวะ Jump Scared ตุ๊งแช่ตรงๆ แต่จะค่อย ๆ ให้เราซึมซับไปกับงานศิลปะที่นางเอกกำลังวาดเป็นกับแกล้มก่อนจากนั้นพอเข้าที่ก็ค่อย ๆ ปล่อยของปะทะฝีมือกันสุดฤทธิ์อย่างบ้าคลั่งจนเลือดสาดนรกแตกกันในช่วงท้ายเรื่องจนถึงขั้นสติแตกทันที
สรุปคือ ชอบ บ้ามาก คลั่งมาก สะใจที่สุด ดูไปรู้สึกว่าหัวจะระเบิดอยู่ตลอด แถมตัวหนังรู้ตัวเองดีว่าไม่ได้ทำมาเพื่อให้สังคมถูกใจว่าเป็นสิ่งที่เขาต้องการให้เป็นตาม Pattern ที่เขากำหนดหรือไม่ ก็เลยเล่นแทงสวนมุมกลับเต็มเหนี่ยวแต่คิดไม่ถึงว่ามันจะออกตัวแรงจนกู่ไม่กลับได้ขนาดนี้ อย่างที่บอกไปเริ่มต้นแล้วว่าเราถึงต้องทิ้งเหตุผลที่พยายามคิดมาออกไปทั้งหมด ซึ่งตัวผู้กำกับแกได้โยนของอะไรที่คิดว่าถ่วงน้ำหนักทั้งจำเป็นและไม่จะเป็นทิ้งออกไปอย่างไว แล้วประเคนด้วยจุดขายที่ซื้อคนดูได้ง่ายก็คือฉากสยองนองเลือดเข้าไปแทน ผลที่ได้คือมันคืองานมหกรรมปาร์ตี้นรกแตกอย่างหาที่สุดมิได้แล้วแถมยังเข้าถึงคนดูให้สนุกได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย ข้อแนะนำ ถ้าใครกลัวเลือดมาก ควรหลีกเลี่ยงหรือใช้วิจารณญาณในการรับชม หากใครอยากเปิดประสบการณ์แปลก ๆ เบื่อรสชาติเดิม ๆ หรือ ต้องการหาแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์งานศิลปะหรือเสพงานดนตรี เรื่องนี้ตอบโจทย์คุณได้อย่างดี เพราะนอกจากจะเดินชมภาพวาดสวย ๆ ฟังเพลงชิล ๆ แล้วที่เหลือก็เต็มไปด้วยแกลลอรี่ขายความโหดร้ายในสันดานมนุษย์ที่เต็มไปด้วยชิ้นส่วนอวัยวะกระจุยกระจายเลือดไหลเต็มพื้นมากมายจนรู้สึกอยากอาเจียนออกมาแทน
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like กด Share บทความของผม EMCONCEPT และ Facebook : EM Pascal เพื่อเป็นกำลังใจในการรีวิวครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
[CR] No.33 Bliss : บรรจงศิลป์ บรรเลงเลือด
ความน่าสนใจของผมอยู่ที่การเล่าเรื่องของแวมไพร์ในรูปแบบใหม่ที่ฉีกภาพลักษณ์จากเดิมออกไปจากที่เคยกัดคอดูดเลือดเหยื่อเปลี่ยนมาเป็นรูปแบบของสารเสพติดแทน แล้วเพิ่มความรุนแรงของแนวนี้ให้มันส์ขึ้น แต่ไม่คิดว่าผู้กำกับ Joe Begos จาก The Mind’s Eye (2015) แกจะเติมของหนักขนาดนี้ เพราะมันเต็มไปด้วยมหกรรมความมันส์จากการยำหนังตระกูลแวมไพร์ x 2 ที่บ้าคลั่งไม่สนสี่สนแปดอะไรทั้งสิ้น ด้วยระยะเวลา 1 ชั่วโมง 20 นาทีที่ผ่านไปค่อนอย่างไว เราจึงอินกับการเล่าเรื่องของมันได้ง่ายขึ้น แม้บางช่วงจะดูยากไปหน่อยเพราะโทนสีที่ใช้ส่วนใหญ่เป็นสีม่วงอมดำทั้งเรื่อง ส่วนใหญ่จะมืด ๆ จึงมองไม่ค่อยเห็นภาพในเรื่องซะเท่าไหร่ แม้หนังหน้าจะดูเป็นหนัง Horror แผ่นผีใต้ดินแต่แอบสังเกตได้ว่าเนื้อในกลับมีการพูดถึงปัญหาทางสังคมที่มองนักศิลปินเป็นอาชีพไร้อนาคต การตัดสินผลงานของศิลปินเพียงแค่ราคาโดยไม่ได้สนับสนุนปัจจัยอื่นที่มากไปกว่าการคำนึงถึงความฝัน ชื่อเสียง หรือ ความสำเร็จ รวมถึงการแบ่งแยกสถานะชนชั้นที่ถูกปกครองด้วยระบบทุนนิยมซ่อนรูปอยู่ในจารีตการวางตนในหมู่สังคมด้วยการเสียดสีด่าทอด้วยท่าทีเกรี้ยวกราดผ่านโลกของศิลปะได้น่ากลัว ขยะแขยง และบ้าคลั่งเกินกว่าจะคาดคิดไว้ แม้จะไม่ได้ขยี้ในประเด็นสังคมให้แตกละเอียดเท่าไหร่ แต่อย่างน้อยมันก็พอได้มีพื้นที่ให้กล่าวถึงให้เรื่องดูมีน้ำมีนวลกับคนปกติเขาเหมือนกัน
เปิดเรื่องมาจะโฟกัสไปที่ชีวิตของนางเอกซึ่งเป็นจิตรกรสาวโนเนมที่รับบทโดย Dora Madison จาก VFW (2019) กำลังวาดภาพภาพหนึ่งด้วยความขะมักเขม้นเพื่อส่งเข้าประกวดงานศิลปะที่กำลังจะจัดขึ้นเร็วๆนี้ ขณะเดียวกันก็กำลังเผชิญปัญหาส่วนตัวรายล้อมอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน , เงิน , เพื่อนฝูง หรือ สภาพสังคมที่ล้วนเป็นอุปสรรคต่อความฝันในการเป็นศิลปินชื่อดังของเธอ ตรงจุดนี้หนังทำให้เราสามารถสัมผัสกับชีวิตชนชั้นกลางของเธอที่ดิ้นรนต่อสู้ท่ามกลางโลกระบบทุนนิยมค่อนข้างน่าเห็นใจอยู่พอสมควร แล้วออกเป็นพาร์ท Drama ไปซักนิด แต่ก็ไม่ได้เล่นในส่วนนี้ให้ยืดเยื้อจนนานไปจนกระทั่งนางเอกได้เจอกับสาวลึกลับคนหนึ่งในผับรับบทโดย Tru Collins จาก Welcome to the Men’s Group (2016) แล้วได้รับยาเสพติดมาด้วยเท่านั้นแหล่ะความสนุกจึงเริ่มทำงานขึ้นทันที ถ้ามองในความเป็นจริงมันก็ปฏิเสธไม่ได้อีกว่า วงการศิลปินมันต้องมีเรื่องของสุรา นารี และ ยาเสพติดเข้ามาเกี่ยวข้องกันอยู่แล้วเหมือนเป็นไฟลท์บังคับว่าถูกให้เป็นของคู่กัน มันจึงกลายเป็นภาพจำเชิงติดลบว่า เป็นศิลปินต้องแต่งกายไม่เรียบร้อย เสพยา สูบบุหรี่ ทำตัวขวางโลก สร้างกฎเกณฑ์ให้ตนเองโดยไม่สนว่าคนอื่นคิดยังไงไปสำหรับคนส่วนมากทันที
ความที่เป็นหนังอินดี้ ทุนต่ำ ข้อดีคือกล้าได้กล้าเสียเต็มที่ กล้านำเสนอ idea ที่แปลกใหม่ไร้ขีดจำกัด โดยไม่ต้องยึดติดกับสิ่งเดิม ๆ การหยิบเรื่องดัดแปลงพล็อตแวมไพร์ก็เช่นกัน ถูกนำมาใช้ซ้ำไม่รู้กี่ครั้งแต่ยังขายได้อยู่ในยุคนี้เมื่อนำมาผสมองค์แต่งกับความเป็นศิลปะกับสไตล์ Gothic ดันเข้ากันอย่างหน้าตาเฉย บางช่วงก็ปล่อยให้ภาพอาร์ตๆเหล่านั้นบรรยายแทนบทสนทนานอกจากช่วยร่นเวลาให้เดินเร็วขึ้นแล้วยังช่วยทำให้ลืมความตึงเครียดจากการพยายามหาเหตุผลของมันไปได้ชั่วครู่เหมือนกัน ขณะเดียวกันก็สื่อสารกันยากเช่นกัน ไม่เข้าใจในสิ่งที่นำเสนอออกไปว่าจะสื่ออะไรกับเรากันแน่ ถ้าไม่คิดอะไรตรงจุดนี้มากนัก ก็ถือว่าตอบโจทย์ในแง่ความบันเทิงไปกับภาพปรุงแต่งด้วยโทนแดง-ดำ-น้ำเงิน ตัดด้วยแสง Neon เพิ่มด้วย Sound ประกอบแนว Punk Rock สร้างจังหวะให้ชวนประสาทแตก เวลาดูรู้สึกปวดตา มึนหัวบอกไม่ถูก ไม่พอแถมมีลูกเล่นจากมุมกล้องหมุนภาพตามใจฉันไปอีก ดูจบคงมีอ้วกแตกกันบ้างแหล่ะ
ข้อดีที่ชอบก็คือ ไม่มีมุกตลกพร่ำเพรื่อใส่มาให้ขัดใจและเสียอรรถรสของโทนหนังที่วางไว้เลย แต่ก็ไม่วายดันมีความโง่งี่เง่าของบรรดาตัวละครสมทบที่ถูกฆ่าตายเล่น ๆ ง่าย ๆ อีกจนได้ ส่วนข้อเสียคือหนังไม่บอกถึงที่มาของยาเสพติดตัวต้นเหตุเลยว่ามาจากไหน รู้แต่ว่ามันคือสาเหตุของความพินาศให้แก่นางเอกแค่นั้น รวมถึงสาวในผับตัวต้นเหตุนั้นก็ไม่ได้ให้ความสำคัญอะไรทั้ง ๆ ที่เป็น Keywords สำคัญมากก็ไม่ใส่ใจลง details ไปด้วยเลย ถ้าหวังว่าจะเห็นฉากต่อสู้ฆ่าฟันเลือดสาดเร็ว ๆ ล่ะก็มี จะมาเป็นช่วงๆมากกว่า แถมหนังไม่ได้จงใจเน้นจังหวะ Jump Scared ตุ๊งแช่ตรงๆ แต่จะค่อย ๆ ให้เราซึมซับไปกับงานศิลปะที่นางเอกกำลังวาดเป็นกับแกล้มก่อนจากนั้นพอเข้าที่ก็ค่อย ๆ ปล่อยของปะทะฝีมือกันสุดฤทธิ์อย่างบ้าคลั่งจนเลือดสาดนรกแตกกันในช่วงท้ายเรื่องจนถึงขั้นสติแตกทันที
สรุปคือ ชอบ บ้ามาก คลั่งมาก สะใจที่สุด ดูไปรู้สึกว่าหัวจะระเบิดอยู่ตลอด แถมตัวหนังรู้ตัวเองดีว่าไม่ได้ทำมาเพื่อให้สังคมถูกใจว่าเป็นสิ่งที่เขาต้องการให้เป็นตาม Pattern ที่เขากำหนดหรือไม่ ก็เลยเล่นแทงสวนมุมกลับเต็มเหนี่ยวแต่คิดไม่ถึงว่ามันจะออกตัวแรงจนกู่ไม่กลับได้ขนาดนี้ อย่างที่บอกไปเริ่มต้นแล้วว่าเราถึงต้องทิ้งเหตุผลที่พยายามคิดมาออกไปทั้งหมด ซึ่งตัวผู้กำกับแกได้โยนของอะไรที่คิดว่าถ่วงน้ำหนักทั้งจำเป็นและไม่จะเป็นทิ้งออกไปอย่างไว แล้วประเคนด้วยจุดขายที่ซื้อคนดูได้ง่ายก็คือฉากสยองนองเลือดเข้าไปแทน ผลที่ได้คือมันคืองานมหกรรมปาร์ตี้นรกแตกอย่างหาที่สุดมิได้แล้วแถมยังเข้าถึงคนดูให้สนุกได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย ข้อแนะนำ ถ้าใครกลัวเลือดมาก ควรหลีกเลี่ยงหรือใช้วิจารณญาณในการรับชม หากใครอยากเปิดประสบการณ์แปลก ๆ เบื่อรสชาติเดิม ๆ หรือ ต้องการหาแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์งานศิลปะหรือเสพงานดนตรี เรื่องนี้ตอบโจทย์คุณได้อย่างดี เพราะนอกจากจะเดินชมภาพวาดสวย ๆ ฟังเพลงชิล ๆ แล้วที่เหลือก็เต็มไปด้วยแกลลอรี่ขายความโหดร้ายในสันดานมนุษย์ที่เต็มไปด้วยชิ้นส่วนอวัยวะกระจุยกระจายเลือดไหลเต็มพื้นมากมายจนรู้สึกอยากอาเจียนออกมาแทน
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like กด Share บทความของผม EMCONCEPT และ Facebook : EM Pascal เพื่อเป็นกำลังใจในการรีวิวครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้