จำคุกม็อบกปปส.ขัดขวางรับสมัครส.ส. ปี56 ตั้งเเต่18-24 เดือน ไม่รอการลงโทษ
https://www.matichon.co.th/local/crime/news_3897298
เมื่อวันที่ 28 มีนาคม ที่ห้องพิจารณา 804 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดีม็อบขัดขวางรับสมัครส.ส.คดีดำอ.231/2565 ที่พนักงานอัยการคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ฟ้องนาย
ชานนท์ ขันทอง กับพวกรวม 13 คน ซึ่งเป็นมวลชนการชุมนุม กปปส.เป็นจำเลยในความผิดฐาน ร่วมกันมั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปก่อความวุ่นวายในบ้านเมืองฯ
โดยอัยการโจทก์นำคดีมายื่นฟ้องต่อศาลเมื่อวันที่ 3 ก.พ.2565 ระบุฟ้องความผิดสรุปว่า เมื่อวันที่ 26 ธ.ค.2556 เวลากลางวันจำเลยกับพวกอีกหลายคนที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้องร่วมกันมีและใช้อาวุธ โดยข่มขู่ ประทุษร้ายเจ้าหน้าที่ โดยใช้รถยนต์ติดเครื่องขยายเสียง ขว้างปา ยิงลูกแก้ว หัวน็อต ไม้หน้าสาม ก้อนซีเมนต์ตัวหนอน เข้าใส่เจ้าพนักงาน ถอยรถขนขยะชนประตูเพื่อเปิดทางแล้วปิดล้อมประตูทางเข้าที่1และ2 ของศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร(ไทย-ญี่ปุ่น) ดินแดง ก่อนบุกเข้าไปในภายอาคารกีฬาเวสน์ 2 ปิดล้อมอาคาร ขัดขวางมิให้เจ้าหน้าที่คณะกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้งปฏิบัติหน้าที่ รับสมัครเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(ส.ส.)แบบบัญชีรายชื่อระหว่างวันที่ 23-27 ธ.ค.2556 เวลา 08.30 น.-16.30 น. อันเป็นการกระทำผิดตามกฎหมาย เหตุเกิดที่แขวง-เขตดินแดง กทม.
ขอให้ลงโทษพวกจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58,83,90 พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณกรรมการเลือกตั้ง พ.ศ.2550 และฯ
พวกจำเลยได้ประกันตัว
ศาลพิเคราะห์ เเล้วการกระทำของ จำเลยทั้ง13มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 215วรรสอง, 216,365(1) (2) ประกอบมาตรา 362, 364พรป.ว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. 2550มาตรา 43วรรคสอง (เดิม) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของ จำเลยทั้ง13เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษฐานร่วมกัน บุกรุกอสังหาริมทรัพย์และเคหสถาน โดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลัง ประทุษร้าย โดยมีอาวุธหรือโดยร่วมกันกระทำความผิดตั้งแต่สองคนขึ้นไป ซึ่งเป็น กฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90ให้จำคุก คนละ 2 ปี เพิ่มโทษจำเลยที่ 2 หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92เป็นจำคุกจำเลยที่ 2มีกำหนด 2ปี 8เดือน
จำเลยที่ 1-9 และที่ 11-13 ให้การในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษ ให้หนึ่งในสี่ จำเลยที่ 10 ให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก จำเลยที่ 1ที่ 3-9 และที่ 11-13 คนละ 18 เดือน จำคุกจำเลยที่ 2มีกำหนด24 เดือน จำคุกจำเลยที่ 10มีกำหนด 16 เดือน พิเคราะห์พฤติการณ์ แห่งคดีแล้ว เห็นว่า เมื่อกลุ่มผู้ชุมนุมเริ่มก่อเหตุรุนแรงโดยใช้หนังสติ๊กยิงหัวน็อต ลูกแก้ว ลูกเหล็ก และขว้างปาก้อนอิฐ ก้อนซีเมนต์ตัวหนอน ประทัดยักษ์ ระเบิดปิงปอง เป็นต้น ใส่เจ้าพนักงานตำรวจที่รักษาความสงบเรียบร้อยในที่เกิดเหตุ จำเลยทั้ง13 ก็ควรเลิก ชุมนุมตามที่เจ้าพนักงานตำรวจแจ้งให้เลิก แต่จำเลยทั้ง13กลับไม่เลิกชุมนุมแล้วยัง บุกรุกเข้ามาในที่เกิดเหตุอีก พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องร้ายแรงที่ไม่สมควรรอการลงโทษ ให้แก่จำเลยทั้งสิบสาม ริบของกลางทั้งหมดตามบัญชีท้ายฟ้อง บวกโทษจำคุกจำเลยที่ 4 ที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 13530/2555จำนวน 3 เดือน และใน คดีอาญาหมายเลขแดงที่ คงที่ 13531/2555จำนวน 3 เดือน ของศาลแขวงธนบุรี เข้ากับ คดีนี้เป็นจำคุกจำเลยที่ 4มีกำหนด 24เดือน บวกโทษจำคุกจำเลยที่ 5 ที่รอการลงโทษ ไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 336/2555จำนวน 1 เดือน ของศาลแขวงพระโขนง เข้ากับคดีนี้เป็นจำคุกจำเลยที่ 5มีกำหนด 19 เดือน นับโทษจำคุกจำเลยที่ 2 ในคดีนี้ ต่อจากโทษจำคุกในคดีอาญาหมายเลขแดงของศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
สัมภาษณ์ : ดร.ปริญญา ฟันธง ทักษิณกลับไทย ประยุทธ์ได้ประโยชน์ การเมือง 2 ขั้วปะทุแรง
https://www.matichon.co.th/matichon-tv/news_3896722
สัมภาษณ์พิเศษ : ผศ.ดร.
ปริญญา เทวานฤมิตรกุล คณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ จาก เจาะปาร์ตี้ลิสต์ 100 ที่นั่งชนวนพรรคแตก วิเคราะห์เลือกตั้งเชิงยุทธศาสตร์ เพื่อไทย-ก้าวไกล รบกันหนัก ชี้
ทักษิณกลับไทย ยอมติดคุก ฟันธง
ประยุทธ์ ได้ประโยชน์ ชมคลิปด้านล่าง
"ธุรกิจก่อสร้างทั่วไป" ทุนต่ำกว่า 1 ล้านบาทแชมป์เลิกกิจการ
พาณิชย์เปิดสถิติเดือนก.พ.ธุรกิจเลิกกิจการ 869 ราย มูลค่า 2,939.46 ล้านบาท ก่อสร้างอาคารทั่วไปครองแชมป์ รองลงมาเป็นอสังหาริมทรัพย์-ค้าปลีก
นาย
ทศพล ทังสุบุตร อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยว่า ธุรกิจเลิกประกอบกิจการเดือนกุมภาพันธ์มีจำนวน 869 ราย โดยมีมูลค่า 2,939.46 ล้านบาท โดยธุรกิจเลิกประกอบกิจการสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป จำนวน 89 ราย คิดเป็น 10% รองลงมาคือ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 45 ราย คิดเป็น 5% และธุรกิจขายปลีกสินค้าอื่นๆ ในร้านค้าทั่วไป จำนวน 25 ราย คิดเป็น 3% ตามลำดับ
นอกจากนี้หากแบ่งตามช่วงทุนธุรกิจเลิกประกอบกิจการทั่วประเทศมากที่สุดคือ ช่วงทุนไม่เกิน 1 ล้านบาท จำนวน 639 ราย คิดเป็น 73.53% รองลงมาช่วงทุนมากกว่า 1- 5 ล้านบาท จำนวน 188 ราย คิดเป็น 21.64% ลำดับถัดไป คือ ช่วงทุนมากกว่า 5-100 ล้านบาท จำนวน 38 ราย คิดเป็น 4.37% และช่วงทุนมากกว่า 100 ล้านบาท มีจำนวน 4 ราย คิดเป็น 0.46% ตามลำดับ
สำหรับการจดทะเบียนธุรกิจจัดตั้งใหม่เดือนกุมภาพันธ์มีจำนวน 8,537 ราย โดยมีมูลค่าทุนจดทะเบียนจำนวน 19,139.78 ล้านบาท โดยประเภทธุรกิจจัดตั้งใหม่สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป จำนวน 715 ราย คิดเป็น 8% รองลงมา คือ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 619 ราย คิดเป็น 7% และอันดับ 3 คือ ธุรกิจภัตตาคาร ร้านอาหาร จำนวน 409 ราย คิดเป็น 5% ตามลำดับ
ทั้งนี้หากแบ่งตามช่วงทุนธุรกิจจัดตั้งใหม่ทั่วประเทศมากที่สุด ได้แก่ ช่วงทุนไม่เกิน 1 ล้านบาท มีจำนวน 5,879 ราย คิดเป็น 68.87% รองลงมาช่วงทุนมากกว่า 1-5 ล้านบาท จำนวน 2,564 ราย คิดเป็น 30.03% ลำดับถัดไป คือ ช่วงทุนมากกว่า 5-100 ล้านบาท มีจำนวน 86 ราย คิดเป็น 1.01% และช่วงทุนมากกว่า 100 ล้านบาท จำนวน 8 ราย คิดเป็น 0.09%
ส่วนธุรกิจดำเนินกิจการอยู่มีจำนวน 857,964 ราย มูลค่าทุน 21.09 ล้านล้านบาท จำแนกเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด/ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล จำนวน 201,123 ราย คิดเป็น 23.44% บริษัทจำกัด จำนวน 655,457 ราย คิดเป็น 76.40% และบริษัทมหาชนจำกัด จำนวน 1,384 ราย คิดเป็น 0.16% ตามลำดับ
นอกจากนี้หากแบ่งตามช่วงทุน ธุรกิจส่วนใหญ่มีช่วงทุนไม่เกิน 1 ล้านบาท จำนวน 503,689 ราย คิดเป็น 58.71% รวมมูลค่าทุน 0.44 ล้านล้านบาท คิดเป็น 2.10% รองลงมา คือ ช่วงทุนมากกว่า 1-5 ล้านบาท จำนวน 260,335 ราย คิดเป็น 30.34% รวมมูลค่าทุน 0.89 ล้านล้านบาท คิดเป็น 4.21% ช่วงถัดไปคือ ช่วงทุนมากกว่า 5-100 ล้านบาท จำนวน 76,479 ราย คิดเป็น 8.91% รวมมูลค่าทุน 2.10 ล้านล้านบาทคิดเป็น 9.96% และช่วงทุนมากกว่า 100 ล้านบาท จำนวน 17,461 ราย คิดเป็น 2.04% รวมมูลค่าทุน 17.66 ล้านล้านบาท คิดเป็น 83.73% ตามลำดับ
ขณะที่การลงทุนประกอบธุรกิจในไทยภายใต้กฎหมายต่างด้าวเดือนกุมภาพันธ์มีการอนุญาตให้คนต่างชาติประกอบธุรกิจทั้งสิ้น มีจำนวน 61 ราย แบ่งเป็นใบอนุญาตประกอบธุรกิจ จำนวน 15 ราย และหนังสือรับรองประกอบธุรกิจ จำนวน 46 ราย โดยมีเม็ดเงินลงทุนทั้งสิ้น 21,627 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 322% เมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา (มกราคม 2566) และเพิ่มขึ้น 274% หากเทียบช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
ส่วนการลงทุนนักลงทุนต่างชาติ โดยสัญชาติที่เข้ามาลงทุนในไทยมากที่สุด ได้แก่ สิงคโปร์ สำหรับประเภทธุรกิจที่นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุน เป็นธุรกิจที่สอดคล้องกับนโยบายส่งเสริมการลงทุนของภาครัฐ และสนับสนุนธุรกิจ ที่เกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ (New S-Curve) โดยเฉพาะธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ
JJNY : จำคุกม็อบกปปส.ขัดขวางรับสมัครส.ส.│ดร.ปริญญา ฟันธง│ก่อสร้าง ต่ำกว่า 1 ล.แชมป์เลิกกิจการ│มืดมิด! ค่า PM 2.5 วิกฤต
https://www.matichon.co.th/local/crime/news_3897298
เมื่อวันที่ 28 มีนาคม ที่ห้องพิจารณา 804 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดีม็อบขัดขวางรับสมัครส.ส.คดีดำอ.231/2565 ที่พนักงานอัยการคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ฟ้องนายชานนท์ ขันทอง กับพวกรวม 13 คน ซึ่งเป็นมวลชนการชุมนุม กปปส.เป็นจำเลยในความผิดฐาน ร่วมกันมั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปก่อความวุ่นวายในบ้านเมืองฯ
โดยอัยการโจทก์นำคดีมายื่นฟ้องต่อศาลเมื่อวันที่ 3 ก.พ.2565 ระบุฟ้องความผิดสรุปว่า เมื่อวันที่ 26 ธ.ค.2556 เวลากลางวันจำเลยกับพวกอีกหลายคนที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้องร่วมกันมีและใช้อาวุธ โดยข่มขู่ ประทุษร้ายเจ้าหน้าที่ โดยใช้รถยนต์ติดเครื่องขยายเสียง ขว้างปา ยิงลูกแก้ว หัวน็อต ไม้หน้าสาม ก้อนซีเมนต์ตัวหนอน เข้าใส่เจ้าพนักงาน ถอยรถขนขยะชนประตูเพื่อเปิดทางแล้วปิดล้อมประตูทางเข้าที่1และ2 ของศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร(ไทย-ญี่ปุ่น) ดินแดง ก่อนบุกเข้าไปในภายอาคารกีฬาเวสน์ 2 ปิดล้อมอาคาร ขัดขวางมิให้เจ้าหน้าที่คณะกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้งปฏิบัติหน้าที่ รับสมัครเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(ส.ส.)แบบบัญชีรายชื่อระหว่างวันที่ 23-27 ธ.ค.2556 เวลา 08.30 น.-16.30 น. อันเป็นการกระทำผิดตามกฎหมาย เหตุเกิดที่แขวง-เขตดินแดง กทม.
ขอให้ลงโทษพวกจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58,83,90 พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณกรรมการเลือกตั้ง พ.ศ.2550 และฯ
พวกจำเลยได้ประกันตัว
ศาลพิเคราะห์ เเล้วการกระทำของ จำเลยทั้ง13มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 215วรรสอง, 216,365(1) (2) ประกอบมาตรา 362, 364พรป.ว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. 2550มาตรา 43วรรคสอง (เดิม) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของ จำเลยทั้ง13เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษฐานร่วมกัน บุกรุกอสังหาริมทรัพย์และเคหสถาน โดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลัง ประทุษร้าย โดยมีอาวุธหรือโดยร่วมกันกระทำความผิดตั้งแต่สองคนขึ้นไป ซึ่งเป็น กฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90ให้จำคุก คนละ 2 ปี เพิ่มโทษจำเลยที่ 2 หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92เป็นจำคุกจำเลยที่ 2มีกำหนด 2ปี 8เดือน
จำเลยที่ 1-9 และที่ 11-13 ให้การในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษ ให้หนึ่งในสี่ จำเลยที่ 10 ให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก จำเลยที่ 1ที่ 3-9 และที่ 11-13 คนละ 18 เดือน จำคุกจำเลยที่ 2มีกำหนด24 เดือน จำคุกจำเลยที่ 10มีกำหนด 16 เดือน พิเคราะห์พฤติการณ์ แห่งคดีแล้ว เห็นว่า เมื่อกลุ่มผู้ชุมนุมเริ่มก่อเหตุรุนแรงโดยใช้หนังสติ๊กยิงหัวน็อต ลูกแก้ว ลูกเหล็ก และขว้างปาก้อนอิฐ ก้อนซีเมนต์ตัวหนอน ประทัดยักษ์ ระเบิดปิงปอง เป็นต้น ใส่เจ้าพนักงานตำรวจที่รักษาความสงบเรียบร้อยในที่เกิดเหตุ จำเลยทั้ง13 ก็ควรเลิก ชุมนุมตามที่เจ้าพนักงานตำรวจแจ้งให้เลิก แต่จำเลยทั้ง13กลับไม่เลิกชุมนุมแล้วยัง บุกรุกเข้ามาในที่เกิดเหตุอีก พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องร้ายแรงที่ไม่สมควรรอการลงโทษ ให้แก่จำเลยทั้งสิบสาม ริบของกลางทั้งหมดตามบัญชีท้ายฟ้อง บวกโทษจำคุกจำเลยที่ 4 ที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 13530/2555จำนวน 3 เดือน และใน คดีอาญาหมายเลขแดงที่ คงที่ 13531/2555จำนวน 3 เดือน ของศาลแขวงธนบุรี เข้ากับ คดีนี้เป็นจำคุกจำเลยที่ 4มีกำหนด 24เดือน บวกโทษจำคุกจำเลยที่ 5 ที่รอการลงโทษ ไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 336/2555จำนวน 1 เดือน ของศาลแขวงพระโขนง เข้ากับคดีนี้เป็นจำคุกจำเลยที่ 5มีกำหนด 19 เดือน นับโทษจำคุกจำเลยที่ 2 ในคดีนี้ ต่อจากโทษจำคุกในคดีอาญาหมายเลขแดงของศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
สัมภาษณ์ : ดร.ปริญญา ฟันธง ทักษิณกลับไทย ประยุทธ์ได้ประโยชน์ การเมือง 2 ขั้วปะทุแรง
https://www.matichon.co.th/matichon-tv/news_3896722
สัมภาษณ์พิเศษ : ผศ.ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล คณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ จาก เจาะปาร์ตี้ลิสต์ 100 ที่นั่งชนวนพรรคแตก วิเคราะห์เลือกตั้งเชิงยุทธศาสตร์ เพื่อไทย-ก้าวไกล รบกันหนัก ชี้ ทักษิณกลับไทย ยอมติดคุก ฟันธง ประยุทธ์ ได้ประโยชน์ ชมคลิปด้านล่าง
นายทศพล ทังสุบุตร อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยว่า ธุรกิจเลิกประกอบกิจการเดือนกุมภาพันธ์มีจำนวน 869 ราย โดยมีมูลค่า 2,939.46 ล้านบาท โดยธุรกิจเลิกประกอบกิจการสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป จำนวน 89 ราย คิดเป็น 10% รองลงมาคือ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 45 ราย คิดเป็น 5% และธุรกิจขายปลีกสินค้าอื่นๆ ในร้านค้าทั่วไป จำนวน 25 ราย คิดเป็น 3% ตามลำดับ
นอกจากนี้หากแบ่งตามช่วงทุนธุรกิจเลิกประกอบกิจการทั่วประเทศมากที่สุดคือ ช่วงทุนไม่เกิน 1 ล้านบาท จำนวน 639 ราย คิดเป็น 73.53% รองลงมาช่วงทุนมากกว่า 1- 5 ล้านบาท จำนวน 188 ราย คิดเป็น 21.64% ลำดับถัดไป คือ ช่วงทุนมากกว่า 5-100 ล้านบาท จำนวน 38 ราย คิดเป็น 4.37% และช่วงทุนมากกว่า 100 ล้านบาท มีจำนวน 4 ราย คิดเป็น 0.46% ตามลำดับ
สำหรับการจดทะเบียนธุรกิจจัดตั้งใหม่เดือนกุมภาพันธ์มีจำนวน 8,537 ราย โดยมีมูลค่าทุนจดทะเบียนจำนวน 19,139.78 ล้านบาท โดยประเภทธุรกิจจัดตั้งใหม่สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป จำนวน 715 ราย คิดเป็น 8% รองลงมา คือ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 619 ราย คิดเป็น 7% และอันดับ 3 คือ ธุรกิจภัตตาคาร ร้านอาหาร จำนวน 409 ราย คิดเป็น 5% ตามลำดับ
ทั้งนี้หากแบ่งตามช่วงทุนธุรกิจจัดตั้งใหม่ทั่วประเทศมากที่สุด ได้แก่ ช่วงทุนไม่เกิน 1 ล้านบาท มีจำนวน 5,879 ราย คิดเป็น 68.87% รองลงมาช่วงทุนมากกว่า 1-5 ล้านบาท จำนวน 2,564 ราย คิดเป็น 30.03% ลำดับถัดไป คือ ช่วงทุนมากกว่า 5-100 ล้านบาท มีจำนวน 86 ราย คิดเป็น 1.01% และช่วงทุนมากกว่า 100 ล้านบาท จำนวน 8 ราย คิดเป็น 0.09%
ส่วนธุรกิจดำเนินกิจการอยู่มีจำนวน 857,964 ราย มูลค่าทุน 21.09 ล้านล้านบาท จำแนกเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด/ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล จำนวน 201,123 ราย คิดเป็น 23.44% บริษัทจำกัด จำนวน 655,457 ราย คิดเป็น 76.40% และบริษัทมหาชนจำกัด จำนวน 1,384 ราย คิดเป็น 0.16% ตามลำดับ
นอกจากนี้หากแบ่งตามช่วงทุน ธุรกิจส่วนใหญ่มีช่วงทุนไม่เกิน 1 ล้านบาท จำนวน 503,689 ราย คิดเป็น 58.71% รวมมูลค่าทุน 0.44 ล้านล้านบาท คิดเป็น 2.10% รองลงมา คือ ช่วงทุนมากกว่า 1-5 ล้านบาท จำนวน 260,335 ราย คิดเป็น 30.34% รวมมูลค่าทุน 0.89 ล้านล้านบาท คิดเป็น 4.21% ช่วงถัดไปคือ ช่วงทุนมากกว่า 5-100 ล้านบาท จำนวน 76,479 ราย คิดเป็น 8.91% รวมมูลค่าทุน 2.10 ล้านล้านบาทคิดเป็น 9.96% และช่วงทุนมากกว่า 100 ล้านบาท จำนวน 17,461 ราย คิดเป็น 2.04% รวมมูลค่าทุน 17.66 ล้านล้านบาท คิดเป็น 83.73% ตามลำดับ
ขณะที่การลงทุนประกอบธุรกิจในไทยภายใต้กฎหมายต่างด้าวเดือนกุมภาพันธ์มีการอนุญาตให้คนต่างชาติประกอบธุรกิจทั้งสิ้น มีจำนวน 61 ราย แบ่งเป็นใบอนุญาตประกอบธุรกิจ จำนวน 15 ราย และหนังสือรับรองประกอบธุรกิจ จำนวน 46 ราย โดยมีเม็ดเงินลงทุนทั้งสิ้น 21,627 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 322% เมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา (มกราคม 2566) และเพิ่มขึ้น 274% หากเทียบช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
ส่วนการลงทุนนักลงทุนต่างชาติ โดยสัญชาติที่เข้ามาลงทุนในไทยมากที่สุด ได้แก่ สิงคโปร์ สำหรับประเภทธุรกิจที่นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุน เป็นธุรกิจที่สอดคล้องกับนโยบายส่งเสริมการลงทุนของภาครัฐ และสนับสนุนธุรกิจ ที่เกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ (New S-Curve) โดยเฉพาะธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ