สวัสดีครับ เพื่อนๆนักเทรด TFEX CLUB ทุกๆคน วันนี้ จะมีข่าวอะไรที่น่าสนใจ เราไปติดตามกันเลยครับ
ดาวโจนส์ฟิวเจอร์ดีดขึ้น 75 จุดเช้านี้ จับตาผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน
สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (17 เม.ย. 66)--ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์ดีดตัวขึ้นในช่วงเช้าวันนี้ ขณะที่นักลงทุนจับตาการเปิดเผยผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงแบงก์ ออฟ อเมริกา, มอร์แกน สแตนลีย์ และเทสลา
ณ เวลา 07.12 น.ตามเวลาไทย ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์ปรับตัวขึ้น 75 จุด หรือ +0.22% แตะที่ 34,112 จุด
ส่วนเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (14 เม.ย.) ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวลง 143.22 จุด หรือ -0.42% ปิดที่ระดับ 33,886.47 จุด เนื่องจากตลาดคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% ในการประชุมเดือนพ.ค. บริษัทจดทะเบียนรายใหญ่หลายแห่งของสหรัฐมีกำหนดเปิดเผยผลประกอบการในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงชาร์ลส์ ชวาบ (Charles Schwab), โกลด์แมนแซคส์, มอร์แกน สแตนลีย์, แบงก์ ออฟ อเมริกา, เน็ตฟลิกซ์, พรอกเตอร์ แอนด์ แกมเบิล, เทสลา ตลอดจนธนาคารระดับภูมิภาคและบริษัทอุตสาหกรรม
Commodities Update น้ำมันดิบ NYMEX ปิดที่ US$82.52/barrel เพิ่มขึ้น US$0.36/barrel หรือ +0.44%
ก๊าซธรรมชาติ NYMEX ปิดที่ US$2.114/MMBtu เพิ่มขึ้น US$0.107/MMBtu หรือ +5.33%
ทองคำ COMEX ปิดที่ US$2015.80/ounce ลดลง US$39.50 หรือ -1.92%
ถ่านหินล่วงหน้า Newcastle ปิดที่ US$188.00/ตัน ลดลง US$2.75 หรือ -1.44%
ดัชนีค่าระวางเรือ BDI ปิดที่ 1435 จุด ลดลง 28 จุด หรือ -1.91% #YuantaResearch
ครบทุกแบงก์! ส่องดอกเบี้ยเงินฝาก 2566 ออมทรัพย์-เงินฝากประจำทุกธนาคาร
ธนาคารพาณิชย์ในเวลานี้ ได้ทยอยประกาศแจ้งปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้ ตามการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ธนาคารแห่งประเทศไทยล่าสุดอยู่ที่ 1.75% ต่อปี ส่งผลให้ปัจจุบัน ณ 16 เมษายน 2566 ดอกเบี้ยเงินฝากทั้งออมทรัพย์ และเงินฝากประจำ ของธนาคาร เริ่มปรับขึ้นแล้วมีอัตราน่าสนใจแค่ไหน เป็นอย่างไรบ้าง?
ธนาคารกรุงเทพ-ดอกเบี้ยเงินฝากประเภทออมทรัพย์ = 0.55% ต่อปี
-ดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 3 เดือน = 0.85% ต่อปี
-ดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 6 เดือน = 0.95% ต่อปี
-ดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 12 เดือน = 1.25% ต่อปี
-ดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 24 เดือน = 1.6% ต่อปี
ธนาคารกรุงไทย-ดอกเบี้ยเงินฝากประเภทออมทรัพย์ = 0.25% ต่อปี
-ดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 3 เดือน = 0.77% ต่อปี
-ดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 6 เดือน = 0.85% ต่อปี
-ดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 12 เดือน = 1.15% ต่อปี
-ดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 24 เดือน = 1.65% ต่อปี
ธนาคารกสิกรไทย-ดอกเบี้ยเงินฝากประเภทออมทรัพย์ = 0.25% ต่อปี
-ดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 3 เดือน = 0.67-0.72% ต่อปี
-ดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 6 เดือน = 0.75-0.8% ต่อปี
-ดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 12 เดือน = 1.1-1.15% ต่อปี
-ดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 24 เดือน = 1.35-1.45% ต่อปี
ธนาคารไทยพาณิชย์-ดอกเบี้ยเงินฝากประเภทออมทรัพย์ = 0.25% ต่อปี
-ดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 3 เดือน = 0.82% ต่อปี
-ดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 6 เดือน = 0.95% ต่อปี
-ดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 12 เดือน = 1.35% ต่อปี
-ดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 24 เดือน = 1.75% ต่อปี
อ่านเพิ่มเติมที่ : ครบทุกแบงก์! ส่องดอกเบี้ยเงินฝาก 2566 ออมทรัพย์-เงินฝากประจำทุกธนาคาร (msn.com)
ค่าเงินบาท เปิดเช้านี้อ่อนค่า ตลาดให้น้ำหนักเฟดขึ้นดอกเบี้ย 0.25%
ฝ่ายธุรกิจตลาดเงินและธุรกรรมระหว่างประเทศ ทีเอ็มบีธนชาต (ttb) เปิดเผยว่าสัปดาห์ที่ผ่านมาเงินบาทเผชิญแรงขายช่วงแรก และแข็งค่าขึ้นกลางสัปดาห์ ก่อนเข้าสู่ช่วงวันหยุดยาวของตลาดในประเทศเนื่องในเทศกาลสงกรานต์
ค่าเงินดอลลาร์ผันผวนอ่อนค่าในคืนวันพฤหัส หลังดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) และดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ซึ่งเป็นข้อมูลเงินเฟ้อที่สหรัฐเปิดเผยในสัปดาห์นี้ ทำให้นักลงทุนมีความหวังว่าธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)อาจชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วขึ้น
อย่างไรก็ตาม ดอลลาร์กลับมาแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วในคืนวันศุกร์ หลังจากการประกาศตัวเลขดัชนีทางเศรษฐกิจต่างๆ โดยเฉพาะการที่เจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) แสดงความเห็นสนับสนุนการคุมเข้มนโยบายการเงิน
นักลงทุนกลับมาให้น้ำหนักมากขึ้นต่อคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมเดือน พ.ค. แม้มีการเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อต่ำกว่าคาด
สำหรับปัจจัยด้าน Fund flow นักลงทุนต่างชาติซื้อหุ้นสุทธิเมื่อวันพุธก่อนวันหยุดยาวที่
502 ล้านบาท ขณะที่มียอดขายพันธบัตรสุทธิ 1010 ล้านบาท ตามลำดับ.
แนะนำผู้นำเข้าควรซื้อเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า เพื่อปิดความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่าเงินบาทเคลื่อนไหวอ่อนค่าลงต่อเนื่อง ในช่วงคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา ตามการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์และโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัวลง หลังราคาทองคำย่อตัวลงใกล้โซนแนวรับแถว 2,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์
สัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดการเงินเคลื่อนไหวผันผวนไปตามมุมมองของนักลงทุนต่อแนวโน้มการปรับดอกเบี้ยนโยบายของเฟด โดยล่าสุดผู้เล่นในตลาดเริ่มมองว่า เฟดจะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อได้อีก 1 ครั้ง และอาจคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 5.25% ได้นานกว่าคาด
แม้ว่ารายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจมีไม่มากนักในสัปดาห์นี้ แต่ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ผ่านรายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการบริการ (S&P Manufacturing & Services PMIs) โดยตลาดประเมินว่า ผลกระทบจากปัญหาสภาพคล่องของระบบธนาคารในช่วงที่ผ่านมา รวมถึงผลกระทบจากการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องของเฟด อาจกดดันให้ภาคการผลิตยังคงหดตัว
โดยดูจากดัชนี PMI ภาคการผลิต เดือนเมษายน ที่อาจลดลงสู่ระดับ 49 จุด (ดัชนีต่ำกว่า 50 จุด หมายถึง ภาวะหดตัว)
ทั้งนี้ แม้ภาวะเงินเฟ้อสูงอาจกระทบต่อการใช้จ่ายของผู้คนในสหรัฐฯ แต่โดยรวมกิจกรรมทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในภาคการบริการจะยังคงได้รับแรงหนุนจากตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่แข็งแกร่งและตึงตัว ทำให้ดัชนี PMI ภาคการบริการอาจอยู่ที่ระดับ 51.5 จุด
นอกจากนี้ นักลงทุนรอรายงานภาวะเศรษฐกิจโดยบรรดาเฟดสาขาต่างๆ (Fed Beige Book) เพื่อประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ เช่นกัน รวมถึงความเห็นของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด เพื่อประเมินแนวโน้มนโยบายการเงินของเฟดในอนาคต และรอรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน
สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า อาจเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่า จากโฟลว์ธุรกรรมจ่ายเงินปันผลให้กับนักลงทุนต่างชาติกว่า 300 ล้านดอลลาร์ และโฟลว์ซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว ส่วน ฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติ อาจเริ่มกลับมาซื้อสุทธิหุ้นไทยมากขึ้นได้ หากตลาดกลับมาเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น ทำให้ค่าเงินบาทจะไม่ได้อ่อนค่าไปมากนัก จนทะลุโซนแนวต้านแถว 34.50-34.60 บาทต่อดอลลาร์
Credit by : ค่าเงินบาท เปิดเช้านี้อ่อนค่า ตลาดให้น้ำหนักเฟดขึ้นดอกเบี้ย 0.25% (msn.com)
อัพเดทราคาหุ้น TFEX และทองคำ 17/4/2023
ณ เวลา 07.12 น.ตามเวลาไทย ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์ปรับตัวขึ้น 75 จุด หรือ +0.22% แตะที่ 34,112 จุด
ส่วนเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (14 เม.ย.) ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวลง 143.22 จุด หรือ -0.42% ปิดที่ระดับ 33,886.47 จุด เนื่องจากตลาดคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% ในการประชุมเดือนพ.ค. บริษัทจดทะเบียนรายใหญ่หลายแห่งของสหรัฐมีกำหนดเปิดเผยผลประกอบการในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงชาร์ลส์ ชวาบ (Charles Schwab), โกลด์แมนแซคส์, มอร์แกน สแตนลีย์, แบงก์ ออฟ อเมริกา, เน็ตฟลิกซ์, พรอกเตอร์ แอนด์ แกมเบิล, เทสลา ตลอดจนธนาคารระดับภูมิภาคและบริษัทอุตสาหกรรม
นักลงทุนกลับมาให้น้ำหนักมากขึ้นต่อคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมเดือน พ.ค. แม้มีการเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อต่ำกว่าคาด
สำหรับปัจจัยด้าน Fund flow นักลงทุนต่างชาติซื้อหุ้นสุทธิเมื่อวันพุธก่อนวันหยุดยาวที่
502 ล้านบาท ขณะที่มียอดขายพันธบัตรสุทธิ 1010 ล้านบาท ตามลำดับ.
แนะนำผู้นำเข้าควรซื้อเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า เพื่อปิดความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่าเงินบาทเคลื่อนไหวอ่อนค่าลงต่อเนื่อง ในช่วงคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา ตามการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์และโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัวลง หลังราคาทองคำย่อตัวลงใกล้โซนแนวรับแถว 2,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์
แม้ว่ารายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจมีไม่มากนักในสัปดาห์นี้ แต่ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ผ่านรายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการบริการ (S&P Manufacturing & Services PMIs) โดยตลาดประเมินว่า ผลกระทบจากปัญหาสภาพคล่องของระบบธนาคารในช่วงที่ผ่านมา รวมถึงผลกระทบจากการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องของเฟด อาจกดดันให้ภาคการผลิตยังคงหดตัว
โดยดูจากดัชนี PMI ภาคการผลิต เดือนเมษายน ที่อาจลดลงสู่ระดับ 49 จุด (ดัชนีต่ำกว่า 50 จุด หมายถึง ภาวะหดตัว)
ทั้งนี้ แม้ภาวะเงินเฟ้อสูงอาจกระทบต่อการใช้จ่ายของผู้คนในสหรัฐฯ แต่โดยรวมกิจกรรมทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในภาคการบริการจะยังคงได้รับแรงหนุนจากตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่แข็งแกร่งและตึงตัว ทำให้ดัชนี PMI ภาคการบริการอาจอยู่ที่ระดับ 51.5 จุด
นอกจากนี้ นักลงทุนรอรายงานภาวะเศรษฐกิจโดยบรรดาเฟดสาขาต่างๆ (Fed Beige Book) เพื่อประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ เช่นกัน รวมถึงความเห็นของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด เพื่อประเมินแนวโน้มนโยบายการเงินของเฟดในอนาคต และรอรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน
สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า อาจเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่า จากโฟลว์ธุรกรรมจ่ายเงินปันผลให้กับนักลงทุนต่างชาติกว่า 300 ล้านดอลลาร์ และโฟลว์ซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว ส่วน ฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติ อาจเริ่มกลับมาซื้อสุทธิหุ้นไทยมากขึ้นได้ หากตลาดกลับมาเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น ทำให้ค่าเงินบาทจะไม่ได้อ่อนค่าไปมากนัก จนทะลุโซนแนวต้านแถว 34.50-34.60 บาทต่อดอลลาร์