The Hunger คนหิว วากิวหาย - หนังก็ S.. หาย พอกัน

The Hunger
คนหิว วากิวหาย
เอ้ย คนหิว เกมกระหาย

( Spoil Alerts  )
× × × × × × × × × ×

หนังทำอาหารที่สะเปะสะปะ จนไม่รู้ว่าจะสื่อถึงอะไร
ยัด hidden agenda อย่างไม่มีชั้นเชิง และพยายามเอา signature ของหนังเรื่องอื่นเข้ามา แบบ Ctrl+C
โชคดีที่ได้ออกแบบเป็นนางแบก กับงานภาพที่เข้าขั้นเทพ
× × × × × × × × × ×

เป็นกระแสวูบวาบและโปรโมทมาพอสมควรก่อนฉายจริงสำหรับ Hunger คนหิว เกมกระหาย จากค่ายสตรีมมิ่งเจ้าดังอย่าง Netflix ดูจากเทรลเลอร์ให้บรรยากาศการแข่งขันหลังวงการอุตสาหกรรมอาหารอย่างดุเดือด โดยมีตัวละครหลัก เป็น home cooking ที่จะเข้าไปสู่เส้นทางของเชฟอย่างเต็มตัว
Great idea! ต้องยอมรับว่าไม่ค่อยเห็นภาพยนต์ไทยแนวทำอาหารมากนัก ถ้าเอาจริงจังต้องย้อนไปพริกแกง(2559) เลยเท่าที่จำได้ เรื่องนี้จึงเป็นอีกเรื่องที่น่าติดตาม
วันนี้ฤกษ์งามยามดีมีเวลานิดหน่อย พอหาเวลาดูได้ราวๆสองชั่วโมง เลยไม่พลาดที่จะเลือกชม Hunger (ด้วยความที่แอบชอบออกแบบมาตั้งแต่ เรื่องฉลาดเกมโกง)
คิดว่าเรื่องนี้น้องน่าจะได้ปล่อยของอะไรออกมาให้เราชมอีก



  Spoil  

ผิดหวัง..
ภาพยนต์เล่าเรื่องได้อย่างสะเปะสะปะและไม่ประติดประต่อ องก์ต่างๆของเรื่องมันไม่สอดคล้องกันโดยสิ้นเชิง ไม่รู้ว่าหนังจะพาเราไปสู่จุดไหน 
อยากจะสื่อสารอะไร จะเล่าอะไรเป็นสาระสำคัญ องก์แรกเปิดตัวมาพูดถึงออย(ออกแบบ) ที่เป็น Home cook ก่อนที่จะได้รับเชิญให้เข้าทีมของเชฟพอล
ก่อนที่องก์ที่สองจะไปเล่าเรื่องของออยและการเติบโตในฐานะเชฟของตัวเองภายใต้กลุ่มนายทุน มีเรื่องความสัมพันธ์ตัวละครมานิดนึง
และองก์สามไปสู่บทสรุปสุดท้าย ที่พาไปสู่จุดจบแบบละครคุณธรรมในหน้า feed Facebook ที่เห็นได้ทั่วไป
ในแต่ละองก์เหมือนอยากเล่าอะไรก็เล่า มันไม่ได้เชื่อมโยงกัน ตัวละครนึงอยากโผล่ตรงไหนก็ไปโผล่ อยู่ๆอยากจะยัดใครทำอะไร ตรงไหนก็ใส่เข้ามาแบบลอยๆและพล็อตโฮลอีกหลายจุด

ถ้าเรื่องพล็อตโฮลและรายละเอียดของเรื่องว่าแย่แล้ว การยัดเยียดตัวละคร
หรือสัญลักษณ์บางอย่างเข้ามาในเรื่องยิ่งทำให้องค์ประกอบมันวุ่นวายเข้าไปกันใหญ่
เข้าใจว่าผู้กำกับอยากให้ภาพยนต์มันมีมิติในการเสียดสีสังคม การเมือง แต่การทำหนังโดยใส่ agenda แบบยัดเยียดมาแบบนี้มันให้ความรู้สึกว่า ผกก. ไม่มีชั้นเชิงในการยัดตัวละคร/บทพูดเหล่านี้เข้ามาเท่าไร

ทั้งการใส่ตัวละครอาวุโส ผมขาว ดูแก่ๆใส่เสื้อผ้าไหมไทยสีเหลือง บอกว่าตัวละครนี้คือ 'ป๋าเปรมศักดิ์'
อันนี้คือมุกเกรดเดียวกับรายการบริษัทฮาฯ ที่จับเอาแจ๊ส ชวนชื่น มาแต่งตัวแล้วเปลี่ยนชื่อไปนิดนึงกันโดนฟ้องนั่นแหละ



หรือจะเล่นประเด็นเรื่องของการล่าสัตว์ป่าสงวน ของเปรมชัยก็ตาม แต่มันทื่อจนคนดูไม่ได้รู้สึกว่ามันจะเป็นเหตุเป็นผลกับตัวละครหรือเส้นเรื่องหลักอะไร
โดยเฉพาะเหตุการณ์ที่เกิดกับครอบครัว พ่อ แม่ ลูก ที่จนหนังจบก็ไม่ได้มีส่วนสัมพันธ์อะไรกับเส้นเรื่องหลักหนังยังพยายามใส่ตัวละครอายุน้อยร้อยล้าน รวยจากคริปโตแต่ต้องติดภาพว่าพวกนี้รวยแต่โง่ทำตัวสุรุ่ยสุร่าย ใช้จ่ายมือเติบเพราะรวย และอยากโชว์เทสดี
คือจริงๆองค์ประกอบเหล่านี้มันน่าสนใจ แต่มันต้องเลือกใส่มาอย่างถูกที่ถูกเวลา และต้อง'เลือกใส่' ให้มันสัมพันธ์กับเรื่อง การกวาดใส่มาทั้งหมดมันทำให้สเกลของหนังมันไม่นิ่ง ไม่รู้จะโฟกัสภาพใหญ่หรือเล็ก
ลองย้อนไปดูเรื่อง Parasite (2562) เป็นตัวอย่างได้ ที่หนังยัดการเมืองสเกลใหญ่มาอย่างแนบเนียน โดยที่แทบจะไม่หลุดสเกลระดับมาโคร(ครอบครัว)ของเรื่องหลักเลย

 ถ้ายังยีดเยียด Hidden Agenda มาไม่พอ ก็เอา Signature ของหนังเรื่องอื่นๆใส่มันลงไปเลยสิครับ!
ถ้าใครดูเรื่องนี้น่าจะคิดหมือนกันว่าหนังพยายามจะเล่นประเด็นความเหลื่อมล้ำอยู่พอตลอดเวลา โดยได้อิทธิพล เต็มๆมาจาก Parasite(2562)
โดย Signature ที่ชัดเจนมากๆคือคำพูดที่ว่า
"อาหารมันพิเศษมันถึงได้แพง หรือเพราะมันแพงมันถึงพิเศษ?"
ซึ่งไปตรงกับประโยคทองของ Parasite เล่นกับเรื่องความเหลื่อมล้ำตรงนี่ว่า
"ไม่ใช่รวยแต่นิสัยดี แต่นิสัยดีเพราะรวยต่างหาก"
หลายๆคนน่าจะยังจำได้ดี และเป็นที่พูดถึงเป็นอย่างมากในโลกอินเตอร์เน็ต



Hunger ยังตามมาด้วยกลิ่นอายของหนัง The Menu (2022) / Whisplash (2014) ที่เราจะเห็นบรรยากาศและ theme ของเชฟจะต้องมาแนวครึ้มๆ อบอวลไปด้วยความตึงเครียด ต้องฝึก เอาใหม่ ต้องฝึก เอาใหม่ หรือภาพนักชิมที่ขอให้ได้ชิมอาหารเชฟซักครั้งนึงเพื่อสถานะทางสังคมก็พอ
ที่ตลกคือหนังพรีเซ้นต์ความเป็นเชฟ ด้วยการที่ต้องใส่ชุดทำครัว ออกไปทำนู้นนี่ เข้าโรงพยาบาลฯลฯ มันยิ่งดูพยายามบอกเราตลอดเวลาว่าตัวละครนี้เป็นเชฟนะ เหมือนเวลาเราเห็นละครช่อง7 ที่ตัวละครหมอต้องใส่เสื้อกาว์น แม้เวลาออกไปกินข้าวนั่นแหละ



โดยรวมๆแล้วจากหลายๆเหตุผลข้างต้นรวมๆกัน ทำให้เรื่อง Hunger กลายเป็นอีกเรื่องที่ "ท่าดีทีเหลว" ไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ บทสนทนาที่ไม่เป็นธรรมชาติ ความสัมพันธ์ตัวละครที่ไม่ชัดเจน เส้นเรื่องแบบไร้ทิศทาง การยัดเยียดความเลวแบบ stereotypes ให้กับตัวละครตัวใดตัวนึง มันเลยยิ่งฉุดเรื่องลงเหวไปกันใหญ่
แต่สิ่งดีๆของเรื่องก็ยังมีน้องออกแบบ ที่เป็นนางแบก แบกเรื่องไว้ได้อย่างหมดจด การแสดงสีหน้าของออกแบบภายใต้ภาวะแรงกดดัน ยังคงเป็นเอกลักษณ์ที่ทำให้คนดูรู้สึกกดดันไปด้วยได้อย่างไม่ยาก
กับงานภาพที่ต้องบอกว่า "ขั้นเทพ" ในการถ่ายภาพอาหาร และการเตรียมได้อย่างงดงาม การเล่นกับเปลวไฟสมกับชื่อร้าน Flame ของเชฟออย ทำให้หนังเรื่องนี้ใน Part ของการทำอาหารดูน่าติดตามและมีมนต์สะกดเอามากๆ

สรุปสุดท้าย หนังเรื่องนี้ดีไหม.. ก็ต้องบอกว่าดี
แต่ยังดีกว่านี้ได้อีกเยอะ ถ้ามีเวลาซักสองชั่วโมงและไม่มีหนังเรื่องอื่นที่อยากดูมากกว่า ก็ถือว่าดูได้กับงานภาพที่ค่อนข้างสวยเลย
ผู้กำกับคุณมีวัตถุดิบในมือที่ดีแล้ว เพียงแต่บางครั้ง การทำอาหาร Fine dining ดีๆซักจาน เชฟต้องเลือกวัตถุดิบที่มันเข้ากันได้ ส่งเสริมกันและกัน ไม่ได้แย่งซีนหรือทำให้วัตถุดิบอื่นเสียรส
เชฟจะใส่ทุกอย่างที่คนอื่นบอกว่าดี ไปในอาหารจานเดียวกันไม่ได้!

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่