น้องชายจะลาออกจากงานรัฐวิสาหกิจ ไปค้าขายกับพ่อตา มันจะดีจริงหรอครับ ?

- ทำงานรัฐวิสาหกิจได้ 4 ปี ตอนนี้อายุ 28 ปี (แม่ของผมก็ทำที่เดียวกันกับน้องใกล้จะเกษียณอายุแล้ว)
- ปัดแอพหาคู่สีชมพูช่วงประมาณเดือนกุมภาพันธ์ 2565 ปีที่แล้ว เจอผู้หญิง 1 คน เป็นคนกาฬสินธุ์ อายุ 23-24 ปี (ไม่แน่จัยเรื่องอายุ) ซึ่งผู้หญิงอยู่กาฬสินธุ์ น้องชายผมอยู่กรุงเทพฯ
- น้องชายผมก็นั่งเครื่อง นั่งรถไฟ ขับรถไป ไปหาน้องผู้หญิงคนนี้ที่กาฬสินธุ์ในช่วงแรกๆที่รู้จักกัน (กุมภาพันธ์-เมษายน 2565)
- ช่วงเมษายน 2565 น้องผู้หญิงคนนี้มาสมัครงานที่กรุงเทพฯ และย้ายมาอยู่ด้วยกันที่คอนโดแห่งหนึ่งช่วงเดือนพฤษภาคม 2565
พออยู่ๆไป พ่อของฝ่ายหญิงก็เริ่มถามถคงเรื่องของการแต่งงาน หรือการที่มาอยู่ก่อนแต่ง เพราะผู้หญิงเป็นฝ่ายเสียหาย ว่าจะเอายังไง
- ธันวาคม 2565 แม่ของผมได้ตัดสินใจนั่งรถไปกาฬสินธุ์เพื่อไปคุยกับพ่อของฝ่ายหญิง นั่งกันไป 3 คนนะครับ มีน้องชาย, แฟนน้องผม และแม่ของผม โดยแม่ของผมได้ยื่นข้อเสนอไปว่า สินสอดที่มีก็คือ คอนโด ที่แม่อาศัยอยู่ แม่ยกให้เลย มีมูลค่าประมาณ 1,000,000 ล้านบาท แต่พ่อทางฝ่ายหญิงไม่เอา ขอเป็นเงินสด 200,000 แสนบาท และเงินอีก 40,000 บาท เพื่อเป็นค่าอาหาร และค่าจัดเลี้ยง และมีข้อกำหนดให้ต้องแต่งงานภายในเดือนกุมภาพันธ์ หรือพฤษภาคม 2566 ที่ผ่านมา
- ช่วงมกราคม 2566 น้องชายก็ได้มาปรึกษาทั้งพ่อและแม่ ถึงการแต่งงานที่ทางนู้นยื่นคำขาดมา ซึ่งทั้งพ่อและแม่บอกกับน้องว่าไม่มีเงินให้ จะเอาเงินมาจากไหน แม่ก็บอกว่าแม่ก็มีแต่คอนโดนั่นแหละที่ให้ได้ พ่อก็บอกว่าไม่มี
- กลางเดือนมกราคม 2566 ผมได้คุยกับน้องว่า เอางี้ไหมกิ๊กลองคุยกับพ่อของฝ่ายหญิงดูว่า จะย้ายเข้ามาอยู่ที่บ้านเราที่กรุงเทพฯ ซึ่งจะได้ไม่ต้องเสียค่าเช่า เสียแค่ค่าไฟอย่างเดียว เดิมที่อยู่คอนโด เช่าอยู่ เดือนละ 5,000.-/เดือน ไหนจะค่าไฟที่แสนแพง แล้วหลังจากนี้ก็จะขอเก็บเงินไปก่อนเพื่อที่จะเตรียมที่จะจัดงานแต่ง จะได้มีเงินเยอะขึ้น
- มีนาคม 2566 น้องผมก็ได้ย้ายเข้ามาอยู่ที่บ้าน พ่อผมเห็นว่าช่วงแรกๆก็แอบสงสารน้องไม่ได้ ก็ได้ช่วยค่าอาหารประมาณ 5,000 บาท โดยไปซื้อทีครั้งละ 2-3 พันบาทพ่อผมก็จ่ายให้ จะได้ทำอาหารไปกินที่ทำงาน ไม่ต้องไปซื้อเขามันประหยัดดี ช่วงแรกๆที่ทั้ง 2 คนเข้าไปอยู่ก็โอเคมากๆ ทำกับข้าวให้พ่อผมทานในทุกวันไม่เคยขาด น้องผมต้องทำให้แฟนทุกอย่าง ซักผ้าเอย ล้างจาน ทำกับข้าว (แฟนน้องผมยิ้มเป็นง่อยหรือไงวะ)
- จนมาช่วงเมษายน 2566 ที่ผ่านมา ตอนนี้ไม่ทำอะไรแล้ว กลับบ้านดึกก็ไม่โทรบอกพ่อผม เช่นกลับบ้านกัน 3 ทุ่มทั้งคู่ พ่อผมก็รอกินข้าว ไม่มีโทรบอกว่าจะกลับดึก ให้กินก่อนเลย หรืออะไรก็ว่าไป กลายเป็นว่าตอนนี้น้องชายผมไม่เอาใครแล้ว พ่อและแม่กลายเป็นคนอื่นไปแล้ว โดยตัวผมเองขออย่างเดียวว่า เข้าไปอยู่บ้านแล้ว ช่วยดูแลพ่อของผมด้วย ไม่ให้เขาอด แต่ช่วงหลังมานี้ กับข้าวที่พ่อเคยได้กิน ก็ไม่เคยได้กิน จากที่ต้องทำให้พ่อผมกินในทุกวัน ก็เริ่มไม่ทำ พ่อผมก็กลับกลายเป็นต้องเริ่มซื้อเข้าไปให้เขากินทั้งคู่ ตอนนี้ตัวผมเองเครียดมากๆ ทุกคนเครียดมาก พ่อและแม่ก็เครียด แม่ผมร้องไห้เสียใจมาก จนถึงตอนนี้น้องชายผมมันยังไม่โทรไปบอกแม่ของผมเลย ว่าลาออกจากงานแล้ว จนแม่ผมไปได้ยินจากหูคนอื่นมา ว่าลูกชายจะลาออกแล้ว ไม่รู้เรื่องหรอ น้องชายผมจะออกไปทำร้านกับพ่อของฝ่ายหญิง โดยทำงานวันสุดท้ายเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2566 ที่ผ่านมา มีผลเลยคือสิ้นเดือนนี้

          พ่อของฝ่ายหญิงปัจจุบัน เท่าที่ผมทราบมาคร่าวๆ คือ เปิดร้านขายอาหารอีสาน อยู่ที่จังหวัดกาฬสินธุ์ ค่าเช่าที่เดือนละ 10,000.- บาท/เดือน เป็นหนี้ที่ไปเครดิตร้านอื่นๆไว้ประมาณ 1 แสนกว่าบาท โดยน้องผมไปช่วยในช่วงแรกเขาจะให้เงินประมาณ 15,000 บาท/เดือน ทำ 2 คน ก็น่าจะได้ 30,000 บาท/เดือน (ปัจจุบันทำรัฐวิสหกิจได้น้อยกว่า) โดยพ่อของฝ่ายหญิงมีลูกทั้งหมด 3 คน พี่ชายคนโตแต่งงานออกไปแล้ว พี่ชายคนรองทำงานอยู่ที่ร้านนี้ และแฟนน้องชายผม ซึ่งพ่อฝ่ายหญิงบอกว่า มาบริหารเลย พ่อยกร้านให้ พ่อจะวางมื้อแล้ว ไม่ทำต่อแล้ว แก่แล้ว โดยในช่วงแรกให้เป็นลูกมือไปก่อน ทำงานตั้งแต่เวลา 06.00 - 22.00 น.
       ซึ่งตัวผมเองได้พยายามพูดเปรียบเทียบเกี่ยวกับงานทั้ง 2 ให้เขาเห็นภาพทั้งค้าขาย และทำงานรัฐวิสาหกิจ ว่ามันมีความแตกต่างกันอย่างไร เหนื่อยมาก เหนื่อยน้อยต่างกันแค่ไหน ทำงานรัฐวิสาหกิจอาจจะหมดแพชชั่นไปบ้าง ก็ไปเที่ยวไปเติมไฟในการทำงาน ถ้าค้าขายกิ๊กคิดว่าไปได้ดีโอเค พี่ไม่ห้าม แต่ต้องมีรายรับให้ได้เยอะมากๆเลยนะ อย่าลืมเผื่อค่ารักษาพยาบาล พ่อแม่ ตัวเอง แฟน ลูก ค่าเทอมอีกต่างๆ นานา ที่ค้าขายจะเบิกไม่ได้ จะต้องใช้เงินที่ขายของไปจ่าย
- อาชีพ ค้าขายทำงาน 365 วัน ไม่มีวันหยุด ลาป่วยไม่ได้
- อาชีพ รัฐวิสาหกิจ มีวันหยุด หยุดแล้วได้เงิน มีเวลาไปเที่ยว ไปไหนมาไหน
       ซึ่ง ณ ตอนนี้ น้องผมไม่สนใจอะไรแล้ว จะลาออกแล้วไปอยู่นู้นอย่างเดียว ทุกคนในบ้านยื้อ ญาตพี่น้องยื้อ ไม่อยากให้ลาออก เพราะงานที่ทำมันก็ดีอยู่แล้ว คุยกัน 3 คน ผมน้องและพ่อ ก็แล้ว บอกก็แล้ว น้องชายก็ยืนยันคำเดิมว่างานที่ทำอยู่ไม่ชอบ ชอบทำอาหาร ตัดสินใจเองได้ โตแล้ว อยากให้พ่อและแม่เชื่อใจตัวเขาบ้าง ว่าเขาไปตรงนั้น มันจะต้องดี อยากได้กำลังใจ น้องผมพูดแต่แบบนี้ ไม่ฟังอะไรแล้ว แล้วก็พูดว่า ซักวันตัวเขาก็ต้องมีครอบครัว พ่อกับแม่ก็ไม่ได้อยู่กับเขาตลอด เขาก็ต้องแต่งออกไปใช้ชีวิต ต่อให้ไปค้าขาย ไม่มีกิน ขายไม่ได้ ก็ขอแค่เขาได้อยู่กับแฟนเขา
       ซึ่งส่วนตัวผมค่อนข้าง อคติ กับแฟนของน้องชายผมมากๆ รู้สึกว่าตั้งแต่น้องรู้จักกับแฟนเขาคนนี้ หลายๆสิ่ง หลายๆอย่าง ในครอบครัวก็เริ่มเปลี่ยนไป จากหน้ามือ เป็นหลังตี... ผมควรจะบอกพ่อและแม่ยังไงดีครับ ให้เลิกเครียด เลิกคิดมาก ทุกวันนี้แม่ผมโทรมาร้องไห้กับผมทุกวัน พ่อผมเองก็โทรหาผมแทบทุกวัน ทุกเวลา แต่ตัวผมเอง มองว่ายังไงมันก็จะลาออกไปอยู่แล้ว อย่าไปยื้อมันเลย ตัวพ่อผมเอง แกเหมือนดูมีความหวัง ทุกคนเตือนด้วยความหวังดี แต่น้องผมเหมือนโยนทิ้งความหวังดีทั้งหมด
1. จะไปค้าขายกับพ่อตา ซึ่งเป็นร้านของพ่อตา มันจะดีจริงหรอครับ ?
2. แล้วเขาบอกจะให้ 15,000/เดือน เขาจะให้จริงหรอครับ ?
3. เขาบอกว่า มาบริหารเลย พ่อจะวางมือ เขาจะวางมือจริงหรอครับ ในเมื่อเขายังมีลูกคนรองอยู่ ?
4. น้องผมจะไม่ไปเป็นทาสเขาใช่ไหมครับ ?

ปล. ตกหล่นอะไรตรงไหนไปขออภัยด้วยนะครับ
ตอนนี้ที่บ้านเครียดมากๆ ยื้อมันคงไม่ได้แล้ว คงมาถามความเห็นพี่ๆในนี้ เผื่อจะทำให้สบายใจขึ้นหน่ะครับ ต่อยมันได้ คงต่อยมันไปแล้ว ถ้าติดที่ว่าไม่ใช่น้องชาย เหมือนมันหลังจนเสียสติไปหมดแล้ว
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 11
เคยเห็น 2 กรณี
1. มีญาติอายุมาก มีธุรกิจ  ดีเลย แต่งานหนัก  แต่มีลูกค้าแน่   เขาจะยกให้หลานคนนึงที่ทำงานอยู่กรุงเทพเงินเดือนแสน  แต่ไปทำรับรองได้เกินแน่  หลานคนนี้ไปฝึกทำอยู่ช่วงนึง  ลางานไป  เก็บวันลาแล้วลาไป 2 อาทิตย์     กลับมาบอกไม่เอาอ่ะ  ทำงานบริษัทเงินเดือนแสนพอแล้ว   อันนั้นได้หลายแสนก็จริง  แต่เหนื่อยจริงๆ  แถมลูกต้องย้ายไปอีก  อยู่ต่างจังหวัด  

2. อีกรายอันนี้พ่อตาแม่ยายจะยกร้านให้  ขายดีมาก   ลูกเขยลาออกไปทำ   ทำแต่ยังไม่ได้อะไรเลย  แต่เริ่มรู้สึกว่า   น้องๆของแฟนมองว่ามาเกาะ เพราะถ้าพ่อแม่เขาทำเงินมรดกหรืออื่นๆต้องแบ่งกันระหว่างพี่น้อง   แต่นี่มีเขยมาทำและจะมาเอา    สุดท้ายไม่เอากลับมาทำงานกรุงเทพหาเงินเองดีกว่าสบายใจ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 12
ก็ดีแล้วค่ะ ไปอยู่บ้านโน้น
1 เก็บเงินแต่งได้ไม่ได้เป็นเรื่องของน้องคุณและแฟนเค้า เก็บได้ก็ได้จัดงาน เก็บไม่ได้ก็อยู่กันไปแบบไม่ต้องจัดงาน
2 ก็ถือว่าเค้าได้ไปเริ่มต้นชีวิตคู่ที่เค้าเลือกแล้ว โดยที่ไม่ได้เดือดร้อนทางบ้าน
3 หน้าที่การงานที่ต้องเสียไป ก็อย่าไปเสียดายเลย ในเมื่อถ้าจะแต่งงานกันจริงๆ เมื่อฝ่ายหญิงหางานที่กรุงเทพไม่ได้ ก็จะอยู่ด้วยกันลำบาก มันก็ต้องเลือกอยู่ดีว่า แต่งงานแล้วจะอยู่ที่ไหน ซึ่งกรณีนี้น้องคุณเลือกแล้วว่าจะไปอยู่บ้านฝ่ายหญิง ซึ่งมีงานรองรับทั้งคู่ บ้านไม่ได้เช่า ข้าวไม่ได้ซื้อ ก็น่าจะอยู่รอด คิดซะว่า บ้านนู้นช่วยเลี้ยงน้องเราค่ะ
4 ส่วนพ่อกับแม่ที่บ้าน ก่อนหน้านี้น้องไม่มาอยู่บ้าน เคยอยู่กันยังไงก็อยู่กันต่อแบบเดิม ไม่ต้องช่วยค่าใช้จ่ายน้องด้วยค่ะ ดีเลยค่ะ

สิ่งที่ติดอยู่ในใจคุณแค่น้องเลือกในสิ่งที่ทางบ้านไม่เห็นด้วยเท่านั้นเองค่ะ คือ งานที่มั่นคง กับ ผู้หญิงอีกคนที่น้องพึ่งรู้จัก

แต่ในใจน้อง งานที่มั่นคง มันอาจจะไม่ใช่สิ่งที่ตอบโจทย์ในชีวิตตอนนี้ มันไม่พอเลี้ยงครอบครัว
น้องผู้หญิงมาอยู่ที่กรุงเทพ แล้วไม่ได้ทำงาน ก็ไม่ตอบโจทย์เหมือนกัน จะเอาเงินที่ไหนกินใช้ มาอยู่บ้านนี้ก็เหมือนรบกวน
ไปอยู่บ้านนู้น ก็อาจจะตอบโจทย์เค้าทั้งคู่ ได้อยู่ด้วยกัน แล้วมีงานทำ มีเงินใช้ค่ะ

ถ้าถามว่า คุณจะฝากน้องคุณกับผู้หญิงคนนี้ได้มั้ย ก็ต้องตอบว่า น้องชายคุณโตแล้วค่ะ เค้าต้องดูแลตัวเอง และเป็นหัวหน้าครอบครัวต่อไปในอนาคต ไม่ใช่เด็กที่คุณจะเอาไปฝากเนิสเซอรี่ ให้ใครต้องช่วยดูแลค่ะ ปล่อยให้เค้าได้ไปเผชิญกับสิ่งที่เค้าเลือกค่ะ ชีวิตเค้า เค้ามีสิทธิ์ปรึกษาพ่อ แม่และคุณ แต่ถ้าเค้าจะตัดสินใจในสิ่งที่ทุกคนไม่เห็นด้วย เค้าก็ต้องรับผลจากการตัดสินใจนั้นด้วยตัวเองค่ะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่