(๑)ฤกษ์ดี ยามดี ในแบบพุทธวจน
ภิกษุทั้งหลาย !
สัตว์เหล่าใด ประพฤติสุจริตด้วยกาย ประพฤติสุจริตด้วยวาจา ประพฤติสุจริตด้วยใจ ในเวลาเช้า เวลาเช้าก็เป็นเวลาเช้าที่ดีของสัตว์ทั้งเหล่านั้น.
สัตว์เหล่าใดประพฤติสุจริตด้วยกาย ประพฤติสุจริตด้วยวาจา ประพฤติสุจริตด้วยใจ ในเวลาเที่ยง เวลาเที่ยงก็เป็นเวลาเที่ยงที่ดีของสัตว์เหล่านั้น.
สัตว์เหล่าใดประพฤติสุจริตด้วยกาย ประพฤติสุจริตด้วยวาจา ประพฤติสุจริตด้วยใจ ในเวลาเย็น เวลาเย็นก็เป็นเวลาที่ดีของสัตว์เหล่านั้น.
สัตว์ทั้งหลายประพฤติชอบในเวลาใด
เวลานั้น ชื่อว่าเป็นฤกษ์ดี มงคลดี สว่างดี รุ่งดี ขณะดี ยามดี
และบูชาดี ในพรหมจารีบุคคลทั้งหลาย.
>>>คำถาม...พระสูตรนี้ขัดแย้งกับพระสูตรที่ว่าพระเหยียบผ้าให้เป้นมงคลได้หรือป่าวครับ ถ้าการประพฤติกาย วาจา ใจสุจริตถือเป้นมงคลเท่านั้น หรือผมเข้าใจผิดครับ
(๒)สมัยต่อมา สตรีผู้หนึ่งปราศจากครรภ์ นิมนต์ภิกษุทั้งหลายไป ปูผ้าแล้ว ได้กล่าวว่า ท่านเจ้าข้า ขอพระคุณเจ้าจงเหยียบผ้า ภิกษุทั้งหลายรังเกียจ ไม่เหยียบ นางได้กล่าวอีกว่าท่านเจ้าข้า ขอพระคุณเจ้าจงเหยียบผ้า เพื่อประสงค์ ให้เป็นมงคล ภิกษุทั้งหลายรังเกียจ ไม่เหยียบจึงสตรีผู้นั้น เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า เมื่อเขาขอเพื่อประสงค์ให้เป็นมงคล ไฉนพระคุณเจ้าทั้งหลาย จึงไม่เหยียบผืนผ้าที่ปูให้ ภิกษุทั้งหลายได้ยินสตรีผู้นั้น เพ่งโทษ ติเตียนโพนทะนาอยู่ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคๆ ตรัสว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลายคฤหัสถ์ ต้องการมงคล เราอนุญาตให้ผู้ที่ถูก คฤหัสถ์ ขอร้องให้ เหยียบเพื่อความเป็นมงคล เหยียบผืนผ้าได้
>>>คือผมไม่เข้าใจว่าแค่พระเหยียบผ้าให้เราแล้วผ้าจะกลายเป้นมงคลได้ยังไง มันเป้นมิจฉาทิฐิรึป่าวครับ ว่ากรรมหรือสุขทุกข์เกิดจากผู้อื่นบันดาล มงคลมันควรจะอยู่ที่กาย วาจา ใจ ของเราไม่ใช่เหรอครับ รบกวนผู้รู้ช่วยตอบคำถามทีนะครับ
สงสัยเรื่องมงคลครับ
ภิกษุทั้งหลาย !
สัตว์เหล่าใด ประพฤติสุจริตด้วยกาย ประพฤติสุจริตด้วยวาจา ประพฤติสุจริตด้วยใจ ในเวลาเช้า เวลาเช้าก็เป็นเวลาเช้าที่ดีของสัตว์ทั้งเหล่านั้น.
สัตว์เหล่าใดประพฤติสุจริตด้วยกาย ประพฤติสุจริตด้วยวาจา ประพฤติสุจริตด้วยใจ ในเวลาเที่ยง เวลาเที่ยงก็เป็นเวลาเที่ยงที่ดีของสัตว์เหล่านั้น.
สัตว์เหล่าใดประพฤติสุจริตด้วยกาย ประพฤติสุจริตด้วยวาจา ประพฤติสุจริตด้วยใจ ในเวลาเย็น เวลาเย็นก็เป็นเวลาที่ดีของสัตว์เหล่านั้น.
สัตว์ทั้งหลายประพฤติชอบในเวลาใด
เวลานั้น ชื่อว่าเป็นฤกษ์ดี มงคลดี สว่างดี รุ่งดี ขณะดี ยามดี
และบูชาดี ในพรหมจารีบุคคลทั้งหลาย.
>>>คำถาม...พระสูตรนี้ขัดแย้งกับพระสูตรที่ว่าพระเหยียบผ้าให้เป้นมงคลได้หรือป่าวครับ ถ้าการประพฤติกาย วาจา ใจสุจริตถือเป้นมงคลเท่านั้น หรือผมเข้าใจผิดครับ
(๒)สมัยต่อมา สตรีผู้หนึ่งปราศจากครรภ์ นิมนต์ภิกษุทั้งหลายไป ปูผ้าแล้ว ได้กล่าวว่า ท่านเจ้าข้า ขอพระคุณเจ้าจงเหยียบผ้า ภิกษุทั้งหลายรังเกียจ ไม่เหยียบ นางได้กล่าวอีกว่าท่านเจ้าข้า ขอพระคุณเจ้าจงเหยียบผ้า เพื่อประสงค์ ให้เป็นมงคล ภิกษุทั้งหลายรังเกียจ ไม่เหยียบจึงสตรีผู้นั้น เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า เมื่อเขาขอเพื่อประสงค์ให้เป็นมงคล ไฉนพระคุณเจ้าทั้งหลาย จึงไม่เหยียบผืนผ้าที่ปูให้ ภิกษุทั้งหลายได้ยินสตรีผู้นั้น เพ่งโทษ ติเตียนโพนทะนาอยู่ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคๆ ตรัสว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลายคฤหัสถ์ ต้องการมงคล เราอนุญาตให้ผู้ที่ถูก คฤหัสถ์ ขอร้องให้ เหยียบเพื่อความเป็นมงคล เหยียบผืนผ้าได้
>>>คือผมไม่เข้าใจว่าแค่พระเหยียบผ้าให้เราแล้วผ้าจะกลายเป้นมงคลได้ยังไง มันเป้นมิจฉาทิฐิรึป่าวครับ ว่ากรรมหรือสุขทุกข์เกิดจากผู้อื่นบันดาล มงคลมันควรจะอยู่ที่กาย วาจา ใจ ของเราไม่ใช่เหรอครับ รบกวนผู้รู้ช่วยตอบคำถามทีนะครับ