ความเคลื่อนไหวหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าช่วงเปิดตลาดเช้าวันนี้ปรับตัวลดลงแรง นำโดย GULF ปรับตัวลดลง 6.67% หรือลดลง 3.50 บาท มาอยู่ที่ 49.00 บาทต่อหุ้น, GPSC ปรับตัวลดลง 3.98% หรือลดลง 2.50 บาท มาอยู่ที่ 60.25 บาทต่อหุ้น, BGRIM ปรับตัวลดลง 5.70 บาท หรือลดลง 2.25 บาท มาอยู่ที่ 37.25 บาทต่อหุ้น พร้อมด้วย EGCO, ACE, CKP และ RATCH ท่ามกลางแรงขายจากนักลงทุนที่กังวลนโยบายการปรับลดค่าไฟฟ้าจากพรรคที่ชนะการเลือกตั้ง อาจกระทบกำไรหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าหรือไม่
นายปรินทร์ นิกรกิตติโกศล นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า ราคาหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าปรับตัวลดลงมาแรง นำโดยหุ้นของ บมจ.บี.กริม เพาเวอร์ (BGRIM), บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) และ บมจ.โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ (GPSC) เนื่องจากมีสัดส่วนโรงไฟฟ้าในพอร์ตเป็นโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก (SPP) เป็นหลัก หลังจากการประกาศผลการเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการ พบว่าพรรคเสรีนิยมมีคะแนนนำ และมีนโยบายสำคัญคือการลดค่าไฟให้กับประชาชน ซึ่งมองเป็นความเสี่ยงระยะสั้นต่อหุ้นกลุ่มนี้
ขณะที่การลดค่าไฟฟ้าสามารถทำได้อย่างง่ายที่สุด โดยการปรับลดค่าเอฟที (FT) ซึ่งจะทำให้กระทบต่อกำไรของหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า ซึ่งช่วงก่อนการหาเสียงราคาหุ้นได้ตอบรับในเชิงลบไปบ้างพอสมควรแล้ว โดยยกตัวอย่างเคสของ GPSC ว่า ทุกๆ การปรับค่าเอฟที 1 สตางค์ จะส่งผลกระทบต่อกำไรของบริษัทราว 60 ล้านบาทต่อปี ซึ่งยังต้องติดตามดูต่อ ว่านโยบายการปรับลดค่าไฟจะนำมาใช้อย่างไรบ้าง จะมีการปรับลดเท่าไร และมีผลต่อหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าขนาดไหน
แสดงว่า ข่าวที่ว่า ยิ่งลักษณ์ เซ็นเพิ่มโรงไฟฟ้า 5 พันเมกะวัตต์ แต่ตู่ เพิ่มเป็น หมื่นกว่าเมกะวัตต์ ทำให้ ค่า ft แพง ค่าไฟฟ้าเลยแพง
คือสิ่งที่ เพื่อไทย และ ร่วมไทยสร้างชาติได้ทำไว้ กับนายทุน
พอก้าวไกล ปราศจากนายทุน จะเป็นรัฐบาล เห็นแค่นโยบายก็หนาวแล้ว เจ้าสัวไฟฟ้าทั้งหลาย
เลือกก้าวไกลดีแบบนี้เอง ยังไม่ทันไร ก็ดีขึ้นแล้ว หุ้นโรงไฟฟ้าโดนเทขายหนักรับก้าวไกลชนะเลือกตั้งเหตุกังวลนโยบายลดค่าไฟ
นายปรินทร์ นิกรกิตติโกศล นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า ราคาหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าปรับตัวลดลงมาแรง นำโดยหุ้นของ บมจ.บี.กริม เพาเวอร์ (BGRIM), บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) และ บมจ.โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ (GPSC) เนื่องจากมีสัดส่วนโรงไฟฟ้าในพอร์ตเป็นโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก (SPP) เป็นหลัก หลังจากการประกาศผลการเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการ พบว่าพรรคเสรีนิยมมีคะแนนนำ และมีนโยบายสำคัญคือการลดค่าไฟให้กับประชาชน ซึ่งมองเป็นความเสี่ยงระยะสั้นต่อหุ้นกลุ่มนี้
ขณะที่การลดค่าไฟฟ้าสามารถทำได้อย่างง่ายที่สุด โดยการปรับลดค่าเอฟที (FT) ซึ่งจะทำให้กระทบต่อกำไรของหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า ซึ่งช่วงก่อนการหาเสียงราคาหุ้นได้ตอบรับในเชิงลบไปบ้างพอสมควรแล้ว โดยยกตัวอย่างเคสของ GPSC ว่า ทุกๆ การปรับค่าเอฟที 1 สตางค์ จะส่งผลกระทบต่อกำไรของบริษัทราว 60 ล้านบาทต่อปี ซึ่งยังต้องติดตามดูต่อ ว่านโยบายการปรับลดค่าไฟจะนำมาใช้อย่างไรบ้าง จะมีการปรับลดเท่าไร และมีผลต่อหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าขนาดไหน
แสดงว่า ข่าวที่ว่า ยิ่งลักษณ์ เซ็นเพิ่มโรงไฟฟ้า 5 พันเมกะวัตต์ แต่ตู่ เพิ่มเป็น หมื่นกว่าเมกะวัตต์ ทำให้ ค่า ft แพง ค่าไฟฟ้าเลยแพง
คือสิ่งที่ เพื่อไทย และ ร่วมไทยสร้างชาติได้ทำไว้ กับนายทุน
พอก้าวไกล ปราศจากนายทุน จะเป็นรัฐบาล เห็นแค่นโยบายก็หนาวแล้ว เจ้าสัวไฟฟ้าทั้งหลาย