‘เศรษฐา’ ลั่นถ้าพท.เป็นรบ.ลุยถกครม.นัดแรก ลดค่าไฟทันที
https://www.matichon.co.th/politics/news_3972638
‘เศรษฐา’ ลั่นถ้า พท.เป็น รบ.ลุยถก ครม.นัดแรก ลดค่าไฟทันที ตั้ง ส.ส.ร.รื้อ รธน. ให้สิทธิประกอบอาชีพไม่ต้องเกณฑ์ทหาร
เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม ที่ประตูท่าแพ จ.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย (พท.) จัดปราศรัย นำโดย นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี และประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย พร้อมแกนนำ นพ.
พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช ประธานคณะกรรมการด้านเศรษฐกิจพรรค พท., นาย
ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย และ นาย
พานทองแท้ ชินวัตร เพื่อช่วยผู้สมัคร ส.ส.เชียงใหม่ พรรค พท.ทั้ง 10 เขต หาเสียง ท่ามกลางประชาชนรอฟังการปราศรัยจนเต็มพื้นที่ โดยนายเศรษฐาและคณะเดินทางมาที่เวทีปราศรัยด้วยการนั่งรถสองแถวแดงสัญลักษณ์ประจำ จ.เชียงใหม่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงเย็น น.ส.
แพทองธาร ชินวัตร แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรค พท. และหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย มิได้ร่วมเดินทางมาด้วย โดยวิดีโอคอลมายังเวทีปราศรัย กล่าวว่า “
คิดถึงชาวเชียงใหม่ อยากไปมาก เสียดายมากที่ไม่ได้ไปวันนี้ ขอส่งใจไปก่อน ใกล้เลือกตั้งเข้ามาทุกที พี่น้องชาวเชียงใหม่ยังรักเพื่อไทย พรรคเห็นศักยภาพชาวเชียงใหม่ อยากใช้ประสบการณ์ที่เคยเป็นรัฐบาลมาตั้งแต่ไทยรักไทย พลังประชาชน เข้ามาพัฒนาเชียงใหม่ เรามีนโยบายดีๆ มากมาย นโยบายต่างๆ อาจดูไกลเพราะ 8-9 ปีทำให้ประชาชนหมดหวัง แต่พรรคเพื่อไทยมาแล้ว เอาความหวังที่ไม่ลมๆ แล้งๆ มาให้ชาวเชียงใหม่และคนทั้งประเทศ”
น.ส.
แพทองธารกล่าวต่อว่า เราอยู่ได้เพราะนโยบายที่ทำสำเร็จ ถ้าเป็นรัฐบาลอีกครั้งก็จะทำให้นโยบายสำเร็จเช่นกัน จะเอาความเจริญมาให้ชาวเชียงใหม่และคนทั้งประเทศ ส.ส.พรรค พท.ทุ่มเททำเพื่อประชาชนมานาน 20 ปี แม้เปลี่ยนชื่อพรรคบ่อยครั้งแต่มีความตั้งใจทำให้ประชาชน ขอให้มั่นใจในพรรค พท.เข้าคูหากา พท.
จากนั้น นาย
เศรษฐา ขึ้นเวทีพูดคุยกับนาย
ณัฐวุฒิ กล่าวว่า วันนี้พร้อมเป็นนายกรัฐมนตรี ตลอด 8 ปีที่ผ่านมาบ้านเมืองทั้งเรื่องเศรษฐกิจ สิทธิเสรีภาพ เลวร้ายมาก เป็นสิ่งทำให้เข้ามาสู่เส้นทางการเมือง จากนี้ไปอีก 4 ปี ถ้านายกรัฐมนตรีมาจากพรรค พท. และพรรค พท.ได้คุมกระทรวงหลัก ความยากจนต้องหมดไป สิทธิเสรีภาพประชาชนจะถูกคืน การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นัดแรก ลดค่าไฟทันที เสนอตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ร่วมกันเขียนรัฐธรรมนูญให้ประชาชนเลือกมาเลย การเลือกเพศสภาพ และสิทธิเสรีภาพในการประกอบอาชีพจะต้องเกิดขึ้น ไม่จำเป็นต้องเกณฑ์ทหาร
นาย
เศรษฐากล่าวต่อว่า ส่วนที่พรรค พท.เสนอแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี 3 คนนั้น เพราะเสนอคนเดียวอันตรายมาก บางพรรคเสนอคนเดียวถูกร้องเรียนไปแล้วเรื่องถือหุ้น พรรค พท.ถูกรัฐประหารสองหนโดนกลั่นแกล้งกระบวนการยุติธรรมมากมาย ถ้าเสนอคนเดียวหรือบอกว่าใครเป็นเบอร์หนึ่ง จะเป็นการชี้เป้าให้คู่แข่งเตะตัดขาเราได้
“
ยืนยันแคนดิเดตทั้งสามคนของพรรคเพื่อไทยทำงานร่วมกันเป็นทีม ส่วนกระแสข่าวถ้าพรรคเพื่อไทยได้ที่หนึ่งจะไปจับมือกับสองลุงนั้น ผมจินตนาการไปถึงอย่างนั้นไม่ได้ ยืนยันเราจะยึดโยงกับพรรคการเมืองที่มีนโยบายยึดโยงกับประชาธิปไตยเราจะเดินไปด้วยกัน” นาย
เศรษฐากล่าว
นาย
เศรษฐากล่าวด้วยว่า ถ้าพรรค พท.ได้ ส.ส. 251 เสียงไม่พอ เพราะไม่เชื่อว่า ส.ว.จะไม่ทำตามฉันทามติของประชาชน ดังนั้น เราไม่ต้องพึ่ง ส.ว. เป็นความจำเป็นในการเลือกตั้งที่เราต้องได้มากกว่า 300 เพื่อให้ยืนด้วยขาของตัวเองโดยไม่ต้องพึ่ง ส.ว. ดังนั้น แค่ 251 ไม่พอเราต้องการมากกว่านั้น 376 ยิ่งดี
เศรษฐา ย้ำแคนดิเดต พท. ได้เป็นนายกฯ พร้อมดูแลคนทั้งปท. จัดทำเขตธุรกิจใหม่
https://www.khaosod.co.th/election-2023/news_7657280
เศรษฐา ย้ำแคนดิเดตของเพื่อไทยได้เป็นนายกฯ พร้อมดูแลประชาชนทั้งประเทศ ไม่ทิ้งคนเชียงใหม่ เล็งยกระดับให้เป็นมหานคร จัดทำเขตธุรกิจใหม่
วันที่ 11 พ.ค.2566 นาย
เศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีและประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ทวีตข้อความผ่านทวิตเตอร์ระบุว่า
สวัสดีพี่น้องชาวเชียงใหม่ ที่เปรียบเสมือนเมืองหลวงของพรรคเพื่อไทย ที่มีประวัติศาสตร์ร่วมกันมาอย่างยาวนาน เมื่อวานนี้ (10 พ.ค.) ผมดีใจเป็นอย่างมากที่ได้มาพบเจอ และได้เห็นพี่น้องมาต้อนรับกันอย่างแน่นหนา ทำให้ผมยังอุ่นใจ ว่าชาวเชียงใหม่ยังคงตอบรับกับพรรคเพื่อไทยเป็นอย่างดี
มีคำถามเข้ามามากมาย ว่าหากพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาลแล้ว เชียงใหม่จะเปลี่ยนไปอย่างไร ขอให้พรรคเพื่อไทยไม่ทิ้งชาวเชียงใหม่ได้หรือไม่ ผมขอยืนยันตรงนี้ ว่าหากแคนดิเดตคนไหนของพรรคเพื่อไทยได้เป็นนายกรัฐมนตรี ไม่ใช่เพียงแค่จังหวัดเชียงใหม่ แต่นายกฯคนนั้นจำเป็นต้องดูแลประชาชนทั้งประเทศ ให้มีความเป็นอยู่ที่ดี และมีความสุข นั่นคือหน้าที่ที่สำคัญของผู้นำ และของรัฐบาลที่มีหน้าที่รับใช้ประชาชน
สำหรับจังหวัดเชียงใหม่ พรรคเพื่อไทยมีนโยบายที่สำคัญคือการยกระดับให้จังหวัดเชียงใหม่ให้เป็นมหานคร และจัดทำเขตธุรกิจใหม่ ให้เกิดขึ้น เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับธุรกิจที่มีอยู่ และกำลังจะเกิดขึ้น เพิ่มการหมุนเวียนของรายได้ และเพิ่มตำแหน่งงาน ทำให้คนรุ่นใหม่สามารถสร้างตัวที่บ้านได้ จำเป็นต้องห่างจากบ้านไกล พรรคเพื่อไทยวางแผนจะทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นทั้งระบบ จนคนรุ่นใหม่สามารถประกอบอาชีพตามความฝันได้
https://twitter.com/Thavisin/status/1656465476250382336
วิโรจน์ ย้ำ ปมหุ้นสื่อพิธา ไม่มีอะไรน่ากังวล ชาวส้ม อย่าหวั่นไหวกับพวกสัมภเวสี ผีเปรต
https://www.khaosod.co.th/politics/news_7657045
วิโรจน์ ชี้ ปมหุ้นสื่อพิธา ไม่มีอะไรน่ากังวล ชาวส้ม อย่าหวั่นไหวกับพวกสัภเวสี ผีเปรต อีกไม่กี่วันพวกเราก็จะจับมือกันเข้าเส้นชัยไปด้วยกัน
10 พ.ค. 2566 – นาย
วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว หลังเสร็จสิ้นภารกิจการปราศรัยที่ศาลหลักเมือง จ.กาญจนบุรี โดยระบุข้อความดังนี้
ผมจึงได้ถือโอกาสปราศรัย ให้พี่น้องประชาชนฟังอย่างสบายใจว่า การที่ช่วงนี้ฝ่ายอำนาจนิยม ระดมทำคลิป ระดมนักร้อง มารุมโจมตีพรรคก้าวไกล และคุณพิธา อย่างพัลวัน นั้นไม่มีอะไรที่น่ากังวลเลย ทั้งหมดเป็นเพียงวิชามาร พี่หวังทำลายขวัญและกำลังใจของประชาชน และก่อกวนให้พรรคก้าวไกลรู้สึกหงุดหงิดเท่านั้นเอง
แต่มันก็สะท้อนได้ว่า ในช่วงโค้งสุดท้ายฝ่ายอำนาจนิยม ได้มองว่าพรรคก้าวไกลเป็นคู่ปรับสำคัญไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วและเป็นพรรคเดียวที่พร้อมปักหลักสู้กับฝ่ายอำนาจนิยมอย่างไม่ลดราวาศอก
จากในตอนแรกที่แข่งขันกันอยู่หลายพรรค ตอนนี้เหลืออยู่เพียง 2 พรรคเท่านั้น ก็คือ พรรคก้าวไกล VS ลุง วันนี้พรรคก้าวไกลไม่ได้เป็นเพียงพรรคการเมืองที่ตั้งเป้าว่าจะร่วมรัฐบาลอีกแล้ว แต่เราสามารถเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลได้เลย และต้องยอมรับว่าพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ คือแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีที่เจิดจรัสที่สุด จึงเป็นเรื่องธรรมดา ที่จะต้องมีมารผจญมาวนเวียน สร้างความรำคาญ ซึ่งจุดยืนของเรายังคงชัดเจน ก็คือ มีลุงไม่มีเรา มีเราไม่มีลุง
กรณีหุ้นไอทีวีของพิธา ผมบอกได้เลยว่า ไม่มีอะไรที่น่ากังวลเลย
ประเด็นที่หนึ่ง : การครอบครองหุ้นของพิธา ไม่ใช่อยู่ดี ๆ ไปซื้อหุ้น แต่เนื่องจากคุณพ่อของพิธาเสียชีวิต พิธาจึงต้องเป็นผู้จัดการมรดก ดังนั้น หากกรณีแบบนี้กลายเป็นความผิด เท่ากับต่อไป ส.ส. ในสภาฯ เกิดพ่อเสียชีวิตขึ้นมา แล้วตัวเองต้องเป็นผู้จัดการมรดก ถ้าในมรดกมีหุ้นสื่ออยู่ด้วย นี่ไม่โดนดีดออกจากสภาฯ กันหมดเลยหรือ
ประเด็นที่สอง : หุ้นที่ว่านั้นก็มีอยู่แค่ 42,000 หุ้น จากทั้งหมด 12 ล้านหุ้น ถือเป็นสัดส่สนที่น้อยมาก เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ก็เพิ่งมีคำพิพากษาศาลฎีกาของ ส.ส.รายหนึ่ง กรณีถือหุ้นสื่อ คำพิพากษาระบุชัดว่า นักการเมืองรายดังกล่าวถือหุ้นเพียง 200 หุ้นจากทั้งหมดกว่า 2.8 ล้านหุ้น ศาลจึงตัดสินว่า การถือหุ้นในสัดส่วนที่น้อยขนาดนี้ ไม่สามารถแทรกแซง หรือสั่งการให้บริษัทสื่อทำสื่อเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับนักการเมืองคนดังกล่าวได้ จึงพิพากษาตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ ให้คืนสิทธิ์การสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. ให้แก่นักการเมืองคนดังกล่าว
เช่นเดียวกัน 42,000 หุ้น เมื่อเทียบกับ 12 ล้านหุ้น ก็ถือว่าน้อยมากเช่นกัน พิธาไม่สามารถสั่งการอะไรได้เลย อีกทั้งผู้บริหาร ThaiPBS ก็ยืนยันแล้วว่า ITV ไม่ได้ทำสื่อ และยุติกิจการไปตั้งแต่ปี 2550 แล้ว คือไม่ได้ทำสื่อมา 16 ปีแล้ว และได้ถอนออกจากตลาดหลักทรัพย์ไปแล้ว ตั้งแต่ปี 2557 การคงสถานะนิติบุคคลเอาไว้ ก็เพียงเพื่อใช้ในเรื่องคดีความเท่านั้น
ประเด็นที่สาม : กรณีหุ้น ITV ไม่ใช่เรื่องใหม่เลย เพราะพิธาได้ชี้แจงเรื่องดังกล่าวนี้ ให้กับ ป.ป.ช. ทราบตั้งแต่ปี 62 แล้ว และการดำเนินต่าง ๆ ก็ได้ดำเนินการตามที่ได้หารือกับ ป.ป.ช. มาโดยตลอด
ดังนั้นขอให้ประชาชนไม่ต้องกังวลกับวิชามารเหล่านี้ พิธาและพรรคก้าวไกลจะเดินหน้าหาเสียงด้วยความมั่นใจ เพื่อร่วมเปลี่ยนแปลงประเทศไทยไปกับพร้อมกับพี่น้องประชาชนอย่างไม่ลดละ
ไม่ต้องหวั่นไหว กับพวกสัมภเวสี ผีเปรต เถยจิต อีกไม่กี่วันพวกเราก็จะจับมือกันเข้าเส้นชัยไปด้วยกันแล้ว
https://www.facebook.com/wirojlak/posts/736915604891663
JJNY : ‘เศรษฐา’ลั่นถ้าเป็นรบ.ลดค่าไฟทันที│เศรษฐาย้ำ จัดทำเขตธุรกิจใหม่│วิโรจน์ย้ำหุ้นสื่อพิธา ไม่มีอะไร│'โรม'ฝากถึงตำรวจ
https://www.matichon.co.th/politics/news_3972638
‘เศรษฐา’ ลั่นถ้า พท.เป็น รบ.ลุยถก ครม.นัดแรก ลดค่าไฟทันที ตั้ง ส.ส.ร.รื้อ รธน. ให้สิทธิประกอบอาชีพไม่ต้องเกณฑ์ทหาร
เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม ที่ประตูท่าแพ จ.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย (พท.) จัดปราศรัย นำโดย นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี และประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย พร้อมแกนนำ นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช ประธานคณะกรรมการด้านเศรษฐกิจพรรค พท., นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย และ นายพานทองแท้ ชินวัตร เพื่อช่วยผู้สมัคร ส.ส.เชียงใหม่ พรรค พท.ทั้ง 10 เขต หาเสียง ท่ามกลางประชาชนรอฟังการปราศรัยจนเต็มพื้นที่ โดยนายเศรษฐาและคณะเดินทางมาที่เวทีปราศรัยด้วยการนั่งรถสองแถวแดงสัญลักษณ์ประจำ จ.เชียงใหม่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงเย็น น.ส.แพทองธาร ชินวัตร แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรค พท. และหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย มิได้ร่วมเดินทางมาด้วย โดยวิดีโอคอลมายังเวทีปราศรัย กล่าวว่า “คิดถึงชาวเชียงใหม่ อยากไปมาก เสียดายมากที่ไม่ได้ไปวันนี้ ขอส่งใจไปก่อน ใกล้เลือกตั้งเข้ามาทุกที พี่น้องชาวเชียงใหม่ยังรักเพื่อไทย พรรคเห็นศักยภาพชาวเชียงใหม่ อยากใช้ประสบการณ์ที่เคยเป็นรัฐบาลมาตั้งแต่ไทยรักไทย พลังประชาชน เข้ามาพัฒนาเชียงใหม่ เรามีนโยบายดีๆ มากมาย นโยบายต่างๆ อาจดูไกลเพราะ 8-9 ปีทำให้ประชาชนหมดหวัง แต่พรรคเพื่อไทยมาแล้ว เอาความหวังที่ไม่ลมๆ แล้งๆ มาให้ชาวเชียงใหม่และคนทั้งประเทศ”
น.ส.แพทองธารกล่าวต่อว่า เราอยู่ได้เพราะนโยบายที่ทำสำเร็จ ถ้าเป็นรัฐบาลอีกครั้งก็จะทำให้นโยบายสำเร็จเช่นกัน จะเอาความเจริญมาให้ชาวเชียงใหม่และคนทั้งประเทศ ส.ส.พรรค พท.ทุ่มเททำเพื่อประชาชนมานาน 20 ปี แม้เปลี่ยนชื่อพรรคบ่อยครั้งแต่มีความตั้งใจทำให้ประชาชน ขอให้มั่นใจในพรรค พท.เข้าคูหากา พท.
จากนั้น นายเศรษฐา ขึ้นเวทีพูดคุยกับนายณัฐวุฒิ กล่าวว่า วันนี้พร้อมเป็นนายกรัฐมนตรี ตลอด 8 ปีที่ผ่านมาบ้านเมืองทั้งเรื่องเศรษฐกิจ สิทธิเสรีภาพ เลวร้ายมาก เป็นสิ่งทำให้เข้ามาสู่เส้นทางการเมือง จากนี้ไปอีก 4 ปี ถ้านายกรัฐมนตรีมาจากพรรค พท. และพรรค พท.ได้คุมกระทรวงหลัก ความยากจนต้องหมดไป สิทธิเสรีภาพประชาชนจะถูกคืน การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นัดแรก ลดค่าไฟทันที เสนอตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ร่วมกันเขียนรัฐธรรมนูญให้ประชาชนเลือกมาเลย การเลือกเพศสภาพ และสิทธิเสรีภาพในการประกอบอาชีพจะต้องเกิดขึ้น ไม่จำเป็นต้องเกณฑ์ทหาร
นายเศรษฐากล่าวต่อว่า ส่วนที่พรรค พท.เสนอแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี 3 คนนั้น เพราะเสนอคนเดียวอันตรายมาก บางพรรคเสนอคนเดียวถูกร้องเรียนไปแล้วเรื่องถือหุ้น พรรค พท.ถูกรัฐประหารสองหนโดนกลั่นแกล้งกระบวนการยุติธรรมมากมาย ถ้าเสนอคนเดียวหรือบอกว่าใครเป็นเบอร์หนึ่ง จะเป็นการชี้เป้าให้คู่แข่งเตะตัดขาเราได้
“ยืนยันแคนดิเดตทั้งสามคนของพรรคเพื่อไทยทำงานร่วมกันเป็นทีม ส่วนกระแสข่าวถ้าพรรคเพื่อไทยได้ที่หนึ่งจะไปจับมือกับสองลุงนั้น ผมจินตนาการไปถึงอย่างนั้นไม่ได้ ยืนยันเราจะยึดโยงกับพรรคการเมืองที่มีนโยบายยึดโยงกับประชาธิปไตยเราจะเดินไปด้วยกัน” นายเศรษฐากล่าว
นายเศรษฐากล่าวด้วยว่า ถ้าพรรค พท.ได้ ส.ส. 251 เสียงไม่พอ เพราะไม่เชื่อว่า ส.ว.จะไม่ทำตามฉันทามติของประชาชน ดังนั้น เราไม่ต้องพึ่ง ส.ว. เป็นความจำเป็นในการเลือกตั้งที่เราต้องได้มากกว่า 300 เพื่อให้ยืนด้วยขาของตัวเองโดยไม่ต้องพึ่ง ส.ว. ดังนั้น แค่ 251 ไม่พอเราต้องการมากกว่านั้น 376 ยิ่งดี
เศรษฐา ย้ำแคนดิเดต พท. ได้เป็นนายกฯ พร้อมดูแลคนทั้งปท. จัดทำเขตธุรกิจใหม่
https://www.khaosod.co.th/election-2023/news_7657280
เศรษฐา ย้ำแคนดิเดตของเพื่อไทยได้เป็นนายกฯ พร้อมดูแลประชาชนทั้งประเทศ ไม่ทิ้งคนเชียงใหม่ เล็งยกระดับให้เป็นมหานคร จัดทำเขตธุรกิจใหม่
วันที่ 11 พ.ค.2566 นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีและประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ทวีตข้อความผ่านทวิตเตอร์ระบุว่า
สวัสดีพี่น้องชาวเชียงใหม่ ที่เปรียบเสมือนเมืองหลวงของพรรคเพื่อไทย ที่มีประวัติศาสตร์ร่วมกันมาอย่างยาวนาน เมื่อวานนี้ (10 พ.ค.) ผมดีใจเป็นอย่างมากที่ได้มาพบเจอ และได้เห็นพี่น้องมาต้อนรับกันอย่างแน่นหนา ทำให้ผมยังอุ่นใจ ว่าชาวเชียงใหม่ยังคงตอบรับกับพรรคเพื่อไทยเป็นอย่างดี
มีคำถามเข้ามามากมาย ว่าหากพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาลแล้ว เชียงใหม่จะเปลี่ยนไปอย่างไร ขอให้พรรคเพื่อไทยไม่ทิ้งชาวเชียงใหม่ได้หรือไม่ ผมขอยืนยันตรงนี้ ว่าหากแคนดิเดตคนไหนของพรรคเพื่อไทยได้เป็นนายกรัฐมนตรี ไม่ใช่เพียงแค่จังหวัดเชียงใหม่ แต่นายกฯคนนั้นจำเป็นต้องดูแลประชาชนทั้งประเทศ ให้มีความเป็นอยู่ที่ดี และมีความสุข นั่นคือหน้าที่ที่สำคัญของผู้นำ และของรัฐบาลที่มีหน้าที่รับใช้ประชาชน
สำหรับจังหวัดเชียงใหม่ พรรคเพื่อไทยมีนโยบายที่สำคัญคือการยกระดับให้จังหวัดเชียงใหม่ให้เป็นมหานคร และจัดทำเขตธุรกิจใหม่ ให้เกิดขึ้น เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับธุรกิจที่มีอยู่ และกำลังจะเกิดขึ้น เพิ่มการหมุนเวียนของรายได้ และเพิ่มตำแหน่งงาน ทำให้คนรุ่นใหม่สามารถสร้างตัวที่บ้านได้ จำเป็นต้องห่างจากบ้านไกล พรรคเพื่อไทยวางแผนจะทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นทั้งระบบ จนคนรุ่นใหม่สามารถประกอบอาชีพตามความฝันได้
https://twitter.com/Thavisin/status/1656465476250382336
วิโรจน์ ย้ำ ปมหุ้นสื่อพิธา ไม่มีอะไรน่ากังวล ชาวส้ม อย่าหวั่นไหวกับพวกสัมภเวสี ผีเปรต
https://www.khaosod.co.th/politics/news_7657045
วิโรจน์ ชี้ ปมหุ้นสื่อพิธา ไม่มีอะไรน่ากังวล ชาวส้ม อย่าหวั่นไหวกับพวกสัภเวสี ผีเปรต อีกไม่กี่วันพวกเราก็จะจับมือกันเข้าเส้นชัยไปด้วยกัน
10 พ.ค. 2566 – นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว หลังเสร็จสิ้นภารกิจการปราศรัยที่ศาลหลักเมือง จ.กาญจนบุรี โดยระบุข้อความดังนี้
ผมจึงได้ถือโอกาสปราศรัย ให้พี่น้องประชาชนฟังอย่างสบายใจว่า การที่ช่วงนี้ฝ่ายอำนาจนิยม ระดมทำคลิป ระดมนักร้อง มารุมโจมตีพรรคก้าวไกล และคุณพิธา อย่างพัลวัน นั้นไม่มีอะไรที่น่ากังวลเลย ทั้งหมดเป็นเพียงวิชามาร พี่หวังทำลายขวัญและกำลังใจของประชาชน และก่อกวนให้พรรคก้าวไกลรู้สึกหงุดหงิดเท่านั้นเอง
แต่มันก็สะท้อนได้ว่า ในช่วงโค้งสุดท้ายฝ่ายอำนาจนิยม ได้มองว่าพรรคก้าวไกลเป็นคู่ปรับสำคัญไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วและเป็นพรรคเดียวที่พร้อมปักหลักสู้กับฝ่ายอำนาจนิยมอย่างไม่ลดราวาศอก
จากในตอนแรกที่แข่งขันกันอยู่หลายพรรค ตอนนี้เหลืออยู่เพียง 2 พรรคเท่านั้น ก็คือ พรรคก้าวไกล VS ลุง วันนี้พรรคก้าวไกลไม่ได้เป็นเพียงพรรคการเมืองที่ตั้งเป้าว่าจะร่วมรัฐบาลอีกแล้ว แต่เราสามารถเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลได้เลย และต้องยอมรับว่าพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ คือแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีที่เจิดจรัสที่สุด จึงเป็นเรื่องธรรมดา ที่จะต้องมีมารผจญมาวนเวียน สร้างความรำคาญ ซึ่งจุดยืนของเรายังคงชัดเจน ก็คือ มีลุงไม่มีเรา มีเราไม่มีลุง
กรณีหุ้นไอทีวีของพิธา ผมบอกได้เลยว่า ไม่มีอะไรที่น่ากังวลเลย
ประเด็นที่หนึ่ง : การครอบครองหุ้นของพิธา ไม่ใช่อยู่ดี ๆ ไปซื้อหุ้น แต่เนื่องจากคุณพ่อของพิธาเสียชีวิต พิธาจึงต้องเป็นผู้จัดการมรดก ดังนั้น หากกรณีแบบนี้กลายเป็นความผิด เท่ากับต่อไป ส.ส. ในสภาฯ เกิดพ่อเสียชีวิตขึ้นมา แล้วตัวเองต้องเป็นผู้จัดการมรดก ถ้าในมรดกมีหุ้นสื่ออยู่ด้วย นี่ไม่โดนดีดออกจากสภาฯ กันหมดเลยหรือ
ประเด็นที่สอง : หุ้นที่ว่านั้นก็มีอยู่แค่ 42,000 หุ้น จากทั้งหมด 12 ล้านหุ้น ถือเป็นสัดส่สนที่น้อยมาก เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ก็เพิ่งมีคำพิพากษาศาลฎีกาของ ส.ส.รายหนึ่ง กรณีถือหุ้นสื่อ คำพิพากษาระบุชัดว่า นักการเมืองรายดังกล่าวถือหุ้นเพียง 200 หุ้นจากทั้งหมดกว่า 2.8 ล้านหุ้น ศาลจึงตัดสินว่า การถือหุ้นในสัดส่วนที่น้อยขนาดนี้ ไม่สามารถแทรกแซง หรือสั่งการให้บริษัทสื่อทำสื่อเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับนักการเมืองคนดังกล่าวได้ จึงพิพากษาตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ ให้คืนสิทธิ์การสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. ให้แก่นักการเมืองคนดังกล่าว
เช่นเดียวกัน 42,000 หุ้น เมื่อเทียบกับ 12 ล้านหุ้น ก็ถือว่าน้อยมากเช่นกัน พิธาไม่สามารถสั่งการอะไรได้เลย อีกทั้งผู้บริหาร ThaiPBS ก็ยืนยันแล้วว่า ITV ไม่ได้ทำสื่อ และยุติกิจการไปตั้งแต่ปี 2550 แล้ว คือไม่ได้ทำสื่อมา 16 ปีแล้ว และได้ถอนออกจากตลาดหลักทรัพย์ไปแล้ว ตั้งแต่ปี 2557 การคงสถานะนิติบุคคลเอาไว้ ก็เพียงเพื่อใช้ในเรื่องคดีความเท่านั้น
ประเด็นที่สาม : กรณีหุ้น ITV ไม่ใช่เรื่องใหม่เลย เพราะพิธาได้ชี้แจงเรื่องดังกล่าวนี้ ให้กับ ป.ป.ช. ทราบตั้งแต่ปี 62 แล้ว และการดำเนินต่าง ๆ ก็ได้ดำเนินการตามที่ได้หารือกับ ป.ป.ช. มาโดยตลอด
ดังนั้นขอให้ประชาชนไม่ต้องกังวลกับวิชามารเหล่านี้ พิธาและพรรคก้าวไกลจะเดินหน้าหาเสียงด้วยความมั่นใจ เพื่อร่วมเปลี่ยนแปลงประเทศไทยไปกับพร้อมกับพี่น้องประชาชนอย่างไม่ลดละ
ไม่ต้องหวั่นไหว กับพวกสัมภเวสี ผีเปรต เถยจิต อีกไม่กี่วันพวกเราก็จะจับมือกันเข้าเส้นชัยไปด้วยกันแล้ว
https://www.facebook.com/wirojlak/posts/736915604891663