แม่ย่าเรือน
แสงจันทร์นวลส่องลงบนลานดินที่ถางเตียนโล่งสะอาดสะอ้านให้กระจ่างแจ้ง เป็นค่ำคืนเดือนหงายที่บรรยากาศสุนทรีรมย์ยิ่งนักสำหรับโยธิน
สมกับที่เขาปลีกวิเวกจากเมืองกรุงมาดื่มด่ำกับธรรมชาติท้องไร่ท้องนา อากาศสดชื่น หอมไอดินกลิ่นหญ้าอวลฟางฟ่อน กลิ่นสาปของสัตว์เลี้ยงที่นอนอยู่ในคอกใต้ถุนบ้าน ผสมผเสกันทำให้สุขภาพจิตของชายหนุ่มดีขึ้นทันตา ทั้งๆที่เมื่อสามสี่วันก่อนหน้านี้ยังหมกมุ่นครุ่นเครียดกับงานที่ทำ
เขาเป็นนักเขียนชื่อดัง และกำลังยืนอยู่ในจุดสูงสุดของอาชีพ นิยายของเขารับประกันยอดขายและพิมพ์ซ้ำแทบทุกเล่มแน่ล่ะ แนวผีๆ จิตวิญญาณ เหนือธรรมชาติ เข้าถึงง่ายและเป็นที่ถูกอกถูกใจกับกลุ่มนักอ่านคนไทยหนักหนา
โยธินเขียนถึงผีทุกประเภท ทุกภูมิภาค อาทิเช่น ผีกระสือ กระหัง ผีโพง ตานี ผีปอบ ผีกะ
มลางดง มากมายร้อยแปด
วิธีการเขียนของเขาคือค้นคว้าเอาเป็นหลัก ไม่ได้มีประสบการณ์การเจอจริงมาเจือปนแม้แต่น้อย แต่กระนั้นจะมามีใครมาบริภาษหรือวิพากษ์ในจุดนี้อย่างเต็มปากก็หาได้ไม่ เนื่องจากเขามีความรอบรู้ในแทบทุกเรื่อง ศาสนา พิธีกรรมความเชื่อ ตำนานในแต่ละท้องถิ่นทั่วไทย อีกทั้งเรียนรู้จิตวิทยามนุษย์ การใช้ชีวิต กอปรกับภาษาต่างประเทศที่ดีเยี่ยมจึงมีโอกาสได้ศึกษาเรื่องเล่าที่ไม่ได้รับการแปลเป็นไทยหลายต่อหลายเรื่อง
ดังนั้นจึงไม่แปลกที่เขาเขียนเรื่องทุกเรื่องได้สมจริงราวกับตาเห็น นิยายของเขาจึงได้ประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่องกัน
ล่าสุด หลังจากนิยายเรื่อง”ลุงข้างทาง”ที่เพิ่งได้รับการตีพิมพ์ ติดอันดับนิยายขายดีตามความคาดหมายสมกับที่ได้ทุ่มเทแรงกายแรงใจ ตามหลักแล้ว ชายหนุ่มกลั่นผลงานมาได้ดีติดต่อกันถึงขีดสุด จากนี้ควรจะอยู่ในช่วงที่ความคิดรังสรรค์ล้าลงแล้ว ควรต้องหยุดพักเติมเชื้อไฟให้กับสมอง
แต่เขากลับจับปากกาลงมือเขียนเรื่องใหม่ทันที คล้ายดั่งกับมีพลังในการเขียนหนุนเนื่องไม่ขาดสาย
อย่างไรก็ดีมีไฟแต่ขาดเชื้อเพลิงมาเติม กองไฟก็ค่อยๆมอดลง นั่งคิด นั่งเขียนอยู่ห้องสี่เหลี่ยมคอนโดความคิดก็ตีบตันไม่ไปไหน เลยต้องเปลี่ยนสถานที่เพื่อให้ความคิดแล่นสะดวกปรู๊ดปร๊าดกว่าเดิม
และก็ไม่ผิดหวัง เมื่อได้มาพำนักที่บ้านกำนันชิดลม พี่ชายแท้ๆของบิดา ซึ่งมีเรือนสร้างแบบโบราณมีจันทันทรงปั้นหยาสวยงาม
ณ ที่ชนบทแห่งนี้ ลุงของเขาครอบครองเทือกสวนไร่นามากมาย ถือเป็นผู้มีอันจะกินในย่านนี้ทีเดียว
เมื่อสามชั่วโมงก่อนหน้านี้ พอโยธินขับรถมาถึงโดยไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้า ลุงกับป้าเขาแสดงความดีอกดีใจมากมายที่ได้พบหลานชาย แต่ดูเหมือนทั้งคู่มีความจำเป็นที่จะต้องออกจากบ้าน ไม่มีเวลารับหน้าหลาน ทั้งๆที่ตอนนั้นอาทิตย์ก็อัสดงโรยราแสงแล้ว ปกติชาวบ้านท้องไร่ท้องนาไม่มีใครย่างเท้าพ้นบ้านในเวลานี้
“ทำไมไม่บอกก่อนล่ะว่าจะมา หือ พ่อธิน กับข้าว กับปลาป้าพอมีในครัว กินรองท้องตามมีตามเกิดไปก่อนนะลูก” ป้านางพูดพลางเอามือลูบไล้ศีรษะชายหนุ่มอย่างเอ็นดู เสมือนว่าเขาเป็นลูกชายคนหนึ่ง
“ป้ามีธุระต้องรีบไปช่วยงานศพเขา แม่ปานแกตายกระทันหัน ญาติๆแกทำอะไรไม่ถูก เอาไว้ค่ำๆป้าจะเอาของอร่อยๆมาให้กิน”
โยธินไม่เคยเข้าร่วมพิธีงานศพใครที่บ้านนอกมาก่อน พอได้ยินเข้าก็บังเกิดความกระตือรือร้นทันที บางทีเขาอาจจะได้เก็บบรรยากาศมาใช้เขียนในนิยาย จึงขอตามไปด้วยทันที
“ลุง ป้าครับ ผมขอตามไปด้วยได้ไหมครับ เผื่อว่า…”
ป้านางหันไปสบตากับสามีนางเพื่อขอความเห็น แต่กำนันชิดลมนิ่งพิจารณาสักครู่ก็เอ่ยปรามขึ้น
“อย่าไปเลยธิน ลุงรู้ว่าเจ้าต้องการไปทำไม มันไม่มีอะไรน่าดูหรอก งานศพ มีแต่ญาติพี่น้อง คนใกล้ชิดร่ำให้เศร้าโศกถ้าหลานตั้งใจแค่ค้นคว้าข้อมูล ไม่มีเจตนาไปเพื่อแสดงความเสียใจจริงๆ ก็อย่าไปเลย มันไม่ดีหรอก”
ป้านางไม่อยากให้หลานชายไปงานศพอยู่แล้ว โดยเฉพาะงานนี้ ว่าที่จริงแม้แต่ตัวเธอเองก็ไม่อยากไปนัก เนื่องจากเสียงโจษขานในทางไม่ดีที่ได้ยินมา แต่ในฐานะเมียกำนัน งานศพลูกบ้านนางจะไม่ดูดำดูดีก็ไม่ได้
“เชื่อลุงเขาเถอะ ธินขับรถมาตั้งไกล ไปพักผ่อนหรือหาอะไรกินก่อน ป้าเองก็ไป เอ่อ พอเป็นพิธี ไม่นานก็กลับมาแล้วเอาอย่างนี้ เดี๋ยวป้าจะให้คนมาอยู่เป็นเพื่อนหาข้าวหาปลาให้กิน”
เมื่อทั้งลุงทั้งป้าเห็นตรงกันเป็นเอกฉันท์เช่นนี้ โยธินจะดันทุรังต่อก็ใช่ที่ ได้แต่ต้องทำตาม
“ครับ” ชายหนุ่มรับคำอย่างซ่อนความผิดหวังไว้ในใจ
สามชั่วโมงผ่านไป ลุงกำนันและป้านางของเขายังไม่มีแนวโน้มว่าจะกลับ รวมถึงไม่มีวี่แววของใครคนไหน ที่ป้าปรารภไว้ก่อนไปว่าจะส่งมาเป็นเพื่อนที่บ้าน
โยธินยังไม่หิว เขาเจอเหล้านอกที่ลุงชิดลมเก็บไว้ เลยฉวยมาเปิดรินจิบๆแก้เบื่อ จะเรียกว่าถือวิสาสะคงไม่ได้ ลุงกำนันไม่เคยหวงอะไรสำหรับเขาทั้งนั้น นับตั้งแต่สองสามีภรรยาสูญเสียลูกชายไปด้วยอุบัติเหตุ ทั้งสองก็เปลี่ยนมาทุ่มเทความรักให้กับชายหนุ่มราวกับแก้วตาดวงใจ
“บ้านช่อง เงินทองที่นา ที่ไร่ฉัน เห็นจะไม่ตกเป็นของใครหรอก ชิดชัย” กำนันชิดลมพูดเปรยๆกับน้องชาย หรือบิดาของโยธินในวันหนึ่ง
“หลานฉันมันไม่เป็นงานไร่ งานนาก็จริง แต่มันก็ประกอบอาชีพสุจริต ไม่เล่นการพนัน ไม่ติดยา แถมยังซื่อสัตย์และกตัญญู ถ้าฉันเกิดเป็นอะไรไปก่อน ก็ไว้วางใจได้ว่ามันจะไม่ทิ้งนาง ป้าของมัน และไม่ผลาญสมบัติฉัน”
นั่งจิบเพลินๆ อารมณ์เคลิ้มๆได้ที่ กำลังคิดถึงเค้าโครงเรื่องของนิยายตนเอง ชายหนุ่มก็มีอันต้องร่างสะดุ้ง เพราะได้ยินน้ำเสียงเฉียบเย็นมาจากข้างหลัง
“ กินเหล้าสะบัดเลยนะ ท้องว่าง ไม่รู้จักหาข้าวหาปลารองท้องก่อน เดี๋ยวก็เมาปลิ้นหรอก”
โยธินแทบสำลักน้ำอำพันในมือ หันขวับมามองทันที แล้วก็ได้เห็นผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ข้างหลัง แว่บแรกของสายตาที่เก็บรายละเอียดได้ ทรวดทรงองค์เอวหล่อนบ่งบอกว่าเจริญวัยเกินรุ่นกำดัดแล้ว แต่ใบหน้ารูปหัวใจนั้นกลับดูอ่อนเยาว์ราวกับเด็กหญิง ดวงตาสีนิลเลื่อมเป็นประกายกำลังจ้องมองมา
แม้วิธีการพูดเจ้าหล่อนจะดูแข็งๆ ใบหน้าปราศจากรอยยิ้ม แต่อะไรบางอย่างในตัวหญิงคนนี้ทำให้โยธินรู้สึกว่าเป็นการตักเตือนด้วยความห่วงใยมากกว่าประชดประชัน
“ขอโทษครับ คุณคือ? มาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ ผมนั่งมองตรงหน้าต่างไปทางประตูรั้วหน้าบ้านตลอด ไม่เห็นมีใครเดินเข้ามา”
ชายหนุ่มไม่ได้พูดในเชิงไม่พอใจ แต่เขางงว่ามีคนเดินผ่านประตูหน้าบ้าน ย่องกริบมาข้างหลังได้อย่างไรโดยที่ไม่รู้ตัว
หญิงสาวมีสีหน้าเหมือนกับว่ารำคาญเล็กน้อย รอยยิ้มลึกลับหนึ่งผุดขึ้นที่มุมปากของหล่อน อย่างยากจะอ่านออกได้
“ฉันจะมาเมื่อไหร่ อย่างไรเป็นเรื่องของฉัน เอาเป็นว่าไม่ได้เข้ามาทางประตูนั้นแล้วกัน คุณเลยมองไม่เห็น”
โยธินทำสีหน้าฉงนสนเท่ห์ มองดูหล่อนด้วยความสงสัยอย่างเปิดเผย
“ฉันไม่ใช่พวกย่องเบาหรอก และรู้จักกับเจ้าของบ้านเป็นอย่างดี” ยิ้มนั้นแปรเปลี่ยนเป็นขบขันในท่าทีของชายหนุ่ม
“เลยมาช่วยดูแลให้ในบางโอกาส”
ชายหนุ่มทำหน้านิ่งนึกทบทวนสักครู่ ก็ถึงบางอ้อ
“ที่แท้คุณคือคนที่ป้านางส่งมาอยู่เป็นเพื่อนผมนั่นเอง โถ ทีแรกผมก็นึกว่าจะเป็นผู้ชาย ว่าจะชวนกินเหล้าคุยกันเสียหน่อย เก็บข้อมูล”
“ถึงฉันเป็นผู้หญิงแล้วยังไง” เสียงนั้นถามอย่างหยอกเย้ามากกว่าจริงจัง “ ผู้ชายสมัยนี้ไม่ชอบดื่มเหล้าเคล้านารีหรือ”
ท่าที การพูดการจาที่ทันคนนั้น ไม่มีกริยาของสาวชาวท้องไร่ท้องนาให้เห็นแม้แต่น้อย ทำให้สายตาของชายหนุ่มฉายแววประหลาดใจออกมา หากเขาก็ตอบตามอุปนิสัยตนเองที่ไม่เสแสร้ง
“ก็คงจะชอบกันทุกยุคสมัยแหละครับ แต่เผอิญตัวผมกินเพื่อผ่อนคลาย ไม่ได้ต้องการอย่างอื่น”
พูดจบก็สังเกตหล่อนอย่างพิถีพิถันมากกว่าเดิม เพราะเขาไม่เคยประสบพบเจอผู้หญิงแบบนี้มาก่อนในชีวิต หญิงสาวทำเหมือนไม่รู้ตัวว่าถูกมองอย่างพินิจ มองไปรอบๆพลางพูดขึ้นว่า
“ใจคอคุณจะไม่ชวนฉันนั่งหรือ หรือจะปล่อยให้ฉันยืนอยู่แบบนี้” อากัปกิริยาของเธอไม่ว่าจะเผลอหรือไม่ก็ตาม แต่ดูไปดูมาคล้ายพูดกับคนที่อ่อนวัยวุฒิกว่า
แน่นอนชายหนุ่มว่าไม่ทันจับกระแสนั้นได้ รีบหาเก้าอี้มาวางให้นั่งทันทีด้วยคิดถึงมารยาทก่อน พูดออกมาด้วยความเก้อเขินอย่างแท้จริง
“ โอ้ว ต้องขอโทษด้วยครับ ผมก็มัวแต่สงสัยว่าคุณเข้าบ้านมาทางไหน ลุงกำนันแกปลูกรั้วรอบขอบชิดขนาดนี้”
กริยาลุกรนที่ดูไม่แกล้งดัดของโยธิน ทำดวงตาสวยนั้นทอประกายแววพึงพอใจขึ้นวูบหนึ่ง นั่งลงอย่างสวยงามแบบกุลสตรี
“บุญของเธอแล้วนางเอ้ย เสียลูกไปแต่ก็ ได้ลูกชายที่ไม่เลวมาแทน” เสียงนั้นเหมือนเจ้าตัวดีใจแทนจึงรำพึงออกมาด้วยควาเผลอเรอ แต่เผอิญโยธินเกิดได้ยินขึ้นมา คิ้วเข้มของเขาจึงขมวดเป็นปมด้วยความคลางแคลง
“ยังไงครับ คุณรู้เรื่องพี่ชายผมที่เสียไป แสดงว่าคุณต้องรู้จักกับครอบครัวคุณลุงคุณป้าผมดีทีเดียว”
“ฉันรู้” รูปหน้างามงดมีแววตรึกตรอง เหมือนมีการชั่งใจว่าควรพูดต่อดีหรือไม่ แต่แล้วโยธินที่รอฟังอยู่อย่างตั้งใจก็ต้องสะดุ้ง เพราะสีหน้าของหญิงสาวเบื้องหน้าแปรเปลี่ยนไป เธอเบือนหน้าที่ตระหนกไปมองยังนอกบ้าน
“ลุงกับป้าคุณกำลังเดินทางกลับ มีอะไรไม่ดีตามหลังมาด้วย ฉันต้องออกไปรับทั้งสองคนกลับบ้านมาด้วยตัวเอง ไม่เช่นนั้นไม่ปลอดภัยแน่”
ลักษณะเธอเหมือนเห็นอะไร เขารีบชะโงกหน้ามองตามก็ไม่เห็น นอกจากทิวสวนมีคันคู ร่องน้ำที่ขุดชักมาหล่อเลี้ยงพืชผลของลุงกำนัน
ผู้หญิงคนนี้ผุดลุกขึ้นอย่างว่องไว ก่อนเธอจะจากไปได้พูดย้ำชัดทุกถ้อยคำในโสตหูชายหนุ่มอย่างขึงขัง
“ฉันจำเป็นต้องไป ระหว่างนี้ อย่าลงจากเรือน อย่าเปิดประตูบ้าน หรืออนุญาตให้ใครเข้ามาในขอบเขตบ้าน ไม่ว่าจะด้วยการกระทำที่เชื้อเชิญ หรือแม้กระทั่งวาจา ใครจะมาเรียกก็ช่าง ให้อยู่เฉยๆทำเอาหูทวนลมอยู่ตรงนี้ ไม่ต้องตอบรับด้วยประการทั้งปวง แม้จะเห็นด้วยสายตาว่าเป็นลุงกับป้าคุณก็ตาม ถ้ามาขอให้เปิดประตูให้ก็อย่าเปิดเป็นอันขาดจงใช้สติปัญญาคิดเอา ทั้งสองคนเป็นเจ้าของบ้านอยู่แล้ว ทำไมจะเข้าบ้านตัวเองไม่ได้ เว้นเสียแต่ว่าเป็นอย่างอื่น”
พอเสียงพูดหายไป อยู่ดีๆตาของชายหนุ่มก็เกิดทัศนวิสัยพร่ามัวขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล เมื่อกระพริบตาถี่ๆเพื่อให้ชัดเจน ก็ปรากฎว่าร่างของหญิงสาวที่พอพูดจบก็ได้อันตรธานหายไป โดยไม่เห็นแม้แต่แผ่นหลังไวๆแม้แต่น้อยเหมือนกับว่าปุปปับก็เดินแทรกอากาศล่องหนไป
โยธินสะบัดหน้าไล่ความงุนงง รีบโผล่หน้าไปดูทางหน้าต่าง ในใจคิดว่าต่อให้หญิงสาวปริศนาคนนี้เคลื่อนไหวราวกับลมกลดอย่างไร ด้วยระยะความห่างระหว่างตัวบ้านกับประตูหน้า หล่อนก็ไม่มีทางวิ่งเร็วจนพ้นสายตาเขาไปได้โดยไม่เห็นร่างหล่อนลับหลังไป
แต่แล้ว สิ่งที่ได้เห็นก็ค้านทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ทั้งหมด ประตูหน้าบ้านยังคงปิดสนิทอย่างเดิม ไม่มีร่องรอยถูกเลื่อนเปิดออกแม้แต่น้อย มองข้ามออกไปนอกรั้วก็ไม่เห็น ว่ามีใครเพิ่งออกไป ชายหนุ่มเดินเลอะเลือนสำรวจทั่วทั้งตัวบ้านและก็ได้พบกับความว่างเปล่าไม่มีเงาร่างของผู้หญิงคนนั้น หรืออะไรก็ตามที่มีตัวตนให้เห็นภายในสิบกว่านาทีก่อนหน้านี้
โยธินกลับมาที่เดิมยืนเหม่อมองออกไปนอกหน้าหน้าต่างอย่างมึนงง ไม่รู้ว่าเพราะด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์หรือสติสตังในที่สุดเขาก็กระดกแก้วในมือ สาดของเหลวเข้าลำคอจนหมดทีเดียว เพราะนั้นคือสิ่งเดียวที่พึ่งได้ในตอนนี้
ไม่ต้องหาเหตุผลอะไรอีกแล้ว ต่อให้หาก็ไม่เจอข้อไหนที่พอจะเข้าท่ามาอธิบายได้ เพราะสิ่งที่เขาเพิ่งประสบมามีเพียงคำตอบเดียว
ผี วิญญาณสัมภเวสีหรือ เจ้าที่เจ้าทางอะไรก็ตามสักอย่าง นั่นคือคือสิ่งที่เขาเพิ่งเจอมา
เขียนนิยายมาไม่รู้กี่เล่มกี่เรื่อง ที่ผ่านมาไม่ว่าจะเรียกว่าจินตนาการหรือยกเมฆอะไรก็ตาม แต่ในที่สุดก็ได้โดนเข้าจังๆกับตัวจนได้
ชายหนุ่มจำต้องรินเหล้าให้ตัวเองอีกแก้วหนึ่งอย่างไม่มีทางเลือก เขามองออกไปยังฝั่งแนวต้นมะพร้าวสูงไล่เรียงอย่างเลื่อนลอย เพราะยังรวมสติกลับมาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันไม่ได้ แล้วก็เลื่อนสายตามา
จนกระทั่งได้เห็นอะไรบางอย่างหลังกลุ่มต้นไม้เลยลานดินที่ถูกเกลี่ยสะอาดนอกรั้วหน้าบ้านนั่นแหละ
ร่างๆหนึ่งทำตัวผลุบๆโผล่หลังลำต้นไม้ซึ่งถูกปลูกขึ้นในระนาบเดียวเป็นทิวแถว ซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่ามันคือต้นอะไร แต่ลักษณะของร่างนั้นคือลับๆล่อๆเหมือนแอบมองมาทางบ้านหลังนี้
ชายหนุ่มหลบเข้าหลังหน้าต่างห้องโดยสัญชาตญาณ การแอบมาด้อมๆมองๆเวลามืดค่ำอย่างนี้ ไม่ใช่วิสัยปกติของคนเข้าตามตรอกออกตามประตูแน่นอน ใครๆก็รู้ว่าลุงกำนันของเขานั้นคนจริ
แม่ย่าเรือน โดย Furryjit
แสงจันทร์นวลส่องลงบนลานดินที่ถางเตียนโล่งสะอาดสะอ้านให้กระจ่างแจ้ง เป็นค่ำคืนเดือนหงายที่บรรยากาศสุนทรีรมย์ยิ่งนักสำหรับโยธิน
สมกับที่เขาปลีกวิเวกจากเมืองกรุงมาดื่มด่ำกับธรรมชาติท้องไร่ท้องนา อากาศสดชื่น หอมไอดินกลิ่นหญ้าอวลฟางฟ่อน กลิ่นสาปของสัตว์เลี้ยงที่นอนอยู่ในคอกใต้ถุนบ้าน ผสมผเสกันทำให้สุขภาพจิตของชายหนุ่มดีขึ้นทันตา ทั้งๆที่เมื่อสามสี่วันก่อนหน้านี้ยังหมกมุ่นครุ่นเครียดกับงานที่ทำ
เขาเป็นนักเขียนชื่อดัง และกำลังยืนอยู่ในจุดสูงสุดของอาชีพ นิยายของเขารับประกันยอดขายและพิมพ์ซ้ำแทบทุกเล่มแน่ล่ะ แนวผีๆ จิตวิญญาณ เหนือธรรมชาติ เข้าถึงง่ายและเป็นที่ถูกอกถูกใจกับกลุ่มนักอ่านคนไทยหนักหนา
โยธินเขียนถึงผีทุกประเภท ทุกภูมิภาค อาทิเช่น ผีกระสือ กระหัง ผีโพง ตานี ผีปอบ ผีกะ
มลางดง มากมายร้อยแปด
วิธีการเขียนของเขาคือค้นคว้าเอาเป็นหลัก ไม่ได้มีประสบการณ์การเจอจริงมาเจือปนแม้แต่น้อย แต่กระนั้นจะมามีใครมาบริภาษหรือวิพากษ์ในจุดนี้อย่างเต็มปากก็หาได้ไม่ เนื่องจากเขามีความรอบรู้ในแทบทุกเรื่อง ศาสนา พิธีกรรมความเชื่อ ตำนานในแต่ละท้องถิ่นทั่วไทย อีกทั้งเรียนรู้จิตวิทยามนุษย์ การใช้ชีวิต กอปรกับภาษาต่างประเทศที่ดีเยี่ยมจึงมีโอกาสได้ศึกษาเรื่องเล่าที่ไม่ได้รับการแปลเป็นไทยหลายต่อหลายเรื่อง
ดังนั้นจึงไม่แปลกที่เขาเขียนเรื่องทุกเรื่องได้สมจริงราวกับตาเห็น นิยายของเขาจึงได้ประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่องกัน
ล่าสุด หลังจากนิยายเรื่อง”ลุงข้างทาง”ที่เพิ่งได้รับการตีพิมพ์ ติดอันดับนิยายขายดีตามความคาดหมายสมกับที่ได้ทุ่มเทแรงกายแรงใจ ตามหลักแล้ว ชายหนุ่มกลั่นผลงานมาได้ดีติดต่อกันถึงขีดสุด จากนี้ควรจะอยู่ในช่วงที่ความคิดรังสรรค์ล้าลงแล้ว ควรต้องหยุดพักเติมเชื้อไฟให้กับสมอง
แต่เขากลับจับปากกาลงมือเขียนเรื่องใหม่ทันที คล้ายดั่งกับมีพลังในการเขียนหนุนเนื่องไม่ขาดสาย
อย่างไรก็ดีมีไฟแต่ขาดเชื้อเพลิงมาเติม กองไฟก็ค่อยๆมอดลง นั่งคิด นั่งเขียนอยู่ห้องสี่เหลี่ยมคอนโดความคิดก็ตีบตันไม่ไปไหน เลยต้องเปลี่ยนสถานที่เพื่อให้ความคิดแล่นสะดวกปรู๊ดปร๊าดกว่าเดิม
และก็ไม่ผิดหวัง เมื่อได้มาพำนักที่บ้านกำนันชิดลม พี่ชายแท้ๆของบิดา ซึ่งมีเรือนสร้างแบบโบราณมีจันทันทรงปั้นหยาสวยงาม
ณ ที่ชนบทแห่งนี้ ลุงของเขาครอบครองเทือกสวนไร่นามากมาย ถือเป็นผู้มีอันจะกินในย่านนี้ทีเดียว
เมื่อสามชั่วโมงก่อนหน้านี้ พอโยธินขับรถมาถึงโดยไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้า ลุงกับป้าเขาแสดงความดีอกดีใจมากมายที่ได้พบหลานชาย แต่ดูเหมือนทั้งคู่มีความจำเป็นที่จะต้องออกจากบ้าน ไม่มีเวลารับหน้าหลาน ทั้งๆที่ตอนนั้นอาทิตย์ก็อัสดงโรยราแสงแล้ว ปกติชาวบ้านท้องไร่ท้องนาไม่มีใครย่างเท้าพ้นบ้านในเวลานี้
“ทำไมไม่บอกก่อนล่ะว่าจะมา หือ พ่อธิน กับข้าว กับปลาป้าพอมีในครัว กินรองท้องตามมีตามเกิดไปก่อนนะลูก” ป้านางพูดพลางเอามือลูบไล้ศีรษะชายหนุ่มอย่างเอ็นดู เสมือนว่าเขาเป็นลูกชายคนหนึ่ง
“ป้ามีธุระต้องรีบไปช่วยงานศพเขา แม่ปานแกตายกระทันหัน ญาติๆแกทำอะไรไม่ถูก เอาไว้ค่ำๆป้าจะเอาของอร่อยๆมาให้กิน”
โยธินไม่เคยเข้าร่วมพิธีงานศพใครที่บ้านนอกมาก่อน พอได้ยินเข้าก็บังเกิดความกระตือรือร้นทันที บางทีเขาอาจจะได้เก็บบรรยากาศมาใช้เขียนในนิยาย จึงขอตามไปด้วยทันที
“ลุง ป้าครับ ผมขอตามไปด้วยได้ไหมครับ เผื่อว่า…”
ป้านางหันไปสบตากับสามีนางเพื่อขอความเห็น แต่กำนันชิดลมนิ่งพิจารณาสักครู่ก็เอ่ยปรามขึ้น
“อย่าไปเลยธิน ลุงรู้ว่าเจ้าต้องการไปทำไม มันไม่มีอะไรน่าดูหรอก งานศพ มีแต่ญาติพี่น้อง คนใกล้ชิดร่ำให้เศร้าโศกถ้าหลานตั้งใจแค่ค้นคว้าข้อมูล ไม่มีเจตนาไปเพื่อแสดงความเสียใจจริงๆ ก็อย่าไปเลย มันไม่ดีหรอก”
ป้านางไม่อยากให้หลานชายไปงานศพอยู่แล้ว โดยเฉพาะงานนี้ ว่าที่จริงแม้แต่ตัวเธอเองก็ไม่อยากไปนัก เนื่องจากเสียงโจษขานในทางไม่ดีที่ได้ยินมา แต่ในฐานะเมียกำนัน งานศพลูกบ้านนางจะไม่ดูดำดูดีก็ไม่ได้
“เชื่อลุงเขาเถอะ ธินขับรถมาตั้งไกล ไปพักผ่อนหรือหาอะไรกินก่อน ป้าเองก็ไป เอ่อ พอเป็นพิธี ไม่นานก็กลับมาแล้วเอาอย่างนี้ เดี๋ยวป้าจะให้คนมาอยู่เป็นเพื่อนหาข้าวหาปลาให้กิน”
เมื่อทั้งลุงทั้งป้าเห็นตรงกันเป็นเอกฉันท์เช่นนี้ โยธินจะดันทุรังต่อก็ใช่ที่ ได้แต่ต้องทำตาม
“ครับ” ชายหนุ่มรับคำอย่างซ่อนความผิดหวังไว้ในใจ
สามชั่วโมงผ่านไป ลุงกำนันและป้านางของเขายังไม่มีแนวโน้มว่าจะกลับ รวมถึงไม่มีวี่แววของใครคนไหน ที่ป้าปรารภไว้ก่อนไปว่าจะส่งมาเป็นเพื่อนที่บ้าน
โยธินยังไม่หิว เขาเจอเหล้านอกที่ลุงชิดลมเก็บไว้ เลยฉวยมาเปิดรินจิบๆแก้เบื่อ จะเรียกว่าถือวิสาสะคงไม่ได้ ลุงกำนันไม่เคยหวงอะไรสำหรับเขาทั้งนั้น นับตั้งแต่สองสามีภรรยาสูญเสียลูกชายไปด้วยอุบัติเหตุ ทั้งสองก็เปลี่ยนมาทุ่มเทความรักให้กับชายหนุ่มราวกับแก้วตาดวงใจ
“บ้านช่อง เงินทองที่นา ที่ไร่ฉัน เห็นจะไม่ตกเป็นของใครหรอก ชิดชัย” กำนันชิดลมพูดเปรยๆกับน้องชาย หรือบิดาของโยธินในวันหนึ่ง
“หลานฉันมันไม่เป็นงานไร่ งานนาก็จริง แต่มันก็ประกอบอาชีพสุจริต ไม่เล่นการพนัน ไม่ติดยา แถมยังซื่อสัตย์และกตัญญู ถ้าฉันเกิดเป็นอะไรไปก่อน ก็ไว้วางใจได้ว่ามันจะไม่ทิ้งนาง ป้าของมัน และไม่ผลาญสมบัติฉัน”
นั่งจิบเพลินๆ อารมณ์เคลิ้มๆได้ที่ กำลังคิดถึงเค้าโครงเรื่องของนิยายตนเอง ชายหนุ่มก็มีอันต้องร่างสะดุ้ง เพราะได้ยินน้ำเสียงเฉียบเย็นมาจากข้างหลัง
“ กินเหล้าสะบัดเลยนะ ท้องว่าง ไม่รู้จักหาข้าวหาปลารองท้องก่อน เดี๋ยวก็เมาปลิ้นหรอก”
โยธินแทบสำลักน้ำอำพันในมือ หันขวับมามองทันที แล้วก็ได้เห็นผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ข้างหลัง แว่บแรกของสายตาที่เก็บรายละเอียดได้ ทรวดทรงองค์เอวหล่อนบ่งบอกว่าเจริญวัยเกินรุ่นกำดัดแล้ว แต่ใบหน้ารูปหัวใจนั้นกลับดูอ่อนเยาว์ราวกับเด็กหญิง ดวงตาสีนิลเลื่อมเป็นประกายกำลังจ้องมองมา
แม้วิธีการพูดเจ้าหล่อนจะดูแข็งๆ ใบหน้าปราศจากรอยยิ้ม แต่อะไรบางอย่างในตัวหญิงคนนี้ทำให้โยธินรู้สึกว่าเป็นการตักเตือนด้วยความห่วงใยมากกว่าประชดประชัน
“ขอโทษครับ คุณคือ? มาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ ผมนั่งมองตรงหน้าต่างไปทางประตูรั้วหน้าบ้านตลอด ไม่เห็นมีใครเดินเข้ามา”
ชายหนุ่มไม่ได้พูดในเชิงไม่พอใจ แต่เขางงว่ามีคนเดินผ่านประตูหน้าบ้าน ย่องกริบมาข้างหลังได้อย่างไรโดยที่ไม่รู้ตัว
หญิงสาวมีสีหน้าเหมือนกับว่ารำคาญเล็กน้อย รอยยิ้มลึกลับหนึ่งผุดขึ้นที่มุมปากของหล่อน อย่างยากจะอ่านออกได้
“ฉันจะมาเมื่อไหร่ อย่างไรเป็นเรื่องของฉัน เอาเป็นว่าไม่ได้เข้ามาทางประตูนั้นแล้วกัน คุณเลยมองไม่เห็น”
โยธินทำสีหน้าฉงนสนเท่ห์ มองดูหล่อนด้วยความสงสัยอย่างเปิดเผย
“ฉันไม่ใช่พวกย่องเบาหรอก และรู้จักกับเจ้าของบ้านเป็นอย่างดี” ยิ้มนั้นแปรเปลี่ยนเป็นขบขันในท่าทีของชายหนุ่ม
“เลยมาช่วยดูแลให้ในบางโอกาส”
ชายหนุ่มทำหน้านิ่งนึกทบทวนสักครู่ ก็ถึงบางอ้อ
“ที่แท้คุณคือคนที่ป้านางส่งมาอยู่เป็นเพื่อนผมนั่นเอง โถ ทีแรกผมก็นึกว่าจะเป็นผู้ชาย ว่าจะชวนกินเหล้าคุยกันเสียหน่อย เก็บข้อมูล”
“ถึงฉันเป็นผู้หญิงแล้วยังไง” เสียงนั้นถามอย่างหยอกเย้ามากกว่าจริงจัง “ ผู้ชายสมัยนี้ไม่ชอบดื่มเหล้าเคล้านารีหรือ”
ท่าที การพูดการจาที่ทันคนนั้น ไม่มีกริยาของสาวชาวท้องไร่ท้องนาให้เห็นแม้แต่น้อย ทำให้สายตาของชายหนุ่มฉายแววประหลาดใจออกมา หากเขาก็ตอบตามอุปนิสัยตนเองที่ไม่เสแสร้ง
“ก็คงจะชอบกันทุกยุคสมัยแหละครับ แต่เผอิญตัวผมกินเพื่อผ่อนคลาย ไม่ได้ต้องการอย่างอื่น”
พูดจบก็สังเกตหล่อนอย่างพิถีพิถันมากกว่าเดิม เพราะเขาไม่เคยประสบพบเจอผู้หญิงแบบนี้มาก่อนในชีวิต หญิงสาวทำเหมือนไม่รู้ตัวว่าถูกมองอย่างพินิจ มองไปรอบๆพลางพูดขึ้นว่า
“ใจคอคุณจะไม่ชวนฉันนั่งหรือ หรือจะปล่อยให้ฉันยืนอยู่แบบนี้” อากัปกิริยาของเธอไม่ว่าจะเผลอหรือไม่ก็ตาม แต่ดูไปดูมาคล้ายพูดกับคนที่อ่อนวัยวุฒิกว่า
แน่นอนชายหนุ่มว่าไม่ทันจับกระแสนั้นได้ รีบหาเก้าอี้มาวางให้นั่งทันทีด้วยคิดถึงมารยาทก่อน พูดออกมาด้วยความเก้อเขินอย่างแท้จริง
“ โอ้ว ต้องขอโทษด้วยครับ ผมก็มัวแต่สงสัยว่าคุณเข้าบ้านมาทางไหน ลุงกำนันแกปลูกรั้วรอบขอบชิดขนาดนี้”
กริยาลุกรนที่ดูไม่แกล้งดัดของโยธิน ทำดวงตาสวยนั้นทอประกายแววพึงพอใจขึ้นวูบหนึ่ง นั่งลงอย่างสวยงามแบบกุลสตรี
“บุญของเธอแล้วนางเอ้ย เสียลูกไปแต่ก็ ได้ลูกชายที่ไม่เลวมาแทน” เสียงนั้นเหมือนเจ้าตัวดีใจแทนจึงรำพึงออกมาด้วยควาเผลอเรอ แต่เผอิญโยธินเกิดได้ยินขึ้นมา คิ้วเข้มของเขาจึงขมวดเป็นปมด้วยความคลางแคลง
“ยังไงครับ คุณรู้เรื่องพี่ชายผมที่เสียไป แสดงว่าคุณต้องรู้จักกับครอบครัวคุณลุงคุณป้าผมดีทีเดียว”
“ฉันรู้” รูปหน้างามงดมีแววตรึกตรอง เหมือนมีการชั่งใจว่าควรพูดต่อดีหรือไม่ แต่แล้วโยธินที่รอฟังอยู่อย่างตั้งใจก็ต้องสะดุ้ง เพราะสีหน้าของหญิงสาวเบื้องหน้าแปรเปลี่ยนไป เธอเบือนหน้าที่ตระหนกไปมองยังนอกบ้าน
“ลุงกับป้าคุณกำลังเดินทางกลับ มีอะไรไม่ดีตามหลังมาด้วย ฉันต้องออกไปรับทั้งสองคนกลับบ้านมาด้วยตัวเอง ไม่เช่นนั้นไม่ปลอดภัยแน่”
ลักษณะเธอเหมือนเห็นอะไร เขารีบชะโงกหน้ามองตามก็ไม่เห็น นอกจากทิวสวนมีคันคู ร่องน้ำที่ขุดชักมาหล่อเลี้ยงพืชผลของลุงกำนัน
ผู้หญิงคนนี้ผุดลุกขึ้นอย่างว่องไว ก่อนเธอจะจากไปได้พูดย้ำชัดทุกถ้อยคำในโสตหูชายหนุ่มอย่างขึงขัง
“ฉันจำเป็นต้องไป ระหว่างนี้ อย่าลงจากเรือน อย่าเปิดประตูบ้าน หรืออนุญาตให้ใครเข้ามาในขอบเขตบ้าน ไม่ว่าจะด้วยการกระทำที่เชื้อเชิญ หรือแม้กระทั่งวาจา ใครจะมาเรียกก็ช่าง ให้อยู่เฉยๆทำเอาหูทวนลมอยู่ตรงนี้ ไม่ต้องตอบรับด้วยประการทั้งปวง แม้จะเห็นด้วยสายตาว่าเป็นลุงกับป้าคุณก็ตาม ถ้ามาขอให้เปิดประตูให้ก็อย่าเปิดเป็นอันขาดจงใช้สติปัญญาคิดเอา ทั้งสองคนเป็นเจ้าของบ้านอยู่แล้ว ทำไมจะเข้าบ้านตัวเองไม่ได้ เว้นเสียแต่ว่าเป็นอย่างอื่น”
พอเสียงพูดหายไป อยู่ดีๆตาของชายหนุ่มก็เกิดทัศนวิสัยพร่ามัวขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล เมื่อกระพริบตาถี่ๆเพื่อให้ชัดเจน ก็ปรากฎว่าร่างของหญิงสาวที่พอพูดจบก็ได้อันตรธานหายไป โดยไม่เห็นแม้แต่แผ่นหลังไวๆแม้แต่น้อยเหมือนกับว่าปุปปับก็เดินแทรกอากาศล่องหนไป
โยธินสะบัดหน้าไล่ความงุนงง รีบโผล่หน้าไปดูทางหน้าต่าง ในใจคิดว่าต่อให้หญิงสาวปริศนาคนนี้เคลื่อนไหวราวกับลมกลดอย่างไร ด้วยระยะความห่างระหว่างตัวบ้านกับประตูหน้า หล่อนก็ไม่มีทางวิ่งเร็วจนพ้นสายตาเขาไปได้โดยไม่เห็นร่างหล่อนลับหลังไป
แต่แล้ว สิ่งที่ได้เห็นก็ค้านทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ทั้งหมด ประตูหน้าบ้านยังคงปิดสนิทอย่างเดิม ไม่มีร่องรอยถูกเลื่อนเปิดออกแม้แต่น้อย มองข้ามออกไปนอกรั้วก็ไม่เห็น ว่ามีใครเพิ่งออกไป ชายหนุ่มเดินเลอะเลือนสำรวจทั่วทั้งตัวบ้านและก็ได้พบกับความว่างเปล่าไม่มีเงาร่างของผู้หญิงคนนั้น หรืออะไรก็ตามที่มีตัวตนให้เห็นภายในสิบกว่านาทีก่อนหน้านี้
โยธินกลับมาที่เดิมยืนเหม่อมองออกไปนอกหน้าหน้าต่างอย่างมึนงง ไม่รู้ว่าเพราะด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์หรือสติสตังในที่สุดเขาก็กระดกแก้วในมือ สาดของเหลวเข้าลำคอจนหมดทีเดียว เพราะนั้นคือสิ่งเดียวที่พึ่งได้ในตอนนี้
ไม่ต้องหาเหตุผลอะไรอีกแล้ว ต่อให้หาก็ไม่เจอข้อไหนที่พอจะเข้าท่ามาอธิบายได้ เพราะสิ่งที่เขาเพิ่งประสบมามีเพียงคำตอบเดียว
ผี วิญญาณสัมภเวสีหรือ เจ้าที่เจ้าทางอะไรก็ตามสักอย่าง นั่นคือคือสิ่งที่เขาเพิ่งเจอมา
เขียนนิยายมาไม่รู้กี่เล่มกี่เรื่อง ที่ผ่านมาไม่ว่าจะเรียกว่าจินตนาการหรือยกเมฆอะไรก็ตาม แต่ในที่สุดก็ได้โดนเข้าจังๆกับตัวจนได้
ชายหนุ่มจำต้องรินเหล้าให้ตัวเองอีกแก้วหนึ่งอย่างไม่มีทางเลือก เขามองออกไปยังฝั่งแนวต้นมะพร้าวสูงไล่เรียงอย่างเลื่อนลอย เพราะยังรวมสติกลับมาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันไม่ได้ แล้วก็เลื่อนสายตามา
จนกระทั่งได้เห็นอะไรบางอย่างหลังกลุ่มต้นไม้เลยลานดินที่ถูกเกลี่ยสะอาดนอกรั้วหน้าบ้านนั่นแหละ
ร่างๆหนึ่งทำตัวผลุบๆโผล่หลังลำต้นไม้ซึ่งถูกปลูกขึ้นในระนาบเดียวเป็นทิวแถว ซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่ามันคือต้นอะไร แต่ลักษณะของร่างนั้นคือลับๆล่อๆเหมือนแอบมองมาทางบ้านหลังนี้
ชายหนุ่มหลบเข้าหลังหน้าต่างห้องโดยสัญชาตญาณ การแอบมาด้อมๆมองๆเวลามืดค่ำอย่างนี้ ไม่ใช่วิสัยปกติของคนเข้าตามตรอกออกตามประตูแน่นอน ใครๆก็รู้ว่าลุงกำนันของเขานั้นคนจริ