- เขียนยากเหมือนกันเรื่องนี้ ไม่รู้จะเริ่มจะเรียบเรียงอะไรก่อนดี เพราะ รู้สึกมีความเข้าใจที่ไม่เข้าใจทั้งหมดผสมกันจนบอกไม่ถูกว่าความชัดเจนอยู่ตรงไหน ดูจบไป 2 วันแล้วภาพที่ลอยหัวยังมึน ๆ ติดค้างในใจไม่ไปไหน พอลองกลับมาคิดทบทวนก็ยังรู้สึกสับสนเหมือนเดิม แต่ถามว่าชอบมั้ย ชอบที่หนังทำให้ผมมึน ๆ อึน ๆ แล้วยังตั้งคำถามความหมายของคำว่าบ้านในอีกแง่มุมที่ต่างออกไปได้ดีเช่นกัน ความซื่อตรงของบทคือการเขียนบทจากการหยิบเรื่องราวจากชีวิตจริงของตัวผู้กำกับอย่าง Davy Chau เป็นชาวเกาหลีที่ได้ไปเติบโตที่ฝรั่งเศสจากการอุปการะเลี้ยงดูโดยครอบครัวชาวต่างชาติที่ลี้ภัยในการเมือง รวมถึงเป็นผลงานกำกับและเขียนบทร่วมเป็นเรื่องแรกของเขาด้วย ทำให้เราสามารถโฟกัสไปที่ประเด็นหลักที่ผู้กำกับขีดไว้ก่อนแล้วค่อยตามไปเก็บ Details ที่เขาวางไว้ตามรายทางกันต่อไป
- ปมหลักของเรื่องคือ เฟรดดี้ นางเอกของเรื่องอยากกลับไปเจอกับครอบครัวตัวเองที่ประเทศเกาหลีซึ่งเป็นบ้านเกิดของเธอที่ไม่รู้ว่าจะยินดีหรือเสียใจดี เพราะระหว่างทางผมรู้สึกรับรู้ถึงความขมขื่นได้ทีละนิดแต่ฝืนยิ้มเอาไว้ก่อน ช่วงเปิดเรื่องแรก ๆ ก็ยังไม่ค่อยเก็ตกับการกระทำชวนอิหยังวะของนางเท่าไหร่ คือ นั่งกินกับเพื่อนอยู่ดี ๆ ก็ลุกขึ้นไปทักทายโต๊ะข้าง ๆ เกือบทุกโต๊ะแล้วเรียกรวมตัวกันนั่งดื่มบนโต๊ะเดียวกันพร้อมกับเพื่อนตนเองด้วย คือสร้างความตกใจปนแปลกใจผมอยู่เหมือนกัน คิดในใจว่าทำไปเพื่ออะไรกัน ? ซึ่งใช้เวลาในการเกริ่นนำค่อนข้างนานบวกกับความเนิบของบทที่ธรรมดาไม่ได้แปลกใหม่อะไรทำให้การไหลแต่ละ Scene ที่มีความเป็นธรรมชาติส่วนตัวเป็นไปอย่างช้า ๆ ยิ่งกระตุ้นให้วูบหลับเข้าไปอีก แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ จนตื่นขึ้นมาอีกทีก็ช่วงที่นางเอกนั่งรถแท็กซี่กลับจากบ้านญาติฝั่งพ่อมั้งไม่แน่ใจ หลังจากนั้นก็เริ่มจะจูนเครื่องติดกันต่อไปจนจบ ขณะเดียวกันความเรียบในตัวบทมันค่อย ๆ แสดงความลูกผีลูกคนในตัวเฟรดดี้ที่เต็มไปด้วยความสับสนขัดแย้งมากขึ้น ต่อหน้าทำอย่างหนึ่งและลับหลังทำอีกอย่างนึงจนเรามีความรู้สึกเข้าใจขึ้นมาทันที เพราะระหว่างทางหนังได้ให้เหตุผลบางอย่างรองรับไว้พอสมควร อีกส่วนนึงก็มาจากความอินดี้ของเธอด้วยที่ทำให้เรื่องปั่นป่วนไปหมด
- มีกลิ่นอายของความเป็นอารยธรรมทางยุโรปกับวัฒนธรรมฝั่งเอเชียคล้ายกับงานของผู้กำกับ Abbas Kiarostami จาก Like Someone in Love (2012) ที่ดูไปเมื่อปีที่แล้วในแง่ของการสร้างบรรยากาศของความเป็นยุโรปผสมเอเชียท่ามกลางแสงสียามค่ำคืนในอารมณ์เหงา ๆ ท่ามกลางตึกระฟ้าในเมืองหลวงเหมือนกัน แต่ต่างกันคือเรื่องนี้ถ่ายทอดความรู้สึกของมนุษย์ให้หม่นหมองได้ลึกกว่าแถมใช้ภาษาฝรั่งเศสเป็นตัวแทนของตัวตนของนางเอกที่สามารถใช้กับทุกคนได้อย่างอิสระ ภายนอกจะดูแพงอวดความเจริญแบบผู้ดีและดูถูกประเทศเคยเป็นบ้านเกิดว่าด้อยพัฒนาไปซักหน่อยแต่ภายในที่สัมผัสกลับเป็นความย้อนแย้งกระอักกระอ่วนที่เสแสร้งว่าทำเป็นยอมรับหรือที่จริงต้องการจะสลัดของเจ็บปวดเหล่านี้ออกไปให้พ้น ๆ ก็ตาม
- แม้บางช่วงแทบไม่มีบทพูดอะไรแต่ไม่รู้สึกน่าเบื่อเพราะพลังการแสดงของนางเอกที่มีเสน่ห์ทางหน้าตาที่เก๋ไก๋ น่ามองดูเป็นเอกลักษณ์ความเป็นสาวหัวขบถสมัยใหม่ช่วยขับเคลื่อนให้เรื่องน่าติดตาม แถมเป็นผลงานการแสดงเรื่องแรกของเธอที่แสดงเหมือนเป็นนักแสดงอาชีพ โดยเฉพาะสำเนียงภาษาฝรั่งเศสเธอฟังแล้วลื่นหูและสวยงามมาก แม้บางช่วงเดาไม่ถูกว่านางเอกคิดยังไง รู้สึกอย่างไร และ จะทำอะไรต่อไป ตรงจุดนี้ผมเข้าใจได้เพราะมันเป็นการแสดงความเห็นแก่ตัวว่าตนเองเข้มแข็ง ไม่แคร์ใคร ไม่ต้องการการผูกมัดกับใคร ใช้เสร็จแล้วก็ทิ้ง เหงาก็ไปหาคนใหม่ อะไรแบบนี้ เพื่อกลบกลืนความอ่อนแอ ความเปราะบางในใจที่สะสมเรื้อรังจากภัยสงครามในประเทศจนทำให้เธอถูกพลัดพรากจากครอบครัวและบ้านเกิดตั้งแต่เด็ก อีกทั้งตัวพ่อและแม่ของเฟรดดี้ที่พยายามเข้ามาสานสัมพันธ์ที่ห่างเหินมานานกับเฟรดดี้อีกครั้งก็เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้นางเอกโหยหาคำตอบมาโดยตลอดจนถึงบทสรุปที่เรียกกำลังใจ , สะเทือนใจและให้บทเรียนไปพร้อมกัน
- Story ถูกแบ่งออกเป็น 4 Timeline หลัก ๆ ได้แก่ ช่วงปี 2014 , 2017 , 2022 และ 2023 ซึ่งจะเทน้ำหนักไปที่การตามหาครอบครัวผ่านกระบวนการทำงานของเจ้าหน้าที่แสนล่าช้า เสียเวลากับขั้นตอนที่ยุ่งยากจนกินเวลาไปหลายปีกับการเติบโตของตัวเฟรดดี้สำรวจแง่มุมอื่นเป็นหลัก มีแวะข้างทางไปกับชีวิตส่วนตัวในโลกเทา ๆ ของเธอไปบ้างก็ไม่ทำให้เสียขบวนแต่อย่างใด แม้การแบ่งช่วงเวลาจะมีข้อดีตรงที่ทำให้เรื่องถูกย่อยให้เล่าได้กระชับยิ่งขึ้น แต่ข้อเสียที่สังเกตุคือการตัดฉากตามใจฉันดันทำให้เนื้อเรื่องขาดตอนจนหาจุดเชื่อมโยงต่อกันไม่ได้แถมส่งผลให้การเดินเรื่องไม่ลื่นไหลเป็นทางเดียวกัน ความที่สไตล์ของหนังเรารู้อยู่แล้วว่าโทนแนวนี้ไม่ได้อำนวยความสะดวกแก่คนดูทุกอย่าง การพยายามหาข้อมูลด้วยตนเองระหว่างทางที่ไม่ได้เดินเรียบเป็น Pattern ตามแบบหนังแมสทั่วไปยิ่งตอกย้ำถึงความห่างไกลจากการปฎิสัมพันธ์กับคนดูเข้าไปอีก อีกทั้งฝั่งครอบครัวอุปถัมภ์ของเฟรดดี้ก็ให้พื้นที่น้อยเกินไป ไม่มีฉากหลังเป็นประเทศฝรั่งเศสแม้แต่น้อยนอกจากการปรากฎตัวของแม่บุญธรรมจากการสนทนาทางโทรศัพท์มือถือเพียงแค่ Scene เดียว และ ภาษาที่เฟรดดี้ใช้สื่อสารแทนการใช้ภาษาบ้านเกิดของตนเองซะส่วนมากจนบางทีเราฟังไม่ออกว่าช่วงไหนบ้างที่พูดภาษาฝรั่งเศสคำภาษาเกาหลีคำหรือผสมรวม ๆ กันไปทั้งหมดเพราะน้ำเสียงของเธอฟังแล้วช่างลื่นหูซะเหลือเกิน
- สรุปคือ ทั้งชอบ ลุ่มหลง งดงามและกระอักกระอ่วนรวมกัน มีความอินดี้ในบางมุมแต่ก็พอจับต้องเข้าถึงได้อยู่ ขณะเดียวกันได้ Message อะไรหลายอย่างที่ทำให้ผมหลงใหลกับความไม่มั่นคงไม่แน่นอนในใจของเฟรดดี้มากกว่าจะให้ตัดสินใจเลือกว่าจะยินดีปรีดาหรือจะบั่นทอนให้เสียใจกันเปล่า ๆ แม้จะมีคำถามมากมายที่อยากจะถามแต่ก็พอรู้ได้ว่ามันไม่สามารถให้คำตอบกับเราได้ทั้งหมด นอกจากต้องเจอกับตนเองถึงจะเกิดการเรียนรู้ แต่สิ่งหนึ่งที่ตกผลึกได้จากเรื่องนี้อยู่ก็คือ ถิ่นพักใจใดจะปานเหมือนบ้านเกิด ฟังดูเป็นคำพูดที่ปลอบกำลังใจได้ดี แต่คงใช้ไม่ได้กับเรื่องนี้ อย่าว่าแต่จะหาความสมบูรณ์แบบบนโลกนี้เลย ขนาดพ่อแม่คนใกล้ตัวของตนเองก็ไม่สามารถเป็น Safe Zone ที่ดีให้แก่เราได้ นับประสาอะไรกับบ้านเกิดที่ไม่ได้ให้ความปลอดภัยจนอยากจะกลับไปหาเลยสักนิด ถ้าเข้าใจดีก็มีความสุขไปแต่ถ้าไม่เข้าใจมันจะกลายเป็นปัญหาสะสมจนเกิดเป็นปมในภายหลัง ถ้าเป็นผมเจอเหตุการณ์เดียวกับนางเอก จะบอกทันทีว่า รู้งี้ ไม่น่าทำอย่างนี้ดีกว่า
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like กด Share บทความของผม EMCONCEPT และ Facebook : EM Pascal เพื่อเป็นกำลังใจในการรีวิวครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
[CR] No.35 Return to Seoul : กลับคืนถิ่น ที่..ไม่อยากเช็คอิน
- เขียนยากเหมือนกันเรื่องนี้ ไม่รู้จะเริ่มจะเรียบเรียงอะไรก่อนดี เพราะ รู้สึกมีความเข้าใจที่ไม่เข้าใจทั้งหมดผสมกันจนบอกไม่ถูกว่าความชัดเจนอยู่ตรงไหน ดูจบไป 2 วันแล้วภาพที่ลอยหัวยังมึน ๆ ติดค้างในใจไม่ไปไหน พอลองกลับมาคิดทบทวนก็ยังรู้สึกสับสนเหมือนเดิม แต่ถามว่าชอบมั้ย ชอบที่หนังทำให้ผมมึน ๆ อึน ๆ แล้วยังตั้งคำถามความหมายของคำว่าบ้านในอีกแง่มุมที่ต่างออกไปได้ดีเช่นกัน ความซื่อตรงของบทคือการเขียนบทจากการหยิบเรื่องราวจากชีวิตจริงของตัวผู้กำกับอย่าง Davy Chau เป็นชาวเกาหลีที่ได้ไปเติบโตที่ฝรั่งเศสจากการอุปการะเลี้ยงดูโดยครอบครัวชาวต่างชาติที่ลี้ภัยในการเมือง รวมถึงเป็นผลงานกำกับและเขียนบทร่วมเป็นเรื่องแรกของเขาด้วย ทำให้เราสามารถโฟกัสไปที่ประเด็นหลักที่ผู้กำกับขีดไว้ก่อนแล้วค่อยตามไปเก็บ Details ที่เขาวางไว้ตามรายทางกันต่อไป
- ปมหลักของเรื่องคือ เฟรดดี้ นางเอกของเรื่องอยากกลับไปเจอกับครอบครัวตัวเองที่ประเทศเกาหลีซึ่งเป็นบ้านเกิดของเธอที่ไม่รู้ว่าจะยินดีหรือเสียใจดี เพราะระหว่างทางผมรู้สึกรับรู้ถึงความขมขื่นได้ทีละนิดแต่ฝืนยิ้มเอาไว้ก่อน ช่วงเปิดเรื่องแรก ๆ ก็ยังไม่ค่อยเก็ตกับการกระทำชวนอิหยังวะของนางเท่าไหร่ คือ นั่งกินกับเพื่อนอยู่ดี ๆ ก็ลุกขึ้นไปทักทายโต๊ะข้าง ๆ เกือบทุกโต๊ะแล้วเรียกรวมตัวกันนั่งดื่มบนโต๊ะเดียวกันพร้อมกับเพื่อนตนเองด้วย คือสร้างความตกใจปนแปลกใจผมอยู่เหมือนกัน คิดในใจว่าทำไปเพื่ออะไรกัน ? ซึ่งใช้เวลาในการเกริ่นนำค่อนข้างนานบวกกับความเนิบของบทที่ธรรมดาไม่ได้แปลกใหม่อะไรทำให้การไหลแต่ละ Scene ที่มีความเป็นธรรมชาติส่วนตัวเป็นไปอย่างช้า ๆ ยิ่งกระตุ้นให้วูบหลับเข้าไปอีก แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ จนตื่นขึ้นมาอีกทีก็ช่วงที่นางเอกนั่งรถแท็กซี่กลับจากบ้านญาติฝั่งพ่อมั้งไม่แน่ใจ หลังจากนั้นก็เริ่มจะจูนเครื่องติดกันต่อไปจนจบ ขณะเดียวกันความเรียบในตัวบทมันค่อย ๆ แสดงความลูกผีลูกคนในตัวเฟรดดี้ที่เต็มไปด้วยความสับสนขัดแย้งมากขึ้น ต่อหน้าทำอย่างหนึ่งและลับหลังทำอีกอย่างนึงจนเรามีความรู้สึกเข้าใจขึ้นมาทันที เพราะระหว่างทางหนังได้ให้เหตุผลบางอย่างรองรับไว้พอสมควร อีกส่วนนึงก็มาจากความอินดี้ของเธอด้วยที่ทำให้เรื่องปั่นป่วนไปหมด
- มีกลิ่นอายของความเป็นอารยธรรมทางยุโรปกับวัฒนธรรมฝั่งเอเชียคล้ายกับงานของผู้กำกับ Abbas Kiarostami จาก Like Someone in Love (2012) ที่ดูไปเมื่อปีที่แล้วในแง่ของการสร้างบรรยากาศของความเป็นยุโรปผสมเอเชียท่ามกลางแสงสียามค่ำคืนในอารมณ์เหงา ๆ ท่ามกลางตึกระฟ้าในเมืองหลวงเหมือนกัน แต่ต่างกันคือเรื่องนี้ถ่ายทอดความรู้สึกของมนุษย์ให้หม่นหมองได้ลึกกว่าแถมใช้ภาษาฝรั่งเศสเป็นตัวแทนของตัวตนของนางเอกที่สามารถใช้กับทุกคนได้อย่างอิสระ ภายนอกจะดูแพงอวดความเจริญแบบผู้ดีและดูถูกประเทศเคยเป็นบ้านเกิดว่าด้อยพัฒนาไปซักหน่อยแต่ภายในที่สัมผัสกลับเป็นความย้อนแย้งกระอักกระอ่วนที่เสแสร้งว่าทำเป็นยอมรับหรือที่จริงต้องการจะสลัดของเจ็บปวดเหล่านี้ออกไปให้พ้น ๆ ก็ตาม
- แม้บางช่วงแทบไม่มีบทพูดอะไรแต่ไม่รู้สึกน่าเบื่อเพราะพลังการแสดงของนางเอกที่มีเสน่ห์ทางหน้าตาที่เก๋ไก๋ น่ามองดูเป็นเอกลักษณ์ความเป็นสาวหัวขบถสมัยใหม่ช่วยขับเคลื่อนให้เรื่องน่าติดตาม แถมเป็นผลงานการแสดงเรื่องแรกของเธอที่แสดงเหมือนเป็นนักแสดงอาชีพ โดยเฉพาะสำเนียงภาษาฝรั่งเศสเธอฟังแล้วลื่นหูและสวยงามมาก แม้บางช่วงเดาไม่ถูกว่านางเอกคิดยังไง รู้สึกอย่างไร และ จะทำอะไรต่อไป ตรงจุดนี้ผมเข้าใจได้เพราะมันเป็นการแสดงความเห็นแก่ตัวว่าตนเองเข้มแข็ง ไม่แคร์ใคร ไม่ต้องการการผูกมัดกับใคร ใช้เสร็จแล้วก็ทิ้ง เหงาก็ไปหาคนใหม่ อะไรแบบนี้ เพื่อกลบกลืนความอ่อนแอ ความเปราะบางในใจที่สะสมเรื้อรังจากภัยสงครามในประเทศจนทำให้เธอถูกพลัดพรากจากครอบครัวและบ้านเกิดตั้งแต่เด็ก อีกทั้งตัวพ่อและแม่ของเฟรดดี้ที่พยายามเข้ามาสานสัมพันธ์ที่ห่างเหินมานานกับเฟรดดี้อีกครั้งก็เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้นางเอกโหยหาคำตอบมาโดยตลอดจนถึงบทสรุปที่เรียกกำลังใจ , สะเทือนใจและให้บทเรียนไปพร้อมกัน
- Story ถูกแบ่งออกเป็น 4 Timeline หลัก ๆ ได้แก่ ช่วงปี 2014 , 2017 , 2022 และ 2023 ซึ่งจะเทน้ำหนักไปที่การตามหาครอบครัวผ่านกระบวนการทำงานของเจ้าหน้าที่แสนล่าช้า เสียเวลากับขั้นตอนที่ยุ่งยากจนกินเวลาไปหลายปีกับการเติบโตของตัวเฟรดดี้สำรวจแง่มุมอื่นเป็นหลัก มีแวะข้างทางไปกับชีวิตส่วนตัวในโลกเทา ๆ ของเธอไปบ้างก็ไม่ทำให้เสียขบวนแต่อย่างใด แม้การแบ่งช่วงเวลาจะมีข้อดีตรงที่ทำให้เรื่องถูกย่อยให้เล่าได้กระชับยิ่งขึ้น แต่ข้อเสียที่สังเกตุคือการตัดฉากตามใจฉันดันทำให้เนื้อเรื่องขาดตอนจนหาจุดเชื่อมโยงต่อกันไม่ได้แถมส่งผลให้การเดินเรื่องไม่ลื่นไหลเป็นทางเดียวกัน ความที่สไตล์ของหนังเรารู้อยู่แล้วว่าโทนแนวนี้ไม่ได้อำนวยความสะดวกแก่คนดูทุกอย่าง การพยายามหาข้อมูลด้วยตนเองระหว่างทางที่ไม่ได้เดินเรียบเป็น Pattern ตามแบบหนังแมสทั่วไปยิ่งตอกย้ำถึงความห่างไกลจากการปฎิสัมพันธ์กับคนดูเข้าไปอีก อีกทั้งฝั่งครอบครัวอุปถัมภ์ของเฟรดดี้ก็ให้พื้นที่น้อยเกินไป ไม่มีฉากหลังเป็นประเทศฝรั่งเศสแม้แต่น้อยนอกจากการปรากฎตัวของแม่บุญธรรมจากการสนทนาทางโทรศัพท์มือถือเพียงแค่ Scene เดียว และ ภาษาที่เฟรดดี้ใช้สื่อสารแทนการใช้ภาษาบ้านเกิดของตนเองซะส่วนมากจนบางทีเราฟังไม่ออกว่าช่วงไหนบ้างที่พูดภาษาฝรั่งเศสคำภาษาเกาหลีคำหรือผสมรวม ๆ กันไปทั้งหมดเพราะน้ำเสียงของเธอฟังแล้วช่างลื่นหูซะเหลือเกิน
- สรุปคือ ทั้งชอบ ลุ่มหลง งดงามและกระอักกระอ่วนรวมกัน มีความอินดี้ในบางมุมแต่ก็พอจับต้องเข้าถึงได้อยู่ ขณะเดียวกันได้ Message อะไรหลายอย่างที่ทำให้ผมหลงใหลกับความไม่มั่นคงไม่แน่นอนในใจของเฟรดดี้มากกว่าจะให้ตัดสินใจเลือกว่าจะยินดีปรีดาหรือจะบั่นทอนให้เสียใจกันเปล่า ๆ แม้จะมีคำถามมากมายที่อยากจะถามแต่ก็พอรู้ได้ว่ามันไม่สามารถให้คำตอบกับเราได้ทั้งหมด นอกจากต้องเจอกับตนเองถึงจะเกิดการเรียนรู้ แต่สิ่งหนึ่งที่ตกผลึกได้จากเรื่องนี้อยู่ก็คือ ถิ่นพักใจใดจะปานเหมือนบ้านเกิด ฟังดูเป็นคำพูดที่ปลอบกำลังใจได้ดี แต่คงใช้ไม่ได้กับเรื่องนี้ อย่าว่าแต่จะหาความสมบูรณ์แบบบนโลกนี้เลย ขนาดพ่อแม่คนใกล้ตัวของตนเองก็ไม่สามารถเป็น Safe Zone ที่ดีให้แก่เราได้ นับประสาอะไรกับบ้านเกิดที่ไม่ได้ให้ความปลอดภัยจนอยากจะกลับไปหาเลยสักนิด ถ้าเข้าใจดีก็มีความสุขไปแต่ถ้าไม่เข้าใจมันจะกลายเป็นปัญหาสะสมจนเกิดเป็นปมในภายหลัง ถ้าเป็นผมเจอเหตุการณ์เดียวกับนางเอก จะบอกทันทีว่า รู้งี้ ไม่น่าทำอย่างนี้ดีกว่า
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like กด Share บทความของผม EMCONCEPT และ Facebook : EM Pascal เพื่อเป็นกำลังใจในการรีวิวครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้