ผมเองเคยสงสัยเรื่องนี้ สงสัยว่า ถ้าเราอายุมากเข้า เราจะกลายเป็นคนที่เรียนรู้ช้า ต้องใช้ตัวช่วยในการเข้าใจสิ่งใหม่ๆไปซะทุกอย่าง เหมือนผู้ใหญ่ที่เรากำลังเจอมั้ย
ไปหาข้อมูลเยอะพอสมควรเลย ประกอบกับความเข้าใจและไอเดียผมเอง บอกได้เลยครับว่าจะไม่เป็น !
*หมายเหตุ คำอธิบายต่อจากนี้ทั้งหมดไม่ใช่การเหมารวมนะครับ หากแต่เป็นภาพลักษณ์โดยรวม ขอให้เข้าใจนะครับว่าคือการยกตัวอย่าง
ศึกษามากเข้า ผมก็เข้าใจ ว่าการที่ผู้ใหญ่เรียนรู้ได้ช้า มันคือปรากฏการณ์หนึ่งที่เรียกได้ว่า “ความตันในสมอง” ไม่ได้บุลลี่นะ แค่สร้างคำมาทำให้เห็นภาพที่สุด คือมันเป็นเหมือนกำแพงที่ขวางไว้ทำให้ไม่สามารถคิดต่อไปได้ไกลเกินกว่าความกลัวกังวล
ซึ่งเป็นมายด์เซทที่มาจากการถูกปลูกฝังจิตใต้สำนึกในช่วงที่พวกเค้ากำลังเติบโต ว่าด้วย “ความเปลี่ยนแปลงคือสิ่งที่น่ากลัว, ถ้าให้เลือกอะไรที่ไม่มั่นใจว่าจะทำให้ดีขึ้นจริงๆมั้ย สู้ยอมทนปัญหาไปดีกว่า อย่างน้อยมันก็ไม่แย่ลงไปกว่านี้แล้วชั้นมั่นใจ”
เมื่อเกิดความคิดแบบนี้อยู่ตลอด แล้ว พวกเค้าจึงกลัวที่จะลองทำมันด้วยตัวเอง เพราะกลัวว่าจะเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นนั่นเอง ซึ่งมันก็ไม่ได้ผิดอะไรเลยนะจากการเติบโตท่ามกลางยุคสงคราม จนทำให้การพยายามมุ่งมั่นใช้ชีวิตให้ปลอดภัยเป็นเหมือนจิตใต้สำนึกขึ้นมาเลยทีเดียว
ถ้าเราบอกผู้ใหญ่ให้ทำ 1-2-3 ทั้งๆที่ขั้นตอนนึงก็คือแค่ปุ่มนึง เค้าก็ทำไม่ได้ในขณะที่เรามองว่ามันสุดจะแสนง่าย
3 ปุ่มอะนะ บอกครั้งเดียวแล้วไปกินข้าวค่อยกลับมา ก็ยังทำไม่ผิดเลย นั่นเป็นเพราะกระบวนการคิดของเค้าเองนั่นแหละที่ปิดกั้นศักยภาพการเรียนรู้ตัวเอง
แทนที่จะแค่กดไปแล้วดูว่าเกิดอะไรขึ้น เค้ากลับกังวลอยู่เรื่อยว่า กดไปแล้วจะเป็นยังไง หรือแม้แต่ เอ๊ะนี่ใช่ปุ่มที่ถูกต้องมั้ย ด้วยซ้ำไป
ต่างจากเด็กรุ่นใหม่ ที่เรามีศักยภาพการเรียนรู้ด้วยตัวเองตลอดเวลาครับ เพราะเราเกิดมาท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงที่มากซะจนเราไม่ยึดติด
เราได้เห็นว่าการจะดูหนัง มันมีทั้งแบบดูในโรง แบบดูในทีวี แบบดูในโทรศัพท์ ไม่ได้จำกัดว่าต้องไปนั่งกลางแปลงเท่านั้นแบบที่ผู้ใหญ่เราคุ้นชินมา
การได้มีทางเลือกที่หลากหลายในการทำวัตถุประสงค์เดียวกัน มันทำให้เราสงสัยว่าอะไรคือความต่าง ทำไมต้องมีหลายแบบ เกิดการคิดพยายามเปรียบเทียบ
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิต มันก็กระตุ้นเราให้เกิดการคิดนอกกรอบตลอดเวลาครับ แต่มันกลับไม่มีผลต่อผู้ใหญ่ แม้จะเป็นสิ่งเดียวกัน
ยกตัวอย่าง เรารู้อยู่แล้วแหละว่าไฟฉายมีไว้เปิดไฟ
แล้วถ้าวันหนึ่งมีโฆษณาไฟฉายที่ติดตั้งเลเซอร์มาด้วย
สิ่งที่ผู้ใหญ่คิด คือ เอามาทำไมไร้สาระ ใส่มาไม่ได้ใช้
สิ่งที่รุ่นใหม่คิด คือ เห้ยมันสุดเจ๋งเป็นบ้าเลยหวะ
เชื่อมั้ยครับว่า แค่ความต่างของวิธีคิดตรงนี้ มันก็เป็นจุดเริ่มต้นของศักยภาพการเรียนรู้เราที่มันเหนือขั้นกว่าผู้ใหญ่ไปมากโขแล้ว
ไฟฉายที่ยิงเลเซอร์ได้ มันน่าสนุกมากนะ ทีแรกเราก็คิดแค่นั้น พอลองซื้อมาเราถึงรู้ว่ามันใช้แทนนิ้วได้ ในการชี้บอกคนอื่นนั่นนี่
เรารู้สึกว่ามันน่าสนใจ แล้วเราก็อยากทำให้มันน่าสนใจขึ้นไปอีก.. สามารถควบคุมความแรงของไฟได้มั้ยล่ะ เอ๊ะทำให้ส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือได้คงจะน่าสนใจไม่น้อย หรือติดเข็มทิศไว้ดี
จึงจะเห็นได้ ว่าผลิตภัณฑ์หลังๆมา มันมักจะเป็นในรูปแบบ ทูอินวัน ฟิฟทีนอินวัน อะไรประมาณนี้
ไม่ใช่เพียงแค่ฟังก็ชั่นหลากหลาย แต่ยังเป็นการแก้ปัญหาชีวิต
เราจะต้องไปเสียเวลาและขายหน้าฟังหมอจริงๆหรอว่าเรามีโรคทางเพศสัมพันธ์มั้ย
หรือสายอนุรักษนิยมก็คงตระหนักดีว่าตอนนี้เรามีปัญหาขยะพลาสติก งั้นจะเป็นไงถ้าเราทำภาชนะที่ย่อยสลายตัวเองได้ง่ายมากแต่ก็ทนทานตอบโจทย์การใช้งาน
จึงได้ก่อเกิด ถุงยางที่จะเปลี่ยนสีตัวเองถ้าหากว่าคุณเป็นโรคทางเพศสัมพันธ์ และ ขวดน้ำที่สามารถกินได้
และตัวอย่างทั้งคู่นี้ คือผลงานของระดับนักเรียนนักศึกษา นะครับ
ในขณะที่ผู้ใหญ่กลัวว่าปุ่มประหลาดๆ บนรีโมททีวีอันใหม่มันจะทำให้เกิดอะไรขึ้นแล้วแก้ไม่ได้
คนรุ่นใหม่กลับมองว่าน่าคือสิ่งที่น่าค้นหา เรียนรู้แต่ละปุ่มและเข้าใจได้เองว่าปุ่ม back/return หรือการกดซ้ำเพื่อปิดฟังก์ชันที่พึ่งเปิด เป็นเหมือนสิ่งที่สนับสนุนให้เรากล้าลองอย่างเต็มที่
เมื่อเติบโตมาท่ามกลางความหลากหลาย มันก็ทำให้รู้ว่าปัญหาหนึ่งมีทางออกได้มากมาย รู้จักที่จะรับฟังไม่ใช่เอาแต่คิดว่าความคิดตัวเองถูกต้องที่สุด และห้ามเถียง เพียงเพราะผู้ใหญ่อาบน้ำร้อนมาก่อน โดยที่ลืมไปว่ายุคนั้นไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่น ทำให้เรายอมรับในความแตกต่างของผู้อื่น ไม่ว่าจะด้วย ศาสนา ชาติพันธุ์ รสนิยมทางเพศ สีผิว ฐานะ หรืออะไรก็ตามแต่
ในขณะที่ผู้ใหญ่กังวลใจ ว่ากดปุ่มไปแล้วจะทำให้พังมั้ย
คนรุ่นใหม่กลับมั่นใจเสียด้วยซ้ำ ว่าผู้ผลิตเค้าไม่ใส่ปุ่มทำลายตัวเองเข้ามาหรอกหน่า !
ดังนั้นจึงสรุปได้ ว่าถ้าเราแก่ไป มันมีความเป็นไปได้ที่ต่ำมากจนแทบจะเป็น 0 สำหรับการที่เราจะเป็นแบบผู้ใหญ่ล้าหลังที่เราเจอครับ
และทั้งหมดนี้ก็ต้องขอบคุณ ความกล้าที่จะลอง ความพร้อมที่จะเรียนรู้ด้วยตัวเอง ความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาคุณภาพชีวิต(อย่างการแก้ปัญหาชีวิตที่ยกตัวอย่างไป) และ ความที่เราไม่กลัวการเปลี่ยนแปลง
บทวิเคราะห์ เมื่อแก่ไป เราจะไม่เป็นคนที่เรียนรู้ช้า ต้องใช้ตัวช่วยในการเข้าใจสิ่งใหม่ๆไปซะทุกอย่าง เหมือนผู้ใหญ่ปัจจุบัน
ไปหาข้อมูลเยอะพอสมควรเลย ประกอบกับความเข้าใจและไอเดียผมเอง บอกได้เลยครับว่าจะไม่เป็น !
*หมายเหตุ คำอธิบายต่อจากนี้ทั้งหมดไม่ใช่การเหมารวมนะครับ หากแต่เป็นภาพลักษณ์โดยรวม ขอให้เข้าใจนะครับว่าคือการยกตัวอย่าง
ศึกษามากเข้า ผมก็เข้าใจ ว่าการที่ผู้ใหญ่เรียนรู้ได้ช้า มันคือปรากฏการณ์หนึ่งที่เรียกได้ว่า “ความตันในสมอง” ไม่ได้บุลลี่นะ แค่สร้างคำมาทำให้เห็นภาพที่สุด คือมันเป็นเหมือนกำแพงที่ขวางไว้ทำให้ไม่สามารถคิดต่อไปได้ไกลเกินกว่าความกลัวกังวล
ซึ่งเป็นมายด์เซทที่มาจากการถูกปลูกฝังจิตใต้สำนึกในช่วงที่พวกเค้ากำลังเติบโต ว่าด้วย “ความเปลี่ยนแปลงคือสิ่งที่น่ากลัว, ถ้าให้เลือกอะไรที่ไม่มั่นใจว่าจะทำให้ดีขึ้นจริงๆมั้ย สู้ยอมทนปัญหาไปดีกว่า อย่างน้อยมันก็ไม่แย่ลงไปกว่านี้แล้วชั้นมั่นใจ”
เมื่อเกิดความคิดแบบนี้อยู่ตลอด แล้ว พวกเค้าจึงกลัวที่จะลองทำมันด้วยตัวเอง เพราะกลัวว่าจะเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นนั่นเอง ซึ่งมันก็ไม่ได้ผิดอะไรเลยนะจากการเติบโตท่ามกลางยุคสงคราม จนทำให้การพยายามมุ่งมั่นใช้ชีวิตให้ปลอดภัยเป็นเหมือนจิตใต้สำนึกขึ้นมาเลยทีเดียว
ถ้าเราบอกผู้ใหญ่ให้ทำ 1-2-3 ทั้งๆที่ขั้นตอนนึงก็คือแค่ปุ่มนึง เค้าก็ทำไม่ได้ในขณะที่เรามองว่ามันสุดจะแสนง่าย
3 ปุ่มอะนะ บอกครั้งเดียวแล้วไปกินข้าวค่อยกลับมา ก็ยังทำไม่ผิดเลย นั่นเป็นเพราะกระบวนการคิดของเค้าเองนั่นแหละที่ปิดกั้นศักยภาพการเรียนรู้ตัวเอง
แทนที่จะแค่กดไปแล้วดูว่าเกิดอะไรขึ้น เค้ากลับกังวลอยู่เรื่อยว่า กดไปแล้วจะเป็นยังไง หรือแม้แต่ เอ๊ะนี่ใช่ปุ่มที่ถูกต้องมั้ย ด้วยซ้ำไป
ต่างจากเด็กรุ่นใหม่ ที่เรามีศักยภาพการเรียนรู้ด้วยตัวเองตลอดเวลาครับ เพราะเราเกิดมาท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงที่มากซะจนเราไม่ยึดติด
เราได้เห็นว่าการจะดูหนัง มันมีทั้งแบบดูในโรง แบบดูในทีวี แบบดูในโทรศัพท์ ไม่ได้จำกัดว่าต้องไปนั่งกลางแปลงเท่านั้นแบบที่ผู้ใหญ่เราคุ้นชินมา
การได้มีทางเลือกที่หลากหลายในการทำวัตถุประสงค์เดียวกัน มันทำให้เราสงสัยว่าอะไรคือความต่าง ทำไมต้องมีหลายแบบ เกิดการคิดพยายามเปรียบเทียบ
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิต มันก็กระตุ้นเราให้เกิดการคิดนอกกรอบตลอดเวลาครับ แต่มันกลับไม่มีผลต่อผู้ใหญ่ แม้จะเป็นสิ่งเดียวกัน
ยกตัวอย่าง เรารู้อยู่แล้วแหละว่าไฟฉายมีไว้เปิดไฟ
แล้วถ้าวันหนึ่งมีโฆษณาไฟฉายที่ติดตั้งเลเซอร์มาด้วย
สิ่งที่ผู้ใหญ่คิด คือ เอามาทำไมไร้สาระ ใส่มาไม่ได้ใช้
สิ่งที่รุ่นใหม่คิด คือ เห้ยมันสุดเจ๋งเป็นบ้าเลยหวะ
เชื่อมั้ยครับว่า แค่ความต่างของวิธีคิดตรงนี้ มันก็เป็นจุดเริ่มต้นของศักยภาพการเรียนรู้เราที่มันเหนือขั้นกว่าผู้ใหญ่ไปมากโขแล้ว
ไฟฉายที่ยิงเลเซอร์ได้ มันน่าสนุกมากนะ ทีแรกเราก็คิดแค่นั้น พอลองซื้อมาเราถึงรู้ว่ามันใช้แทนนิ้วได้ ในการชี้บอกคนอื่นนั่นนี่
เรารู้สึกว่ามันน่าสนใจ แล้วเราก็อยากทำให้มันน่าสนใจขึ้นไปอีก.. สามารถควบคุมความแรงของไฟได้มั้ยล่ะ เอ๊ะทำให้ส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือได้คงจะน่าสนใจไม่น้อย หรือติดเข็มทิศไว้ดี
จึงจะเห็นได้ ว่าผลิตภัณฑ์หลังๆมา มันมักจะเป็นในรูปแบบ ทูอินวัน ฟิฟทีนอินวัน อะไรประมาณนี้
ไม่ใช่เพียงแค่ฟังก็ชั่นหลากหลาย แต่ยังเป็นการแก้ปัญหาชีวิต
เราจะต้องไปเสียเวลาและขายหน้าฟังหมอจริงๆหรอว่าเรามีโรคทางเพศสัมพันธ์มั้ย
หรือสายอนุรักษนิยมก็คงตระหนักดีว่าตอนนี้เรามีปัญหาขยะพลาสติก งั้นจะเป็นไงถ้าเราทำภาชนะที่ย่อยสลายตัวเองได้ง่ายมากแต่ก็ทนทานตอบโจทย์การใช้งาน
จึงได้ก่อเกิด ถุงยางที่จะเปลี่ยนสีตัวเองถ้าหากว่าคุณเป็นโรคทางเพศสัมพันธ์ และ ขวดน้ำที่สามารถกินได้
และตัวอย่างทั้งคู่นี้ คือผลงานของระดับนักเรียนนักศึกษา นะครับ
ในขณะที่ผู้ใหญ่กลัวว่าปุ่มประหลาดๆ บนรีโมททีวีอันใหม่มันจะทำให้เกิดอะไรขึ้นแล้วแก้ไม่ได้
คนรุ่นใหม่กลับมองว่าน่าคือสิ่งที่น่าค้นหา เรียนรู้แต่ละปุ่มและเข้าใจได้เองว่าปุ่ม back/return หรือการกดซ้ำเพื่อปิดฟังก์ชันที่พึ่งเปิด เป็นเหมือนสิ่งที่สนับสนุนให้เรากล้าลองอย่างเต็มที่
เมื่อเติบโตมาท่ามกลางความหลากหลาย มันก็ทำให้รู้ว่าปัญหาหนึ่งมีทางออกได้มากมาย รู้จักที่จะรับฟังไม่ใช่เอาแต่คิดว่าความคิดตัวเองถูกต้องที่สุด และห้ามเถียง เพียงเพราะผู้ใหญ่อาบน้ำร้อนมาก่อน โดยที่ลืมไปว่ายุคนั้นไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่น ทำให้เรายอมรับในความแตกต่างของผู้อื่น ไม่ว่าจะด้วย ศาสนา ชาติพันธุ์ รสนิยมทางเพศ สีผิว ฐานะ หรืออะไรก็ตามแต่
ในขณะที่ผู้ใหญ่กังวลใจ ว่ากดปุ่มไปแล้วจะทำให้พังมั้ย
คนรุ่นใหม่กลับมั่นใจเสียด้วยซ้ำ ว่าผู้ผลิตเค้าไม่ใส่ปุ่มทำลายตัวเองเข้ามาหรอกหน่า !
ดังนั้นจึงสรุปได้ ว่าถ้าเราแก่ไป มันมีความเป็นไปได้ที่ต่ำมากจนแทบจะเป็น 0 สำหรับการที่เราจะเป็นแบบผู้ใหญ่ล้าหลังที่เราเจอครับ
และทั้งหมดนี้ก็ต้องขอบคุณ ความกล้าที่จะลอง ความพร้อมที่จะเรียนรู้ด้วยตัวเอง ความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาคุณภาพชีวิต(อย่างการแก้ปัญหาชีวิตที่ยกตัวอย่างไป) และ ความที่เราไม่กลัวการเปลี่ยนแปลง