ยอดพรานตะลุยแดนอาถรรพ์ (ฉบับรีไร้ท์)
โดย ล. วิลิศมาหรา
ตอนที่ 1 พรานป่าผจญผีโขมดดง
เจษฎา วงศ์ขจร เกิดมาเป็นลูกชายคนโตของครอบครัวเศรษฐี ชีวิตของเขาจึงเต็มไปด้วยความสะดวกสบาย เรียนจบจากมหาวิทยาลัยชั้นนำ ไม่ต้องคอยกังวลเรื่องหางานทำ เพราะพ่อของเขามีธุรกิจหลายอย่าง
แต่แล้วชีวิตของเจษฎาก็ต้องมีอันรู้จักกับคำว่าตกระกำลำบาก เมื่อต้องเข้ามาอยู่ในป่าดงดิบเป็นเวลานาน ผ่านการผจญภัยมามากมายหลายอย่าง เรื่องราวของเขาในป่าดงพงไพรกับนายพรานจอมขมังเวทย์คู่ใจ เป็นเรื่องที่เหลือเชื่อและน่าทึ่งมาก เขาผจญกับอะไรมาบ้าง มาฟังเรื่องราวของเขาได้ดังต่อไปนี้
เรื่องมันเริ่มต้นขึ้นเมื่ออรวีน้องสาวคนเดียวของเจษฏา ซึ่งเป็นแฟนกับวุฒิชัย ลูกชายของเศรษฐีใหญ่ตระกูลหนึ่ง ได้ตามแฟนหนุ่มและกลุ่มเพื่อนอีกสองคน เข้าไปท่องเที่ยวในหมู่บ้านกลางป่าแห่งหนึ่ง ที่มีชื่อว่า ‘บ้านกะลาง’ ซึ่งอยู่ในป่าลึกทางฝั่งพม่า โดยไม่ยอมเชื่อฟังคำทักท้วงของบิดามารดา ที่สั่งห้ามไม่ให้เข้าไป และในที่สุดอรวีกับบรรดากลุ่มเพื่อนทั้งหมด ก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยในผืนป่า โดยไม่มีใครรู้ถึงชะตากรรม
อรวีหายตัวไปเป็นเวลานานหลายปี โดยไม่มีข่าวคราวใดให้สืบรู้บ้างเลย แม้จะระดมคนออกค้นหาทั้งฝ่ายไทยและฝ่ายพม่า แต่ดูเหมือนจะไร้ผล คนในหมู่บ้านกะลางเองก็ยืนยันว่าหนุ่มสาวกลุ่มนั้นได้ออกจากหมู่บ้านไปแล้ว เมื่อเห็นว่าทุกฝ่ายถอดใจกันหมด เจษฎาก็ทนนิ่งเฉยอยู่ไม่ได้ เขาอาสาจะไปตามหาน้องสาวเอง เพราะเชื่อว่าอรวีจะต้องมีชีวิตอยู่
เจษฎาควานหาตัวนายพรานที่มีความชำนาญในเส้นทางไปสู่หมู่บ้านกะลาง จนได้พบกับนายพรานคนหนึ่งอาสาเป็นคนนำทาง ชื่อว่าพรานหวิน เป็นหนุ่มใหญ่วัยกลางคน พร้อมกับคนติดตามอีกสองคน ชื่อเจ้าป๋องกับเจ้าเอก
หลังนัดแนะทำความรู้จักกัน และบอกจุดประสงค์เรียบร้อยแล้ว อีกหนึ่งอาทิตย์ต่อมา เอกก็เป็นคนขับรถจี๊ปพาทุกคนบึ่งตรงไปกาญจนบุรี ผ่านเข้าทางด่านเจดีย์สามองค์ มุ่งตรงสู่เขตแดนประเทศพม่า คนทางฝั่งพม่าเองก็ดูเหมือนจะรู้จักพรานหวินดี เพราะเขาสามารถพูดภาษาพม่าได้ การเดินทางเข้าไปในป่าพม่าครั้งนี้ มีระยะทางที่ไกลทีเดียว แต่เจษฎาก็รู้สึกอุ่นใจ เพราะพรานหวินเป็นคนที่น่าไว้วางใจ อายุมากกว่าเขาไปสองสามปี มีลักษณะเป็นผู้นำและมีคาถาอาคม จนได้ชื่อว่าเป็นนายพรานจอมขมังเวทย์คนหนึ่ง ส่วนคนติดตามอีกสองคนอายุไม่น่าจะถึงสามสิบปี
ทิ้งรถไว้ที่ชายป่าให้คนรู้จักของพรานหวินเก็บรักษา แล้วออกเดินเท้ามุ่งหน้าข้ามเขามาจนถึงหมู่บ้านกะเหรี่ยงแห่งหนึ่ง ชื่อบ้านแม่ขะนาด แวะพักค้างคืนกันที่บ้านของผู้ใหญ่บ้านหรือที่เรียกกันว่านายบ้าน ชื่อลุงจ่อละบือ แกอาศัยอยู่กับลูกสาวชื่อโอ๋ซู่ บ้านของนายบ้านเป็นเพียงกระต๊อบไม้ไผ่ธรรมดา ลักษณะแบบบ้านป่าทั่วไป
เจษฎาแม้จะไม่เคยเข้าป่ามาเลย แต่เนื่องจากเขาได้เตรียมตัวไว้นานแล้ว และเป็นคนชอบออกกำลังกาย จนมีรูปร่างที่สูงใหญ่แข็งแรง เขาหัดยิงปืนจนคล่องแคล่ว และศึกษาวิธีเอาตัวรอดในป่ามาเป็นอย่างดี จึงปรับตัวให้เข้ากับวิถีของคนบ้านป่าได้พอสมควร
อาหารมื้อเย็นวันนั้นเป็นฝีมือของโอ๋ซู่ เจษฎารู้สึกเจริญอาหารเป็นอย่างมาก และพอรู้ถึงจุดหมายปลายทางของพรานหวิน ลุงจ่อละบือก็ทำสีหน้าหนักใจ แกเตือนให้ระวังเสือในป่านี้ เพราะระยะนี้มีเสือสองตัวเข้ามารบกวนชาวบ้าน ตัวหนึ่งมันเป็นเสือลำบาก ชาวบ้านเห็นมันเดินขาลากไปข้างหนึ่ง มักเข้ามาลากวัวควายของชาวบ้านไปกิน พรานหวินมีสีหน้าที่เคร่งขรึมลง เขานึกเป็นกังวลถึงความปลอดภัยของคณะเดินทาง
ลุงจ่อละบือเล่าว่า ป่าเขตนี้ไม่เคยมีเสือมาเป็นสิบปีแล้ว ไอ้ตัวที่เข้ามาก็ไม่รู้มันมาจากไหน แต่ถ้าขืนปล่อยเอาไว้มันคงเป็นอันตรายสำหรับชาวบ้าน ที่จะต้องต้อนวัวควายไปเลี้ยงในแหล่ง หรือชาวบ้านที่ออกไปหาของป่า
พรานหวินฟังแล้วจึงนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนหันมาหารือกับเจษฎา ในที่สุดก็สรุปกันว่า จะอยู่ช่วยชาวบ้านทางนี้เสียก่อน แลกกับการที่ชาวบ้านจะช่วยเป็นหูเป็นตาช่วยหาข่าวอรวีให้อีกทาง คืนพรุ่งนี้จะทำการนั่งห้างกัน เพื่อรอดักยิงเจ้าเสือร้าย โดยจะใช้ซากวัวควายที่ตายแล้วเป็นเหยื่อล่อ เมื่อได้ข้อตกลงกันแล้ว ในคืนนั้น ทุกคนจึงพากันหลับนอนพักผ่อน เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับภารกิจล่าสัตว์ร้ายในวันรุ่งขึ้น
พอรุ่งเช้า ยังไม่ทันที่กลุ่มของพรานหวินจะออกเดินทางเข้าไปในโป่งดิน เพื่อไปขัดห้างส่องเสือกันที่นั่น ปืนทุกกระบอกถูกบรรจุกระสุนเตรียมไว้พร้อม สำหรับยิงเสือร้ายที่มีกันถึงสองตัว ก็ได้มีผู้ชายคนหนึ่งวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาแจ้งแก่ลุงจ่อละบือว่า ตัวเองได้เอาควายไปเลี้ยงที่แหล่ง และได้ไปเจอกับศพของหญิงสาวในหมู่บ้านคนหนึ่ง ชื่อเกอะซอ ลักษณะของศพน่าจะถูกเสือกัดตาย ทุกคนพากันตกใจ นึกไม่ถึงจะเกิดเหตุร้ายขึ้นเสียก่อน รีบไปดูในสถานที่เกิดเหตุ
คนตายเป็นหญิงสาววัยรุ่น เนื้อตัวถูกเสือกัดกินจนฉีกขาดแหว่งวิ่นไปแถบหนึ่ง ดวงตาเบิกโพลง บ่งบอกก่อนตายจะต้องมีอาการตื่นกลัวจนถึงขีดสุด ศพถูกนำมาทำพิธีตามประเพณี ตอกย้ำถึงความเป็นตัวอันตรายของเสือร้าย พรานหวินจึงนึกหนักใจหากจะเดินทางกันต่อ
หลังเข้าไปขัดห้างเพื่อรอส่องเสืออยู่ที่โป่งดิน ซึ่งเป็นแหล่งชุมนุมของสัตว์สารพัดชนิด ที่เสือโคร่งมักจะมาดักซุ่มล่าเหยื่อ นั่งห้างจนเวลาใกล้ค่ำ บรรยากาศรอบตัวเริ่มมืดลง เสียงแมลงกลางคืนกรีดปีกดังระงม ทั้งสี่คนบนห้างต่างพากันนั่งนิ่งเงียบ สัมผัสถึงความไม่ปกติของป่า พลันก็มีลมพัดมาวูบหนึ่ง สายตาอันฉับไวของพรานหวินสังเกตเห็นมีคนมายืนอยู่แถวโป่งดิน แล้วเดินหายเข้าหลังพุ่มไม้ไป คล้ายจะเป็นผู้หญิง เขาจึงรีบฉายไฟส่องดู กลับไม่เห็นมีใครอยู่แถวนั้นเลย
พรานหวิน : “ผีโป่ง”
เจษฏา : “พี่หวินว่าอะไรนะครับ”
พรานหวิน : “ผีโป่งน่ะครับ มันชอบออกมาหลอกให้นายพรานเข้าใจผิด บดบังสายตาคนที่มาด้วยกัน ให้มองเห็นว่าเป็นสัตว์ ที่มีข่าวนายพรานยิงกันตายในป่าก็เพราะถูกผีพวกนี้มันลวงตาเอานี่แหละครับ เมื่อกี้ดูเหมือนมันจะแปลงตัวเป็นคนมา...เอ้า! พวกเอ็งทุกคนอย่าลงจากห้างเป็นอันขาดนะ จนกว่าจะสว่าง”
นายพรานตอบเจษฏา แล้วเลยหันไปบอกลูกน้องอีกสองคนให้ระวังตัว
“มันจะขึ้นมาบนนี้ได้ไหมครับ” เจษฏาถามขึ้นด้วยความวิตก
“ปกติผีโป่งธรรมดามันขึ้นมาไม่ได้หรอกคุณ เพราะเป็นแค่วิญญาณสัตว์ที่ตายไปแล้วจากฝีมือของนายพราน นอกจากเจ้าสัตว์ตัวนั้นมันก็ดันไปทำร้ายคนให้ถึงตาย แล้ววิญญาณดวงนั้นมาเข้าสิงในตัวของมันอีกที ส่วนใหญ่มันจะหลอกล่อให้นายพรานลงจากห้างมามากกว่า แต่ผมรู้สึกคุ้นหน้าผู้หญิงคนที่เห็นเมื่อกี้มาก”
“เกอะซอครับพี่หวิน” ป๋องสอดขึ้นมา ทำเอาทุกคนชะงัก
“ผมก็เห็นครับ ผมจำหน้าได้ เป็นผู้หญิงคนที่โดนเสือกัดตายเมื่อเช้านี้”
เอกสนับสนุนอีกเสียง เขาเคยได้ยินเรื่องเสือกัดคนตาย แล้ววิญญาณคนตายมาเข้าสิงในตัวเสือ ทำให้เสือตัวนั้นกลายเป็นเสือสมิง วิญญาณของผู้หญิงชื่อเกอะซอมาปรากฏตัวให้พวกตนเห็น อาจหมายถึงแบบนั้นก็ได้
“อืม...พี่จำเกอะซอได้แล้ว เจ้าเสือสองตัวที่เข้ามาอาละวาดในหมู่บ้านนี้ มันอาจเป็นตัวที่กัดเธอตาย เสือลำบากมันมักจะวิ่งล่าเหยื่อไม่ค่อยทัน มันจึงหันมากินคนหรือสัตว์เลี้ยงในหมู่บ้านแทน ถ้าวิญญาณของเกอะชอมาที่นี่ บางทีเจ้าเสือตัวนั้นมันอาจจะมากินเหยื่อล่อคืนนี้ก็เป็นไปได้”
ขณะกำลังพรานหวินกระซิบกระซาบคุยกับลูกน้องอยู่ หูของทุกคนก็ได้ยินเสียงร้องของเสือดังขึ้น เสียงของมันอยู่ห่างออกไปทางทิศใต้ พรานหวินรีบยกนิ้วชี้แตะริมฝีปาก ส่งสัญญาณให้อยู่กันเงียบ ๆ
อึดใจเดียวก็ปรากฏร่างของเสือลายพาดกลอนตัวใหญ่ ก้าวเข้ามาหาเหยื่อที่ถูกเอามาวางล่อไว้ใต้ต้นไม้ช้า ๆ โดยมีสายตาของคนบนห้างจับจ้องมองดูแทบไม่กะพริบ แสงจันทร์ส่องจับร่างของมันที่เดินเข้ามาดมซากวัว พรานหวินเห็นขาหลังข้างขวาของมันมีปัญหา มันจึงมีท่วงท่าการเดินที่ผิดปกติ ปืนลูกซองแฝดในมือถูกยกขึ้นประทับบ่า
ส่วนเจษฎานั้นใจเต้นถี่แรง เป็นครั้งแรกที่เขาจะได้เห็นการล่าเสือตัวเป็น ๆ รีบกระชับปืนไรเฟิลของตัวเองเหมือนกัน
และทันทีที่มันก้มลงกัดซากวัวกินอย่างตะกรุมตระกราม พรานหวินก็ระเบิดกระสุนเข้าใส่มัน
ปั้ง!
ติดตามดูภาพสวยสมจริง และเรื่องราวที่รีไร้ท์ใหม่ได้ที่ลิ้งค์นี้ค่ะ
https://www.youtube.com/watch?v=tMI8ZEi29XY&pp=ygUYZ2hvc3RsYW5k4LmB4LiU4LiZ4Lic4Li1
ยอดพรานตะลุยดินแดนอาถรรพ์ เวอร์ชั่น การ์ตูนอะนิเมชั่น ตอนที่ 1
ตอนที่ 1 พรานป่าผจญผีโขมดดง
เจษฎา วงศ์ขจร เกิดมาเป็นลูกชายคนโตของครอบครัวเศรษฐี ชีวิตของเขาจึงเต็มไปด้วยความสะดวกสบาย เรียนจบจากมหาวิทยาลัยชั้นนำ ไม่ต้องคอยกังวลเรื่องหางานทำ เพราะพ่อของเขามีธุรกิจหลายอย่าง
แต่แล้วชีวิตของเจษฎาก็ต้องมีอันรู้จักกับคำว่าตกระกำลำบาก เมื่อต้องเข้ามาอยู่ในป่าดงดิบเป็นเวลานาน ผ่านการผจญภัยมามากมายหลายอย่าง เรื่องราวของเขาในป่าดงพงไพรกับนายพรานจอมขมังเวทย์คู่ใจ เป็นเรื่องที่เหลือเชื่อและน่าทึ่งมาก เขาผจญกับอะไรมาบ้าง มาฟังเรื่องราวของเขาได้ดังต่อไปนี้
เรื่องมันเริ่มต้นขึ้นเมื่ออรวีน้องสาวคนเดียวของเจษฏา ซึ่งเป็นแฟนกับวุฒิชัย ลูกชายของเศรษฐีใหญ่ตระกูลหนึ่ง ได้ตามแฟนหนุ่มและกลุ่มเพื่อนอีกสองคน เข้าไปท่องเที่ยวในหมู่บ้านกลางป่าแห่งหนึ่ง ที่มีชื่อว่า ‘บ้านกะลาง’ ซึ่งอยู่ในป่าลึกทางฝั่งพม่า โดยไม่ยอมเชื่อฟังคำทักท้วงของบิดามารดา ที่สั่งห้ามไม่ให้เข้าไป และในที่สุดอรวีกับบรรดากลุ่มเพื่อนทั้งหมด ก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยในผืนป่า โดยไม่มีใครรู้ถึงชะตากรรม
อรวีหายตัวไปเป็นเวลานานหลายปี โดยไม่มีข่าวคราวใดให้สืบรู้บ้างเลย แม้จะระดมคนออกค้นหาทั้งฝ่ายไทยและฝ่ายพม่า แต่ดูเหมือนจะไร้ผล คนในหมู่บ้านกะลางเองก็ยืนยันว่าหนุ่มสาวกลุ่มนั้นได้ออกจากหมู่บ้านไปแล้ว เมื่อเห็นว่าทุกฝ่ายถอดใจกันหมด เจษฎาก็ทนนิ่งเฉยอยู่ไม่ได้ เขาอาสาจะไปตามหาน้องสาวเอง เพราะเชื่อว่าอรวีจะต้องมีชีวิตอยู่
เจษฎาควานหาตัวนายพรานที่มีความชำนาญในเส้นทางไปสู่หมู่บ้านกะลาง จนได้พบกับนายพรานคนหนึ่งอาสาเป็นคนนำทาง ชื่อว่าพรานหวิน เป็นหนุ่มใหญ่วัยกลางคน พร้อมกับคนติดตามอีกสองคน ชื่อเจ้าป๋องกับเจ้าเอก
หลังนัดแนะทำความรู้จักกัน และบอกจุดประสงค์เรียบร้อยแล้ว อีกหนึ่งอาทิตย์ต่อมา เอกก็เป็นคนขับรถจี๊ปพาทุกคนบึ่งตรงไปกาญจนบุรี ผ่านเข้าทางด่านเจดีย์สามองค์ มุ่งตรงสู่เขตแดนประเทศพม่า คนทางฝั่งพม่าเองก็ดูเหมือนจะรู้จักพรานหวินดี เพราะเขาสามารถพูดภาษาพม่าได้ การเดินทางเข้าไปในป่าพม่าครั้งนี้ มีระยะทางที่ไกลทีเดียว แต่เจษฎาก็รู้สึกอุ่นใจ เพราะพรานหวินเป็นคนที่น่าไว้วางใจ อายุมากกว่าเขาไปสองสามปี มีลักษณะเป็นผู้นำและมีคาถาอาคม จนได้ชื่อว่าเป็นนายพรานจอมขมังเวทย์คนหนึ่ง ส่วนคนติดตามอีกสองคนอายุไม่น่าจะถึงสามสิบปี
ทิ้งรถไว้ที่ชายป่าให้คนรู้จักของพรานหวินเก็บรักษา แล้วออกเดินเท้ามุ่งหน้าข้ามเขามาจนถึงหมู่บ้านกะเหรี่ยงแห่งหนึ่ง ชื่อบ้านแม่ขะนาด แวะพักค้างคืนกันที่บ้านของผู้ใหญ่บ้านหรือที่เรียกกันว่านายบ้าน ชื่อลุงจ่อละบือ แกอาศัยอยู่กับลูกสาวชื่อโอ๋ซู่ บ้านของนายบ้านเป็นเพียงกระต๊อบไม้ไผ่ธรรมดา ลักษณะแบบบ้านป่าทั่วไป
เจษฎาแม้จะไม่เคยเข้าป่ามาเลย แต่เนื่องจากเขาได้เตรียมตัวไว้นานแล้ว และเป็นคนชอบออกกำลังกาย จนมีรูปร่างที่สูงใหญ่แข็งแรง เขาหัดยิงปืนจนคล่องแคล่ว และศึกษาวิธีเอาตัวรอดในป่ามาเป็นอย่างดี จึงปรับตัวให้เข้ากับวิถีของคนบ้านป่าได้พอสมควร
อาหารมื้อเย็นวันนั้นเป็นฝีมือของโอ๋ซู่ เจษฎารู้สึกเจริญอาหารเป็นอย่างมาก และพอรู้ถึงจุดหมายปลายทางของพรานหวิน ลุงจ่อละบือก็ทำสีหน้าหนักใจ แกเตือนให้ระวังเสือในป่านี้ เพราะระยะนี้มีเสือสองตัวเข้ามารบกวนชาวบ้าน ตัวหนึ่งมันเป็นเสือลำบาก ชาวบ้านเห็นมันเดินขาลากไปข้างหนึ่ง มักเข้ามาลากวัวควายของชาวบ้านไปกิน พรานหวินมีสีหน้าที่เคร่งขรึมลง เขานึกเป็นกังวลถึงความปลอดภัยของคณะเดินทาง
ลุงจ่อละบือเล่าว่า ป่าเขตนี้ไม่เคยมีเสือมาเป็นสิบปีแล้ว ไอ้ตัวที่เข้ามาก็ไม่รู้มันมาจากไหน แต่ถ้าขืนปล่อยเอาไว้มันคงเป็นอันตรายสำหรับชาวบ้าน ที่จะต้องต้อนวัวควายไปเลี้ยงในแหล่ง หรือชาวบ้านที่ออกไปหาของป่า
พรานหวินฟังแล้วจึงนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนหันมาหารือกับเจษฎา ในที่สุดก็สรุปกันว่า จะอยู่ช่วยชาวบ้านทางนี้เสียก่อน แลกกับการที่ชาวบ้านจะช่วยเป็นหูเป็นตาช่วยหาข่าวอรวีให้อีกทาง คืนพรุ่งนี้จะทำการนั่งห้างกัน เพื่อรอดักยิงเจ้าเสือร้าย โดยจะใช้ซากวัวควายที่ตายแล้วเป็นเหยื่อล่อ เมื่อได้ข้อตกลงกันแล้ว ในคืนนั้น ทุกคนจึงพากันหลับนอนพักผ่อน เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับภารกิจล่าสัตว์ร้ายในวันรุ่งขึ้น
พอรุ่งเช้า ยังไม่ทันที่กลุ่มของพรานหวินจะออกเดินทางเข้าไปในโป่งดิน เพื่อไปขัดห้างส่องเสือกันที่นั่น ปืนทุกกระบอกถูกบรรจุกระสุนเตรียมไว้พร้อม สำหรับยิงเสือร้ายที่มีกันถึงสองตัว ก็ได้มีผู้ชายคนหนึ่งวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาแจ้งแก่ลุงจ่อละบือว่า ตัวเองได้เอาควายไปเลี้ยงที่แหล่ง และได้ไปเจอกับศพของหญิงสาวในหมู่บ้านคนหนึ่ง ชื่อเกอะซอ ลักษณะของศพน่าจะถูกเสือกัดตาย ทุกคนพากันตกใจ นึกไม่ถึงจะเกิดเหตุร้ายขึ้นเสียก่อน รีบไปดูในสถานที่เกิดเหตุ
คนตายเป็นหญิงสาววัยรุ่น เนื้อตัวถูกเสือกัดกินจนฉีกขาดแหว่งวิ่นไปแถบหนึ่ง ดวงตาเบิกโพลง บ่งบอกก่อนตายจะต้องมีอาการตื่นกลัวจนถึงขีดสุด ศพถูกนำมาทำพิธีตามประเพณี ตอกย้ำถึงความเป็นตัวอันตรายของเสือร้าย พรานหวินจึงนึกหนักใจหากจะเดินทางกันต่อ
หลังเข้าไปขัดห้างเพื่อรอส่องเสืออยู่ที่โป่งดิน ซึ่งเป็นแหล่งชุมนุมของสัตว์สารพัดชนิด ที่เสือโคร่งมักจะมาดักซุ่มล่าเหยื่อ นั่งห้างจนเวลาใกล้ค่ำ บรรยากาศรอบตัวเริ่มมืดลง เสียงแมลงกลางคืนกรีดปีกดังระงม ทั้งสี่คนบนห้างต่างพากันนั่งนิ่งเงียบ สัมผัสถึงความไม่ปกติของป่า พลันก็มีลมพัดมาวูบหนึ่ง สายตาอันฉับไวของพรานหวินสังเกตเห็นมีคนมายืนอยู่แถวโป่งดิน แล้วเดินหายเข้าหลังพุ่มไม้ไป คล้ายจะเป็นผู้หญิง เขาจึงรีบฉายไฟส่องดู กลับไม่เห็นมีใครอยู่แถวนั้นเลย
พรานหวิน : “ผีโป่ง”
เจษฏา : “พี่หวินว่าอะไรนะครับ”
พรานหวิน : “ผีโป่งน่ะครับ มันชอบออกมาหลอกให้นายพรานเข้าใจผิด บดบังสายตาคนที่มาด้วยกัน ให้มองเห็นว่าเป็นสัตว์ ที่มีข่าวนายพรานยิงกันตายในป่าก็เพราะถูกผีพวกนี้มันลวงตาเอานี่แหละครับ เมื่อกี้ดูเหมือนมันจะแปลงตัวเป็นคนมา...เอ้า! พวกเอ็งทุกคนอย่าลงจากห้างเป็นอันขาดนะ จนกว่าจะสว่าง”
นายพรานตอบเจษฏา แล้วเลยหันไปบอกลูกน้องอีกสองคนให้ระวังตัว
“มันจะขึ้นมาบนนี้ได้ไหมครับ” เจษฏาถามขึ้นด้วยความวิตก
“ปกติผีโป่งธรรมดามันขึ้นมาไม่ได้หรอกคุณ เพราะเป็นแค่วิญญาณสัตว์ที่ตายไปแล้วจากฝีมือของนายพราน นอกจากเจ้าสัตว์ตัวนั้นมันก็ดันไปทำร้ายคนให้ถึงตาย แล้ววิญญาณดวงนั้นมาเข้าสิงในตัวของมันอีกที ส่วนใหญ่มันจะหลอกล่อให้นายพรานลงจากห้างมามากกว่า แต่ผมรู้สึกคุ้นหน้าผู้หญิงคนที่เห็นเมื่อกี้มาก”
“เกอะซอครับพี่หวิน” ป๋องสอดขึ้นมา ทำเอาทุกคนชะงัก
“ผมก็เห็นครับ ผมจำหน้าได้ เป็นผู้หญิงคนที่โดนเสือกัดตายเมื่อเช้านี้”
เอกสนับสนุนอีกเสียง เขาเคยได้ยินเรื่องเสือกัดคนตาย แล้ววิญญาณคนตายมาเข้าสิงในตัวเสือ ทำให้เสือตัวนั้นกลายเป็นเสือสมิง วิญญาณของผู้หญิงชื่อเกอะซอมาปรากฏตัวให้พวกตนเห็น อาจหมายถึงแบบนั้นก็ได้
“อืม...พี่จำเกอะซอได้แล้ว เจ้าเสือสองตัวที่เข้ามาอาละวาดในหมู่บ้านนี้ มันอาจเป็นตัวที่กัดเธอตาย เสือลำบากมันมักจะวิ่งล่าเหยื่อไม่ค่อยทัน มันจึงหันมากินคนหรือสัตว์เลี้ยงในหมู่บ้านแทน ถ้าวิญญาณของเกอะชอมาที่นี่ บางทีเจ้าเสือตัวนั้นมันอาจจะมากินเหยื่อล่อคืนนี้ก็เป็นไปได้”
ขณะกำลังพรานหวินกระซิบกระซาบคุยกับลูกน้องอยู่ หูของทุกคนก็ได้ยินเสียงร้องของเสือดังขึ้น เสียงของมันอยู่ห่างออกไปทางทิศใต้ พรานหวินรีบยกนิ้วชี้แตะริมฝีปาก ส่งสัญญาณให้อยู่กันเงียบ ๆ
อึดใจเดียวก็ปรากฏร่างของเสือลายพาดกลอนตัวใหญ่ ก้าวเข้ามาหาเหยื่อที่ถูกเอามาวางล่อไว้ใต้ต้นไม้ช้า ๆ โดยมีสายตาของคนบนห้างจับจ้องมองดูแทบไม่กะพริบ แสงจันทร์ส่องจับร่างของมันที่เดินเข้ามาดมซากวัว พรานหวินเห็นขาหลังข้างขวาของมันมีปัญหา มันจึงมีท่วงท่าการเดินที่ผิดปกติ ปืนลูกซองแฝดในมือถูกยกขึ้นประทับบ่า
ส่วนเจษฎานั้นใจเต้นถี่แรง เป็นครั้งแรกที่เขาจะได้เห็นการล่าเสือตัวเป็น ๆ รีบกระชับปืนไรเฟิลของตัวเองเหมือนกัน
และทันทีที่มันก้มลงกัดซากวัวกินอย่างตะกรุมตระกราม พรานหวินก็ระเบิดกระสุนเข้าใส่มัน
ปั้ง!
ติดตามดูภาพสวยสมจริง และเรื่องราวที่รีไร้ท์ใหม่ได้ที่ลิ้งค์นี้ค่ะ
https://www.youtube.com/watch?v=tMI8ZEi29XY&pp=ygUYZ2hvc3RsYW5k4LmB4LiU4LiZ4Lic4Li1