[รีวิว] Suzume no Tojimari การผนึกประตูของซุซุเมะ - ปิดเพื่อเปิดสู่การตามหาสิ่งสำคัญและก้าวผ่านบาดแผลในอดีต

เรียกว่าน่าจะเป็นผลงานที่ใครหลายคนเฝ้ารอที่ได้รับชมสำหรับ Suzume no Tojimari หรือในชื่อไทย “การผนึกประตูของซุซุเมะ” ผลงานเรื่องล่าสุดของผู้กำกับ ชินไค มาโคโตะ (Shinkai Makato) เจ้าของผลงานระดับมาสเตอร์พีชอย่าง Your Name “หลับตาฝัน ถึงชื่อเธอ” ที่ประสบความสำเร็จในระดับถล่มทลาย และหลังจากเข้าฉายในบ้านเราก็ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เพราะหลังจากนั้นก็เริ่มมีภาพยนตร์อนิเมชั่นญี่ปุ่นตบเท้าเข้ามาฉายในบ้านเรามากขึ้นเรื่อยๆ เป็นหนึ่งในร่องรอยความสำเร็จที่ยังคงปรากฏให้เห็นอย่างเด่นชัดจวบจนปัจจุบัน

จุดเด่นในงานของผู้กำกับ ชินไค มาโคโตะ ที่ทำให้ผลงานของเขาน่าจับตามองและประสบความสำเร็จมาโดยตลอด นั่นคือ การจับห้วงอารมณ์ที่ลึกซึ้งของความเหงา ความเศร้า การโหยหาบางสิ่ง มาถ่ายทอดได้อย่างมีชั้นเชิง ซึ่งปรากฏให้เห็นมาตั้งแต่งานชิ้นแรกๆ ของเขาแล้วอย่าง Other Worlds (1999)  อนิเมชั่นขนาดสั้นความยาวเพียง 1.30 นาที ที่แม้ไม่ได้มีเส้นเรื่องที่ชัดเจนนัก แต่ก็สามารถถ่ายทอดอารมณ์ของความเหงาเปล่าเปลี่ยวของคู่รักคู่หนึ่งท่ามกลางเมืองหลวงได้อย่างน่าประหลาดใจ

จนเมื่อตัวของชินไค มาโคโตะ ได้สร้างชื่ออย่างจริงๆ จังๆ จากอนิเมชั่นโรแมนติกไซไฟ เรื่อง Voices of a Distant Star ในปี 2002 ตัวเขาก็เริ่มเป็นที่รู้จักและได้ผลิตผลงานเป็นอนิเมชั่นขนาดยาวมากขึ้นเรื่อยๆ จึงนำมาสู่อีกเอกลักษณ์หนึ่งในงานของเขา ในเรื่องของการถ่ายทอดฉากหลังที่งดงามราวกับภาพฝัน รายละเอียดของสิ่งของและสถานที่ที่ถูกพิถีพิถันเป็นพิเศษ เห็นได้ชัดจากอนิเมชั่นเรื่อง 5 Centimeters per Second (2007) ที่มีงานภาพอันงดงามจับใจล้ำหน้าไปกว่าอนิเมชั่นในยุคเดียวกันอย่างเห็นได้ชัด และเป็นมาตรฐานการทำงานมาจนถึงงานชิ้นล่าสุดของเขา

และดูเหมือนตัวของมาโคโตะก็อยากทำอะไรที่แตกต่างออกไปจากงานสองเรื่องล่าสุดของเขา แม้งานด้านภาพที่งดงามจะยังคงเป็นเอกลักษณ์ของเรื่อง แต่ในส่วนของเนื้อหานั้น Suzume no Tojimari มีการลดระดับความสัมพันธ์ของความรักหนุ่มสาวกลายเป็นคู่หูร่วมเดินทางและออกผจญภัย ซึ่งมาโคโตะเองก็เคยมีงานทำนองนี้มาแล้วอย่าง Children Who Chase Lost Voices (2011) นั่นจึงทำให้ใน Suzume no Tojimari ไม่มีช่วงเวลาเรียกอารมณ์หรือน้ำตาแบบที่เราได้สัมผัสจากงานก่อนหน้า หรืออาจเรียกอีกอย่างว่า Suzume no Tojimari ไม่ใช่ “หนังรัก” เคล้าอารมณ์เศร้าในแบบที่ผ่านๆ มา

การหยิบเอาเหตุการณ์ภัยพิบัติใหญ่ของญี่ปุ่นในปี 2011 ที่สร้างความเสียหายให้กับชีวิตและทรัพย์สินอย่างมหาศาล กลายเป็นบาดแผลให้กับชาวญี่ปุ่นเรื่อยมา ก็นับได้ว่าภาพยนตร์อนิเมชั่นเรื่องนี้เป็นสารจากมาโคโตะต่อผู้คน(โดยเฉพาะคนญี่ปุ่น) ที่เคยสูญเสียเหล่านั้นให้กลับมาลุกยืนได้อีกครั้ง โดยหยิบการเล่าเรื่องในรูปแบบของ Road Trip ที่ทำให้ผู้ชมได้ตระเวนไปผนึกประตูทั่วญี่ปุ่นด้วยกันกับสุซุเมะและโซตะในร่างเก้าอี้ 3 ขา ผ่านการเดินทางโดยยานพาหนะรูปแบบต่างๆ ซึ่งในแง่ที่ดี คือ การได้โชว์ทัศนียภาพที่งดงามตามแบบถนัดของมาโคโตะ และเพื่อขับเน้นสถานที่แห่งฝันร้ายเหล่านั้นว่าร่องรอยของความสูญเสียจะผลักดันให้ผู้คนไปข้างหน้าได้อย่างไร ซึ่งน่าจะเป็นส่วนที่ผู้มีชะตากรรมร่วมกันเท่านั้นจึงจะเข้าใจได้อย่างลึกซึ้งจริงๆ


แต่โดยภาพรวมแล้ว Suzume no Tojimari ยังคงไม่สามารถรีดเค้นศักยภาพออกมาในแบบที่เข้ามานั่งในใจเรา แม้จะมีองค์ประกอบที่ดีแต่การเล่าเรื่องยังขาดความตื่นเต้นไปพอสมควร และหากเทียบกับงานก่อนหน้าที่อุปสรรคของตัวละครมีพลังมากพอให้พวกเขาอุทิศชีวิตเพื่อต่อสู้นำกลับคืนมา (หลักๆก็ คือ คนรัก) แต่อุปสรรคของสุซุเมะยังไม่สามารถทำให้เราเชื่อได้พอในจุดนี้ (แม้ตัวหนังจะบอกเหตุผลไปแล้วก็ตาม) และจุดที่น่าเสียดาย คือในส่วนของความขัดแย้งระหว่างสุซุเมะกับ “ทามาคิ” น้าสาว ในเรื่องที่เธอแอบหนีออกมาโดยไม่บอกกล่าว (เธอยังไม่บรรลุนิติภาวะ) ทำให้ทามาคิต้องออกตามหา และขณะที่สุซุเมะยังคิดถึงแม่อยู่ตลอดเวลา รวมถึงการกระทำตามอำเภอใจต่างๆ นานา แต่กลับมองข้ามคนที่เลี้ยงตัวเองมากกว่าแม่ของตัวเองอย่างน้าสาวคนนี้ไป จึงเป็นสิ่งที่มีน้ำหนักมากพอจะสร้างมิติให้ตัวเรื่องได้เลย น่าเสียดายที่ประเด็นนี้กลับถูกตัดจบอย่างง่ายดาย

อันที่จริงก่อนหน้านี้เคยมีอนิเมชั่นเรื่อง Misaki no Mayoiga (2021) ที่หยิบเอาเหตุการณ์ภัยพิบัติในปี 2011 มาเล่าในรูปแบบที่แทบจะเหมือนกันเลยจริงๆ (ติดแต่ว่าไม่เป็น Road Trip) ทั้งความสูญเสียที่เกิดขึ้น การตีความภัยพิบัติจากธรรมชาติเป็นเรื่องราวแฟนตาซีที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อเรื่องเทพและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และการก้าวไปข้างหน้าโดยมีบาดแผลจากภัยพิบัติเป็นเครื่องเตือนใจ แถมเรื่องนี้ยังดูมีกลิ่นอายของความเศร้าและความสูญเสียมากกว่าด้วยซ้ำ

ส่วนเรื่องที่อยากติจริงๆ เห็นทีจะเป็นเรื่องอนิเมชั่นของตัวละคร (ไม่รู้ว่าเป็นเพราะดูโรง IMAX รึเปล่า) แต่สังเกตเห็นได้ชัดๆ เลยว่า ภาพระยะประมาณ Medium-shot ถึง Long-shot ขึ้นไป (เห็นตัวละครเกือบเต็มถึงเต็มตัว) รายละเอียดการลงสีและลายเส้นของตัวละคร โดยเฉพาะส่วนลำตัวรวมถึงใบหน้า นั้นดูไม่สวย ไม่ละเอียดเอาซะเลย ยิ่งพอไปเทียบกับฉากหลังที่สวยสุดๆ ความต่างก็ยิ่งเห็นได้ชัด หากเทียบกับอนิเมชั่นเรื่อง The Tunnel to Summer, the Exit of Goodbyes ของสตูดิโอ CLAP ที่เข้าฉายก่อนหน้านี้ไม่นาน การวาดตัวละคร การลงสี และความคมชัดของเส้น ยังทำได้ดีกว่าด้วยซ้ำ หรือถ้าเทียบกับงานอย่าง Kimetsu no Yaiba ก็ต้องบอกว่ารายหลังนี้เราแทบไม่เห็นข้อผิดพลาดเลย แม้จะในระดับฉากแอคชั่นที่รวดเร็วก็แทบจะไม่เห็นตัวละครหน้าเบี้ยวหรือมีแอคชั่นลวกๆ ให้เห็น ซึ่งเรื่องลายเส้นตัวละครนี้ก็นับว่าเป็นปัญหาของผู้กำกับมาโคโตะมาตั้งแต่เมื่อก่อนแล้ว

เรื่องของเพลงก็เช่นกัน ตามปกติเพลงจะเป็นจุดขายสำคัญไม่แพ้ตัวภาพยนตร์เลย แม้จะได้วงคู่บุญอย่าง Radwimps มาทำงานด้วยเช่นเดิม แต่ก็ต้องยอมรับว่ากระทั่งเพลงหลักอย่าง “Suzume” เองก็ยังขาดความดึงดูดอะไรบางอย่างให้ต้องฟัง ไม่เหมือนกับเพลงจาก Your Name และ Weathering with You ที่จนถึงวันนี้ก็ยังวนกลับไปฟังได้ไม่รู้เบื่อ

สรุป Suzume no Tojimari ก็ยังเป็นงานที่มีมาตรฐานในแบบของผู้กำกับชินไค มาโคโตะ อยู่ดี บาดแผล ความทรงจำ และการเดินทางเพื่อก้าวผ่านและเติบโตไปพร้อมๆ กับการอุทิศถึงเหตุการณ์ในอดีตเหล่านั้น ที่ถูกนำมาเล่าในแนวทางแฟนตาซี ผจญภัย และไม่เศร้าหรือหม่นหมองจนเกินไป ก็นับว่าเป็นงานที่ควรค่าแก่การรับชม ซึ่งอาจจะเป็นประตูบานแรกสำหรับใครที่ยังไม่รู้จักกับผลงานของผู้กำกับยอดฝีมือคนนี้ ให้เข้ามาติดตามผลงาน แต่สำหรับใครที่รอผลงานที่สามารถตราตรึงใจได้เท่ากับหรือมากกว่า Your Name ก็อาจจะต้องรอต่อไป

ฝากเพจด้วยครับ Story Decoder
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่