PTT ทวงบัลลังก์แชมป์ “มาร์เก็ตแคป” เบียดแซง DELTA ขึ้นเบอร์ 1 หุ้นไทย
PTT ทวงบัลลังก์แชมป์ “มาร์เก็ตแคป” กลับคืนมาได้ เบียดแซง DELTA ขึ้นเบอร์ 1 หุ้นไทยที่มีขนาดใหญ่สุด หลังราคาหุ้น DELTA นับจากต้นปีดิ่งหนัก 53.93% ฟาก ADVANC เบียดแซง AOT ขึ้นเบอร์ 3 ด้าน TRUE เบียดแซง BDMS ขึ้นอันดับ 9
ผู้สื่อข่าวรายงานความเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET Index) นับจากต้นปี 2568 จนถึงวันที่ 4 มีนาคม 2568 พบว่าดัชนี SET ปรับตัวลดลง 222.57 จุด หรือติดลบ 15.90% โดยปิดตลาดหุ้นไทยวันที่ 4 มีนาคม 2568 ดัชนี SET ปิดที่ 1,177.64 จุด ถือเป็นระดับต่ำสุดของปี 2568 จากต้นปียืนอยู่ที่บริเวณ 1,400.21 จุด
โดยวานนี้ตลาดหุ้นเผชิญแรงกดดันหลักมาจากความกังวลสงครามการค้า (Trade War) กรณีนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ลงนามเรียกเก็บภาษีนำเข้าแบบเหมารวมจากจีนเพิ่มเป็น 2 เท่า มีผลบังคับใช้ในวันที่ 4 มีนาคม 2568 โดยเรียกเก็บภาษีขึ้นเป็น 20% หลังจากเก็บรอบแรก 10% ในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ขณะที่แคนาดาและเม็กซิโกโดนเก็บภาษีนำเข้าในอัตรา 25%
ทั้งนี้ “ประชาชาติธุรกิจ” ได้สำรวจการเปลี่ยนแปลงของมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย ในส่วนหุ้นใหญ่ที่มีมาร์เก็ตแคปสูงสุด 10 อันดับแรก พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจ เพราะ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (PTT) ที่กระทรวงการคลังถือหุ้นอยู่ 51.11% สามารถทวงบัลลังก์แชมป์ “มาร์เก็ตแคป” กลับคืนมาได้ โดยเบียดแซง บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (DELTA) ขึ้นมาเป็นเบอร์ 1 หุ้นไทยที่มีขนาดใหญ่สุด
โดยปิดตลาดหุ้นไทยวันที่ 4 มี.ค. 2568 พบว่า 10 อันดับหุ้นที่มีมาร์เก็ตแคปใหญ่สุดคือ
1. บมจ.ปตท. (PTT) มีมูลค่ากิจการ 878,312 ล้านบาท
2. บมจ.เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (DELTA) มีมูลค่ากิจการ 876,285 ล้านบาท
3. บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) มีมูลค่ากิจการ 797,088 ล้านบาท
4. บมจ.ท่าอากาศยานไทย (AOT) มีมูลค่ากิจการ 567,856 ล้านบาท
5. บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) มีมูลค่ากิจการ 557,324 ล้านบาท
6. บมจ.ซีพี ออลล์ (CPALL) มีมูลค่ากิจการ 471,612 ล้านบาท
7. บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) มีมูลค่ากิจการ 432,728 ล้านบาท
8. บมจ.เอสซีบี เอกซ์ (SCB) มีมูลค่ากิจการ 409,103 ล้านบาท
9. บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น (TRUE) มีมูลค่ากิจการ 383,528 ล้านบาท
10. บมจ.กรุงเทพดุสิตเวชการ (BDMS) มีมูลค่ากิจการ 378,229 ล้านบาท
ทั้งนี้ นอกจาก PTT จะทวงบัลลังก์แชมป์ “มาร์เก็ตแคป” กลับคืนมาได้จาก DELTA แล้ว จะพบว่า ADVANC ก็สามารถเบียดแซง AOT ขึ้นมาเป็นเบอร์ 3 ได้ จากเมื่อต้นปีอยู่ในอันดับ 4 เช่นเดียวกับ TRUE ที่เบียดแซง BDMS ขึ้นมาอยู่ในอันดับ 9
ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางราคาหุ้น โดยพบว่านับจากต้นปี 2568 จนถึงวันที่ 4 มีนาคม 2568 หุ้น DELTA มีราคาปรับตัวลดลงหนัก 53.93% หุ้น AOT มีราคาปรับตัวลดลงหนัก 33.19% ขณะที่ราคาหุ้นที่เหลือพบว่า PTT มีราคาปรับตัวลดลง 3.15% ADVANC มีราคาปรับตัวลดลง 6.62% GULF มีราคาปรับตัวลดลง 20.17% CPALL มีราคาปรับตัวลดลง 5.83% PTTEP มีราคาปรับตัวลดลง 8.05% SCB มีราคาปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.40% TRUE มีราคาทรงตัว และ BDMS มีราคาปรับตัวลดลง 2.86%
https://www.prachachat.net/finance/news-1766989#google_vignette
PTT ทวงบัลลังก์แชมป์ “มาร์เก็ตแคป” เบียดแซง DELTA ขึ้นเบอร์ 1 หุ้นไทย
PTT ทวงบัลลังก์แชมป์ “มาร์เก็ตแคป” กลับคืนมาได้ เบียดแซง DELTA ขึ้นเบอร์ 1 หุ้นไทยที่มีขนาดใหญ่สุด หลังราคาหุ้น DELTA นับจากต้นปีดิ่งหนัก 53.93% ฟาก ADVANC เบียดแซง AOT ขึ้นเบอร์ 3 ด้าน TRUE เบียดแซง BDMS ขึ้นอันดับ 9
ผู้สื่อข่าวรายงานความเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET Index) นับจากต้นปี 2568 จนถึงวันที่ 4 มีนาคม 2568 พบว่าดัชนี SET ปรับตัวลดลง 222.57 จุด หรือติดลบ 15.90% โดยปิดตลาดหุ้นไทยวันที่ 4 มีนาคม 2568 ดัชนี SET ปิดที่ 1,177.64 จุด ถือเป็นระดับต่ำสุดของปี 2568 จากต้นปียืนอยู่ที่บริเวณ 1,400.21 จุด
โดยวานนี้ตลาดหุ้นเผชิญแรงกดดันหลักมาจากความกังวลสงครามการค้า (Trade War) กรณีนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ลงนามเรียกเก็บภาษีนำเข้าแบบเหมารวมจากจีนเพิ่มเป็น 2 เท่า มีผลบังคับใช้ในวันที่ 4 มีนาคม 2568 โดยเรียกเก็บภาษีขึ้นเป็น 20% หลังจากเก็บรอบแรก 10% ในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ขณะที่แคนาดาและเม็กซิโกโดนเก็บภาษีนำเข้าในอัตรา 25%
ทั้งนี้ “ประชาชาติธุรกิจ” ได้สำรวจการเปลี่ยนแปลงของมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย ในส่วนหุ้นใหญ่ที่มีมาร์เก็ตแคปสูงสุด 10 อันดับแรก พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจ เพราะ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (PTT) ที่กระทรวงการคลังถือหุ้นอยู่ 51.11% สามารถทวงบัลลังก์แชมป์ “มาร์เก็ตแคป” กลับคืนมาได้ โดยเบียดแซง บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (DELTA) ขึ้นมาเป็นเบอร์ 1 หุ้นไทยที่มีขนาดใหญ่สุด
โดยปิดตลาดหุ้นไทยวันที่ 4 มี.ค. 2568 พบว่า 10 อันดับหุ้นที่มีมาร์เก็ตแคปใหญ่สุดคือ
1. บมจ.ปตท. (PTT) มีมูลค่ากิจการ 878,312 ล้านบาท
2. บมจ.เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (DELTA) มีมูลค่ากิจการ 876,285 ล้านบาท
3. บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) มีมูลค่ากิจการ 797,088 ล้านบาท
4. บมจ.ท่าอากาศยานไทย (AOT) มีมูลค่ากิจการ 567,856 ล้านบาท
5. บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) มีมูลค่ากิจการ 557,324 ล้านบาท
6. บมจ.ซีพี ออลล์ (CPALL) มีมูลค่ากิจการ 471,612 ล้านบาท
7. บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) มีมูลค่ากิจการ 432,728 ล้านบาท
8. บมจ.เอสซีบี เอกซ์ (SCB) มีมูลค่ากิจการ 409,103 ล้านบาท
9. บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น (TRUE) มีมูลค่ากิจการ 383,528 ล้านบาท
10. บมจ.กรุงเทพดุสิตเวชการ (BDMS) มีมูลค่ากิจการ 378,229 ล้านบาท
ทั้งนี้ นอกจาก PTT จะทวงบัลลังก์แชมป์ “มาร์เก็ตแคป” กลับคืนมาได้จาก DELTA แล้ว จะพบว่า ADVANC ก็สามารถเบียดแซง AOT ขึ้นมาเป็นเบอร์ 3 ได้ จากเมื่อต้นปีอยู่ในอันดับ 4 เช่นเดียวกับ TRUE ที่เบียดแซง BDMS ขึ้นมาอยู่ในอันดับ 9
ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางราคาหุ้น โดยพบว่านับจากต้นปี 2568 จนถึงวันที่ 4 มีนาคม 2568 หุ้น DELTA มีราคาปรับตัวลดลงหนัก 53.93% หุ้น AOT มีราคาปรับตัวลดลงหนัก 33.19% ขณะที่ราคาหุ้นที่เหลือพบว่า PTT มีราคาปรับตัวลดลง 3.15% ADVANC มีราคาปรับตัวลดลง 6.62% GULF มีราคาปรับตัวลดลง 20.17% CPALL มีราคาปรับตัวลดลง 5.83% PTTEP มีราคาปรับตัวลดลง 8.05% SCB มีราคาปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.40% TRUE มีราคาทรงตัว และ BDMS มีราคาปรับตัวลดลง 2.86%
https://www.prachachat.net/finance/news-1766989#google_vignette