ถ้าหาก Force Majeure (2014) คือ บททดสอบในหน้าที่ในฐานะหัวหน้าครอบครัว และ The Square (2017) คือการจิกกัดเสียดสีวงการศิลปะ สิ่งปรุงแต่งอันเย้ายวนทั้งหลายอย่างมีจริตชน ฉะนั้นเรื่องนี้ก็เป็นมหกรรมยำใหญ่ x 2 ที่รวมศูนย์ในการด่าทอสรรพสิ่ง ไม่ว่าทั้งทุนนิยม และ สังคมนิยม นินทาวงการแฟชั่นครั้งใหญ่ที่สุดแห่งความบันเทิงไม่รู้ลืมจากการล่มสลายของชนชั้นคนรวย และ เป็นการเอาคืนจากชนชั้นคนจนด้วยผลจากการใช้ชีวิตสุรุ่ยสุร่าย รักสบายเคยตัวจนลืมการคำนึงถึงความปลอดภัยโดยไม่คิดว่าวันหนึ่งจะเกิดเหตุกับตนเองจนไม่สามารถช่วยเหลือตนเอง ทำอะไรไม่เป็น มิวายยังต้องพึ่งพาคนชั้นล่างที่เคยชินกับความลำบากมาก่อนถูกยกความสำคัญขึ้นมาทันที แล้วใช้อภิสิทธิ์ตรงนี้เล่นงานกลับ ไม่ว่าจะคนรวย หรือ คนจน ตราบใดที่ยังอยู่ในโครงสร้างที่มีเต็มไปด้วยอำนาจ กิเลส ยั่วยุให้กอบโกยอยู่อย่างนี้ก็เตรียมตัวเตรียมใจที่จะถูกวิจารณ์ได้เลย
ส่วนตัวผมได้ติดตามผลงานของผู้กำกับ Ruben Ostlund แค่ The Square เพียงเรื่องเดียว ถ้าให้เปรียบเทียบระหว่าง 2 เรื่องนี้ ในแง่ของการปล่อยจังหวะมุกตลกเรื่องก่อนจัดหนักจัดเต็มกว่า บ้าบอกว่า แต่ถ้าแง่ของการนำเสนอในแต่ละประเด็นเรื่องนี้เข้าถึงง่ายกว่า มีประเด็นอะไรให้พูดถึงได้มากกว่า ขณะเดียวกันยังคงสไตล์การกำกับที่จริตจัดจ้าน ปราณีต แพรวพราวแบบผู้ดีเมืองยุโรป แต่ละมุกที่ปล่อยออกมาดันถูกที่ถูกทาง แม้บางมุกจะเล่น 5 บาท 10 บาทก็ยังดูไฮโซ ความเพี้ยนของบรรดาตัวละครสมทบที่แสดงความเลิ่กลักไม่ประสีประสาต่อโลก ซึ่งขัดแย้งกับภาพลักษณ์สง่าราศีจนหลุดขำไม่ไหว และที่ขาดไม่ได้คือ Soundtrack เพลงประกอบยังจี๊ดจ๊าดเหมือนเดิม เหมือนเดินอยู่บน Catwalk ในหัว แถมเข้ากับ Theme ของเรื่องได้เร้าใจเช่นกัน ดูจบเสร็จต้องกลับไปค้นหาต่อใน YouTube เพื่อฟังซ้ำอีกที เพราะดันติดหูไปเรียบร้อยแล้ว
ในส่วนของการดำเนินเรื่องลื่นไหลกว่าเรื่องที่แล้ว ด้วยระยะเวลา 2 ชั่วโมง 27 นาที ดูเหมือนจะนานแต่รู้สึกว่าเวลาผ่านไปแปปเดียว มีเผลอวูบหลับไปบ้างช่วงนึงแต่สามารถจูนติดกับเรื่องได้เร็ว เนื่องด้วยตัวเรื่องแบ่งเป็น 3 parts ประกอบด้วย Part 1 = เริ่มต้นด้วยการแนะนำตัวที่คู่รักอินฟลูเรเตอร์ รับบทโดยนักแสดงดาวรุ่งแห่งปี Harris Dickinson จาก The King’s Man (2021) และ Charlbi Dean นักแสดงสาวผู้ล่วงลับจาก Black Lightning Series (2018) โดยคนหนึ่งเป็นถึงนางแบบระดับโลก ขณะที่อีกคนเพิ่งจะ Debut ในฐานะนายแบบหน้าใหม่ / Part 2 = เหตุการณ์บนเรือ ซึ่งเป็นเส้นหลักของเรื่อง จะมีตัวละครหลายคนเข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น เศรษฐี , เซเล็บ , ผู้จัดการเรือเจ้าระเบียบ รับบทโดย Vicki Berlin จาก Anja & Viktor – In Sickness and in Health (2008) และ ตัวตึงสำคัญอย่าง กัปตันเรือ รับบทโดย Woody Harrelson จาก Natural Born Killers (1994) ไหนจะกลุ่มคนงานบนเรืออีก / Parts 3 บนเกาะ = ช่วงนี้จะพลิกเป็นแนว Survivor เน้นความจริงจัง เพิ่มความเข้มข้นขึ้น และ เป็นการฉายแสงตัวให้ละครชนชั้นล่าง อบิเกล รับบทโดย Dolly de Leon นักแสดงชาวฟิลิปปินส์ จาก Aswang (2011) ให้โดดเด่นสดใสขึ้นจากที่ผ่านมาแทบจะไม่ได้สังเกตเลยว่ามีเธอปรากฎอยู่ในเรื่องนี้
ทั้ง 3 Parts ที่กล่าวไป จะมี Timeline ในส่วนของแต่ละคนที่ได้ปล่อยของออกมาเต็มที่จนมาประจบรวมกันในองค์สุดท้าย ซึ่งทุก Parts จะพูดถึง Status ทางสังคมถึงสิทธิความเท่าเทียมกัน แสดงออกผ่านทางคนรวย-คนจน , นายจ้าง-ลูกจ้าง , พนักงานกับลูกค้าด้วยกัน นักแสดงแต่ละคนทั้ง Harris , Charlbi หรือ ป้า Dolly แสดงดีมีเสน่ห์ออร่ามาก แต่ละคนมีช่วงให้ปล่อยของจนเป็นที่น่าจดจำไม่มีใครกลบใคร แม้บางคนบทไม่มีอะไรเลยแต่ทำหน้าที่สนับสนุนให้ Story ลื่นไหลไปด้วยกันได้ดี แม้กระทั่งลุง Woody กว่าจะโผล่ปาไปกลางเรื่องแล้วแต่ทุก Scene ที่มีลุงคือสนุกมาก ทั้งฮาทั้งกาวขำไม่หยุด และ พูดได้เต็มปากว่าลุงคือ The Best แห่งความพินาศที่เราเกลียดไม่ลงจริง ๆ
สรุป คือ ผมชอบมาก ติด 1 ใน list หนังประจำปี 2022 ไปเป็นที่เรียบร้อย แถมตีแผ่ชนชั้นขยี้สันดานธาตุแท้ของคนได้เจ็บแสบและสะใจสุด ๆ ดูไปอารมณ์เหมือนนั่งดู Titanic (1997) + Cast Away (2000) + Parasite (2019) มาผสมรวมกัน ตลอดเวลาที่ดูนับเวลาถอยหลังเข้าสู่นาทีระทึกขวัญปั่นประสาทได้เลยไปกับการแข่งกันอวดอีโก้ ยโสโอหังของแต่ละคนโดยหารู้ไม่ว่าจะเหตุการณ์อะไรขึ้นข้างหน้า หัวเราะไปกับความไร้เดียงสาของบรรดาอีลิทจนเหนื่อย ไม่ว่าจะเป็น Scene เศรษฐีสาวใหญ่อ้วกพุ่งบนโต๊ะ และ Scene อุจจาระพุ่งกระจายจากโถส้วมไหลตามพื้น เป็นภาพที่กระอักกระอ่วนขมคอสุด ๆ จนไม่รู้จะสงสารหรือสมน้ำหน้ากันดี ถ้ามีระบบ 4Dx เผลอ ๆ มีกลิ่นลอยออกมาให้สัมผัสแน่นอน ช่วงท้าย ๆ มุกจะดรอปลงไปแต่ทดแทนด้วยท่าทีขึงขัง จริงจังขึ้น บีบคั้น ระทึกใจว่าตัวละครที่เหลือจะเป็นยังไง ซึ่งหนังไม่สรุปให้แน่ชัดแต่ให้พื้นที่เปิดโอกาสให้เราเก็บไปคิดต่อกันเอง
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like กด Share บทความของผม EMCONCEPT เพื่อเป็นกำลังใจในการรีวิวครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
[CR] No.18 Triangle of Sadness : โอ้ว ซาร่า มันจอร์จมั๊กก
ถ้าหาก Force Majeure (2014) คือ บททดสอบในหน้าที่ในฐานะหัวหน้าครอบครัว และ The Square (2017) คือการจิกกัดเสียดสีวงการศิลปะ สิ่งปรุงแต่งอันเย้ายวนทั้งหลายอย่างมีจริตชน ฉะนั้นเรื่องนี้ก็เป็นมหกรรมยำใหญ่ x 2 ที่รวมศูนย์ในการด่าทอสรรพสิ่ง ไม่ว่าทั้งทุนนิยม และ สังคมนิยม นินทาวงการแฟชั่นครั้งใหญ่ที่สุดแห่งความบันเทิงไม่รู้ลืมจากการล่มสลายของชนชั้นคนรวย และ เป็นการเอาคืนจากชนชั้นคนจนด้วยผลจากการใช้ชีวิตสุรุ่ยสุร่าย รักสบายเคยตัวจนลืมการคำนึงถึงความปลอดภัยโดยไม่คิดว่าวันหนึ่งจะเกิดเหตุกับตนเองจนไม่สามารถช่วยเหลือตนเอง ทำอะไรไม่เป็น มิวายยังต้องพึ่งพาคนชั้นล่างที่เคยชินกับความลำบากมาก่อนถูกยกความสำคัญขึ้นมาทันที แล้วใช้อภิสิทธิ์ตรงนี้เล่นงานกลับ ไม่ว่าจะคนรวย หรือ คนจน ตราบใดที่ยังอยู่ในโครงสร้างที่มีเต็มไปด้วยอำนาจ กิเลส ยั่วยุให้กอบโกยอยู่อย่างนี้ก็เตรียมตัวเตรียมใจที่จะถูกวิจารณ์ได้เลย
ส่วนตัวผมได้ติดตามผลงานของผู้กำกับ Ruben Ostlund แค่ The Square เพียงเรื่องเดียว ถ้าให้เปรียบเทียบระหว่าง 2 เรื่องนี้ ในแง่ของการปล่อยจังหวะมุกตลกเรื่องก่อนจัดหนักจัดเต็มกว่า บ้าบอกว่า แต่ถ้าแง่ของการนำเสนอในแต่ละประเด็นเรื่องนี้เข้าถึงง่ายกว่า มีประเด็นอะไรให้พูดถึงได้มากกว่า ขณะเดียวกันยังคงสไตล์การกำกับที่จริตจัดจ้าน ปราณีต แพรวพราวแบบผู้ดีเมืองยุโรป แต่ละมุกที่ปล่อยออกมาดันถูกที่ถูกทาง แม้บางมุกจะเล่น 5 บาท 10 บาทก็ยังดูไฮโซ ความเพี้ยนของบรรดาตัวละครสมทบที่แสดงความเลิ่กลักไม่ประสีประสาต่อโลก ซึ่งขัดแย้งกับภาพลักษณ์สง่าราศีจนหลุดขำไม่ไหว และที่ขาดไม่ได้คือ Soundtrack เพลงประกอบยังจี๊ดจ๊าดเหมือนเดิม เหมือนเดินอยู่บน Catwalk ในหัว แถมเข้ากับ Theme ของเรื่องได้เร้าใจเช่นกัน ดูจบเสร็จต้องกลับไปค้นหาต่อใน YouTube เพื่อฟังซ้ำอีกที เพราะดันติดหูไปเรียบร้อยแล้ว
ในส่วนของการดำเนินเรื่องลื่นไหลกว่าเรื่องที่แล้ว ด้วยระยะเวลา 2 ชั่วโมง 27 นาที ดูเหมือนจะนานแต่รู้สึกว่าเวลาผ่านไปแปปเดียว มีเผลอวูบหลับไปบ้างช่วงนึงแต่สามารถจูนติดกับเรื่องได้เร็ว เนื่องด้วยตัวเรื่องแบ่งเป็น 3 parts ประกอบด้วย Part 1 = เริ่มต้นด้วยการแนะนำตัวที่คู่รักอินฟลูเรเตอร์ รับบทโดยนักแสดงดาวรุ่งแห่งปี Harris Dickinson จาก The King’s Man (2021) และ Charlbi Dean นักแสดงสาวผู้ล่วงลับจาก Black Lightning Series (2018) โดยคนหนึ่งเป็นถึงนางแบบระดับโลก ขณะที่อีกคนเพิ่งจะ Debut ในฐานะนายแบบหน้าใหม่ / Part 2 = เหตุการณ์บนเรือ ซึ่งเป็นเส้นหลักของเรื่อง จะมีตัวละครหลายคนเข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น เศรษฐี , เซเล็บ , ผู้จัดการเรือเจ้าระเบียบ รับบทโดย Vicki Berlin จาก Anja & Viktor – In Sickness and in Health (2008) และ ตัวตึงสำคัญอย่าง กัปตันเรือ รับบทโดย Woody Harrelson จาก Natural Born Killers (1994) ไหนจะกลุ่มคนงานบนเรืออีก / Parts 3 บนเกาะ = ช่วงนี้จะพลิกเป็นแนว Survivor เน้นความจริงจัง เพิ่มความเข้มข้นขึ้น และ เป็นการฉายแสงตัวให้ละครชนชั้นล่าง อบิเกล รับบทโดย Dolly de Leon นักแสดงชาวฟิลิปปินส์ จาก Aswang (2011) ให้โดดเด่นสดใสขึ้นจากที่ผ่านมาแทบจะไม่ได้สังเกตเลยว่ามีเธอปรากฎอยู่ในเรื่องนี้
ทั้ง 3 Parts ที่กล่าวไป จะมี Timeline ในส่วนของแต่ละคนที่ได้ปล่อยของออกมาเต็มที่จนมาประจบรวมกันในองค์สุดท้าย ซึ่งทุก Parts จะพูดถึง Status ทางสังคมถึงสิทธิความเท่าเทียมกัน แสดงออกผ่านทางคนรวย-คนจน , นายจ้าง-ลูกจ้าง , พนักงานกับลูกค้าด้วยกัน นักแสดงแต่ละคนทั้ง Harris , Charlbi หรือ ป้า Dolly แสดงดีมีเสน่ห์ออร่ามาก แต่ละคนมีช่วงให้ปล่อยของจนเป็นที่น่าจดจำไม่มีใครกลบใคร แม้บางคนบทไม่มีอะไรเลยแต่ทำหน้าที่สนับสนุนให้ Story ลื่นไหลไปด้วยกันได้ดี แม้กระทั่งลุง Woody กว่าจะโผล่ปาไปกลางเรื่องแล้วแต่ทุก Scene ที่มีลุงคือสนุกมาก ทั้งฮาทั้งกาวขำไม่หยุด และ พูดได้เต็มปากว่าลุงคือ The Best แห่งความพินาศที่เราเกลียดไม่ลงจริง ๆ
สรุป คือ ผมชอบมาก ติด 1 ใน list หนังประจำปี 2022 ไปเป็นที่เรียบร้อย แถมตีแผ่ชนชั้นขยี้สันดานธาตุแท้ของคนได้เจ็บแสบและสะใจสุด ๆ ดูไปอารมณ์เหมือนนั่งดู Titanic (1997) + Cast Away (2000) + Parasite (2019) มาผสมรวมกัน ตลอดเวลาที่ดูนับเวลาถอยหลังเข้าสู่นาทีระทึกขวัญปั่นประสาทได้เลยไปกับการแข่งกันอวดอีโก้ ยโสโอหังของแต่ละคนโดยหารู้ไม่ว่าจะเหตุการณ์อะไรขึ้นข้างหน้า หัวเราะไปกับความไร้เดียงสาของบรรดาอีลิทจนเหนื่อย ไม่ว่าจะเป็น Scene เศรษฐีสาวใหญ่อ้วกพุ่งบนโต๊ะ และ Scene อุจจาระพุ่งกระจายจากโถส้วมไหลตามพื้น เป็นภาพที่กระอักกระอ่วนขมคอสุด ๆ จนไม่รู้จะสงสารหรือสมน้ำหน้ากันดี ถ้ามีระบบ 4Dx เผลอ ๆ มีกลิ่นลอยออกมาให้สัมผัสแน่นอน ช่วงท้าย ๆ มุกจะดรอปลงไปแต่ทดแทนด้วยท่าทีขึงขัง จริงจังขึ้น บีบคั้น ระทึกใจว่าตัวละครที่เหลือจะเป็นยังไง ซึ่งหนังไม่สรุปให้แน่ชัดแต่ให้พื้นที่เปิดโอกาสให้เราเก็บไปคิดต่อกันเอง
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like กด Share บทความของผม EMCONCEPT เพื่อเป็นกำลังใจในการรีวิวครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้