รู้สึกชีวิตติดกับดักความกตัญญู ไม่รู้ควรทำยังไง

ผมอายุ 37 ย่าง 38 มีแม่อายุ 58 กับน้องชายอายุ 23 ส่วนคุณพ่อเสียแล้ว
 
ชีวิตผมเหมือนติดกับดักความกตัญญู ไปไหนไม่ได้และรู้สึกเริ่มกระทบกับอนาคตตัวเอง
 
เนื่องจากคุณแม่ผมป่วยหนักมาสิบกว่าปี ด้วยโรค SLE  จนตอนนี้มีอาการโรคอ้วน และซึมเศร้า
และน้องชายที่แม้จะอายุ 23 แต่ก็ป่วยเป็นซึมเศร้า เรียนไม่จบ ม3 ไม่มีงานเป็นชิ้นเป็นอันรับจ้างทำก๊อกๆแก๊กๆไป แต่รายได้ไม่พอเลี้ยงดูตัวเอง
 
ตั้งแต่ที่คุณแม่ล้มป่วย ผมก็เป็นรายได้เดียวในบ้าน จากเงินเดือน ณ เวลานั้นแค่ 11,000 ผ่านมาสิบปี ทุกวันนี้เงินเดือน 75,000 + รายได้อื่นๆก็ร่วมแสนนิดๆ
 
แต่รายก็แค่พอใช้เดือนชนเดือน เพราะค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงปากท้อง 3 คน อยู่ที่ผมหมด นอกจากค่าบ้าน ค่ารถ ค่าน้ำค่าไฟ ยังให้แม่อีกเดือนละ 10,000 ให้น้องชายอีกต่างหาก 1500 ต่อเดือน ค่าจ้างแม่บ้านมาทำความสะอาดบ้านอีก 2 สัปดาห์ครั้ง  ตกเดือนละ 1,000  ค่าไฟ ค่าเนตอีกตกเดือนละ 10,000 กว่าๆ
 
แต่ปัญหาค่าใช้จ่ายไม่ใช่ประเด็นหลักเท่าไหร่ เพราะยังพอจะหมุนได้บ้าง แต่เรื่องที่หนักใจที่สุดคือเรื่องนิสัยของแม่กับน้องชาย
 
แม่เป็นคนที่เอาแต่ใจมาก อะไรไม่ได้ดั่งใจก็จะร้องไห้ตะโกนเสียงดังโวยวายประชดทำร้ายตัวเองเรียกร้องความสนใจ ชอบรำเลิกบุญคุณบอกว่าที่เรามีหน้าที่การงานได้ดีทุกวันนี้เพราะแม่ส่งเสียเล่าเรียน ไม่ยอมไปเจอหมอซึมเศร้า เสพติดความเป็นอภิสิทธิ์ชนเพราะเป็นคนป่วย ขนาดหมอ SLE บอกว่าโรคสงบแล้ว
เจ้าตัวก็ยังเทียวบอกคนอื่นว่าอาการแย่ อาการหนัก
ส่วนน้องชาย ก็ชอบทะเลาะกับแม่ เพราะแม่ชอบตะคอกเสียงดังใส่ตั้งแต่เด็กพอโตมาก็นิสัยเหมือนแม่มาก ทะเลาะกันด่าทอกันไปกันมา
และเพราะว่าน้องชายไม่ได้ทำงานเป็นหลัก ก็มีเวลาว่างมาออกกำลังกายบ้างชกมวยบ้าง แล้วพอร่างกายเริ่มเฟิร์มก็ชอบมีการมาพูดว่าจะต่อยจะทำร้ายผมบ้าง
ซึ่งผมก็พยายามไม่เก็บมาใส่ใจ แต่มันก็อดคิดไม่ได้ว่าทำไมเราต้องมาเลี้ยงดูคนที่บอกว่าจะทำร้ายเราให้ที่นอน ให้ข้าวกินให้เงินใช้ด้วย
 
แต่พอบอกแม่ว่าจะให้น้องไปอยู่ที่อื่น แม่ก็ไม่ยอมขู่จะฆ่าตัวตายถ้าให้น้องไปที่อื่น แต่อยู่ด้วยกันก็ทะเลาะกัน วันไหนให้น้องไปส่งแม่ไปโรงพยาบาล
มีอันต้องส่งข้อความมาตัดพ้อจะตาย จะไม่รักษาแล้ว จนบ่อยครั้งที่ผมต้องลางานกลับไปจัดการปัญหา
 
พอผมมีแฟน แรกๆแฟนก็ไม่อะไรมากเค้ารับสภาพครอบครัวได้ แต่พอได้รู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับผม แฟนผมก็เริ่มรับไม่ได้ที่แม่กับน้องชายค่อนข้างเห็นแก่ตัวมาก
(มีอีกหลายๆเรื่องหลายเหตุการณ์ที่เยอะเกินจนไม่สามารถเล่าได้)
 
ครั้นจะออกมาเอง (บ้านที่อยู่ตอนนี้เป็นบ้านผม) แม่ก็ร้องไห้หาว่าจะทิ้งเค้า ตัดพ้อว่ามีแฟนแล้วทำไมต้องทิ้งแม่  
(แม่ไม่เคยเลี่ยงตากับยาย ยายตายตั้งแต่แม่อายุ 15 ส่วนตาก็หายสาบสูญ โผ่ลมาอีกที20ปีให้หลัง แต่แม่ก็ไม่ได้ส่งเสียเลี้ยงดูอะไรตา)
 
จนตอนนี้ไม่รู้จะทำยังไง เครียดหนักใจ มีแต่ต้องรอให้แม่ตายแล้วไล่น้องชายออกบ้านถึงจะพ้นทุกข์
แต่ส่วนตัวไม่อยากให้เป็นแบบนั้น
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 6
ครั้งหนึ่ง เราก็เคยเป็นเหมือนกับคุณ ตั้งเเต่ที่เราเริ่มทำงาน เราส่งเสียทางบ้านมาตลอด ตัวเราเองเเทบจะไม่เคยได้ใช้อะไร ถ้าทำได้ร้อย เราให้ทางบ้านเเล้วเเปดสิบ เราเป็นคนประเภทที่ไม่สามารถทนเห็นครอบครัวลำบากได้ เราคิดว่าปัญหาของคนในครอบครัวคือปัญหาที่เราต้องเเก้ไข เราไม่สามารถเมินเฉยกับทุกข์ของคนในครอบครัวได้ เราจะรู้สึกผิด เเม่เราเมื่อก่อนก็เอาเรื่องอยู่เหมือนกับเเม่คุณนั่นเเหละ เเต่ตอนนี้อายุเเปดสิบกว่าเเล้ว พิษเริ่มเจือจาง มีบ้างนานๆครั้ง ที่พูดให้เจ็บช้ำ เเม่จะสอนให้เรารักน้อง ต้องดูเเลน้อง เมื่อก่อนเราก็บ้าจี้ทำตามคำสอนของเเม่ เราออกรถให้น้องขับ พอเค้าไม่ส่งต่อ เราก็ต้องรับช่วง เราให้น้องยืมเงินเปิดกิจการ จนป่านนี้น้องก็ยังใช้หนี้เราไม่หมด เเต่เราก็ปล่อยผ่าน เราซื้อบ้านให้พี่ก่อนที่จะซื้อบ้านให้ตัวเอง เราส่งเสียหลานให้ร่ำเรียนทุกคน ทั้งๆที่เราเองก็มีลูกสองคน เราตามใจเเม่ทุกอย่าง ไม่ว่าเเม่จะต้องการอะไร

จนมาวันนึง เราก็มีความคิดที่ว่า มนุษย์ทุกคนล้วนเเล้วเเต่ต้องมีศักยภาพที่จะดูเเลตัวเอง เราเพียงคนเดียวสามารถเลี้ยงคนทั้งบ้านได้ เเล้วเพราะอะไรเค้าเหล่านั้นถึงไม่สามารถเลี้ยงปากเดียวท้องเดียวได้ เพราะเราทำให้ชีวิตเค้าเหล่านั้นง่ายจนเกินไปใช้ไหม เค้าถึงไม่มีความมานะพยายาม

ปัจจุบัน เราตัดทุกความช่วยเหลือเเล้วค่ะ เราจะให้เฉพาะเทศกาล ให้เพราะที่เราเต็มใจที่จะให้ หรือที่เราคิดว่าเราสมควรให้จริงๆ  เมื่อก่อนเราเคยให้พี่สาวใช้เป็นรายเดือน เเล้วเราก็ได้รู้ว่า เค้าหมดเงินไปกับหมูกระทะ เหล้าเบียร์ ทั้งๆที่ตัวเราเองไม่เคยเเตะสิ่งเหล่านั้น เเม่เราหมดเงินไปกับของกินของใช้ที่ซื้อมาทิ้งเยอะมาก ต้องคอยทำความสะอาดตู้เย็นเก็บอาหารที่เสียทิ้งเพราะเเกชอบซื้อ คนเเก่คนเดียว ซือกล้วยกินทีละเครือ มะม่วงซื้อทีละเข่ง ซื้อข้าวทีละสิบกระสอบปุ๋ย กินไม่ทันจนมอดขึ้น น้องสาวอายุสี่สิบกว่าเเล้ว ยังไม่สามารถมีบ้านดีๆอยู่ได้

ตอนนี้เราได้เรียนรู้เเล้วว่า การให้ มันทำให้คนอ่อนเเอ สิ่งที่เราควรให้คือความรู้ ไม่ใช่เงิน คนที่ได้เงินไปง่ายๆ เค้าจะไม่มีความพยายาม

สิ่งที่คุณต้องเปลี่ยนคือตัวของคุณเอง คุณต้องเปลี่ยนความคิดของตัวเอง คุณต้องเปลี่ยนความเชื่อ อายุคุณก็ไม่น้อยเเล้ว ควรต้องวางเเผนชีวิตของตัวเองได้เเล้ว

เราเเนะนำว่า ให้คุณเเกล้งอกหักจะเป็นจะตาย เเกล้งทำเป็นอยากไปพักผ่อนหัวใจสักระยะ  พูดให้น้อย จบเรื่องให้ง่ายที่สุด ให้เค้าเข้าใจว่า พวกเค้าไม่ใช่ปัญหา เเต่เพราะตัวคุณเองนั่นเเหละที่มีปัญหา บอกพวกเค้าว่าจะไปต่างจังหวัดสักอาทิตย์ เก็บเสื้อผ้าออกจากบ้าน กระเป๋าเดียวพอ

ย้ายออกไปเช่าคอนโดอยู่ เปลี่ยนซิมโทรศัพย์ เลิกติดต่อกับทางบ้านสักสามเดือน ไม่ต้องไปรับรู้เรื่องอะไรทั้งนั้น คุณไม่ต้องห่วงหรอกว่า เค้าจะตายเมื่อไม่มีคุณ ช้าหรือเร็ว คุณก็ต้องตาย สักวันเค้าก็ต้องอยู่โดยไม่มีคุณอยู่ดี  ทิ้งวันนี้หน่ะดีเเล้ว เราให้เเก่กว่านี้อาจจะเเย่ ไม่ต้องรู้สึกผิด เพราะคุณกำลังสอนให้ทั้งเเม่เเละน้องได้เรียนรู้ว่าชีวิตมันไม่ง่าย ถ้าอ่อนเเอก็เเพ้ไป สัตว์โลกทุกชนิด เมื่อมันอ่อนเเอ มันก็จะไม่สามารถมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ได้ มนุษย์ไม่ยอมตายหรอก เมื่อมันจนมุม มันก็ต้องสู้

เมื่อไหร่ที่คุณรู้สึกดีขึ้น ค่อยติดต่อกลับไป
ความคิดเห็นที่ 1
ออกมาอยู่คนเดียว แล้วส่งเงินให้แม่กับน้อง ให้เค้าอยู่กันเองตามยถากรรม
คิดมากไป กรรมจะตกอยู่กับเรา
ความคิดเห็นที่ 11
ขอบคุณทุกคำตอบมากๆครับ ผมรู้ว่าปัญหามันอยู่ที่ตัวผมนี่แหละ
เวลาที่เห็นแม่ร้องไห้ โวยวายแล้วมันใจอ่อน ผมสนิทกับแม่มาแต่เด็กอยากให้แม่มีความสุข
ตอนที่เค้าป่วยก็เป็นแรงผลักดันให้ผมลุกขึ้นมาตั้งหน้าตั้งตาทำงาน

ผมกลัวที่จะหันหลังให้เค้า แล้วกลายเป็นคนอกตัญญู เป็นลูกที่ไม่ดี

แต่จากกระทู้นี้ผมคิดได้แล้วว่ามันควรจะต้องถึงเวลาแล้วที่จะคิดถึงครอบครัวในอนาคตกับแฟนได้แล้ว
ความคิดเห็นที่ 5
คุณต้องปลดบ่วงที่ค้องออกออก
ความเข้มแข็งจะต้องมาก
ลองดูค่ะ
คุณทำดีที่สุดมาตลอดแล้ว
บ้านของคุณก็ปล่อยให้แม่กับน้องอยู่
ส่งเสียให้แม่พออยู่กินไปวัน ๆ
ส่วนน้องก็ปล่อยให้เขาไปหากินเอง ใจแข็งเข้าใว้เท่านั้นที่คุณจะปลดบ่วงนี้ได้
ใครอยากตายก็ให้เขาตายไปกรรมใครกรรมมัน
สู้ ๆ ค่ะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่