ปฐพีเดือด ตอนที่5.

กระทู้สนทนา
โดย  ตรัยโศก  ณ  ริมน่าน


ตอนที่.5  ซับซ้อน
ในเช้าวันเดียวกันนั้น  ห่างออกไปกว่าสองร้อยกิโลเมตรจากตีนเขาพนมดงรักทางทิศเหนือ  ตอนหนึ่งของจังหวัดอำนาจเจริญ  มีเหตุการณ์การปะทะกันของกลุ่มขนถ่ายสิ่งผิดกฎหมายข้ามแดน  ไม่ว่าจะเป็นยาเสพติดหรืออาวุธที่มีการนำลงเรือข้ามแม่น้ำโขงมาจากฝั่งลาว  เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นซึ่งเป็นเพียงตำรวจชั้นผู้น้อย  ยศสูงสุดที่คุมกำลังพลเข้าปะทะเป็นเพียงผู้หมวดหน้าใหม่ไร้ประสบการณ์  นั่นเอง  กว่าครึ่งของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เข้าป้องกันและจับกุมจึงต้องตายในหน้าที่  นับจำนวนได้สิบเอ็ดนาย  

ด้วยว่ากลุ่มคนร้ายเป็นพวกที่เชี่ยวชาญในการรบทั้งแบบการทหารและกองโจร  ยิงปะทะแบบซึ่ง ๆ หน้าก็สามารถสกัดกั้น   บีบคั้นเจ้าหน้าที่ให้ทำได้เพียงแต่หมอบแต่หลบอยู่หลังที่กำบังเท่าที่จะหาได้   พอถึงเวลาร่นถอยปรับขบวนเป็นซุ่มโจมตีก็ทำได้ดี  ปลิดชีพเจ้าหน้าที่ร่วงเป็นใบไม้  เรียกได้ว่าชัยชนะจะต้องตกเป็นของกลุ่มคนร้ายอย่างไม่ต้องสงสัย  

ทว่า...ขณะกำลังเข้าตาจน  ตำรวจที่เหลือก็ต้องงุนงง  เพราะมีบุคคลอีกกลุ่มบุกเข้ามา  การแต่งกายล้วนปิดบังใบหน้าและร่างกายด้วยชุดสีดำซ้ำยังถืออาวุธสงคราม   

ตามสัญชาตญาณผู้พิทักษ์สันติราษฎร์  หากไม่แสดงออกอย่างโจ่งแจ้งว่าเป็นเจ้าหน้าที่  ก็มีอย่างเดียวคือต้องเป็นคนร้าย  นั่นเองทำให้ผู้หมวดหน้าใหม่คิดหนัก  สั่งกำลังพลที่เหลือยิงใส่ทั้งสองกลุ่มทันที  แต่แล้ว...ภาพที่เห็นเล่นเอาอ้าปากค้าง  

แม้จะมีสองสามคนในกลุ่มผู้มาใหม่ถูกกระสุนปืนบาดเจ็บ  แต่มีหกคนที่มาด้วยกันไม่ต้องคมกระสุนเลยสักนัดเดียว  ไม่ใช่ว่าหลบ แต่ราวกับลูกกระสุนนั้นเบี่ยงออกไปทางอื่น  ซ้ำหกคนที่ว่ายังจัดการสังหารพวกผู้ร้ายที่ทำให้เจ้าหน้าที่ทั้งหลายตึงมือได้โดยง่าย   ฆ่าเสร็จก็เอาของซึ่งเป็นทั้งยาเสพติดและอาวุธไป  ทิ้งพรรคพวกที่นอนเจ็บไว้โดยไม่ใยดี

เหตุการณ์นี้สร้างความอับอายให้แก่นักรบชุดสีกากีเป็นอย่างมาก  ทางผู้ใหญ่จึงเลือกจะปิดเป็นความลับ บอกว่าไม่มีทั้งยาเสพติดและอาวุธ  เป็นเพียงพวกผู้ร้ายข้ามแดนที่หวังเข้ามาก่อความไม่สงบเท่านั้น  พวกนั้นถูกกำจัดบางส่วนยังถูกจับกุม  

ผู้ที่ได้รับคำชมเชยในเหตุการณ์นี้ไม่ใช่ใคร  คือผู้หมวดหน้าใหม่นามว่า  ร้อยตำรวจโท  ผดุง   ธรรมจักร  และนายตำรวจที่ติดตามไปด้วยกันนั่นเอง
แน่นอนว่าผลงานครั้งนี้ลึก ๆ เจ้าตัวไม่ยินดีเลยแม้แต่น้อย รอยยิ้มจาง ๆ ยังยากจะปั้นขึ้นมาได้  ตัวหมวดผดุงซึ่งเป็นข้าราชการตงฉิน  เขาไม่ยอมรับและยังพยายามเกลี้ยกล่อมผู้ใหญ่ให้ตามหาผู้อยู่เบื้องหลัง  สถานการณ์จึงพลิกจากดีเป็นร้าย  เพื่อกำจัดคนดี กำจัดตำรวจน้ำดี  การรอบสังหารจึงเกิดขึ้น

คืนหนึ่งในอีกสามวันต่อมา  ขณะที่ผู้หมวดหนุ่มคร่ำเคร่งอยู่กับกองเอกสารเพียงน้อยนิด  ความจริงมันควรสำเร็จเสร็จสิ้นตั้งแต่ก่อนตะวันตกดินแล้ว  แต่ด้วยความที่ตนเองก็กลัดกลุ้มกับคำชมเชยจากผู้ใหญ่ซ้ำยังบอกจะเลื่อนตำแหน่งให้อีก  ตัวเขาไม่ต้องการ  

รู้กันอยู่ว่ามันไม่จริง  ของผิดกฎหมายที่ว่าถูกกลุ่มคนลึกลับขโมยไปแต่ผู้ใหญ่เลือกจะปกปิดไว้  และยังปิดปากตำรวจทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ด้วยรางวัลและตำแหน่ง  ทางผู้ใหญ่ตวาดใส่หน้าเขาด้วยความโมโหว่ามีสองทางให้เลือก  นิ่งเงียบรับตำแหน่งไป  หรือจะนอนนิ่งพูดไม่ได้ ขยับไม่ได้ไปตลอดกาล

‘ผมยอมตายดีกว่าต้องแบกหน้ารับรางวัลที่ตัวเองไม่สมควรได้  ปกปิดความจริงที่อาจทำลายชาติในอนาคต  ซุกมันเอาไว้ใต้พรมแบบนี้!’  นั่นเอง...จึงเป็นชนวนเหตุของความตายที่กำลังมาเยือนเขาตามคำขอ

พระจันทร์ลอยเด่นขึ้นตรงหัว  หมู่เมฆเคลื่อนคล้อยลอยบดบังช้า ๆ  บรรยากาศวังเวงผิดปกติ  หมวดผดุงเอนกายยืดตัวดัดหลังกับพนักเก้าอี้  เขาจับปากกามองนิ่งกับเอกสารตรงหน้า  มิได้ใส่ใจกับมันเลยจนดึกดื่นโดยไม่รู้ตัว  เสียงภายนอกเงียบผิดปกติ  แม้จะเป็นเพียงสถานีตำรวจเล็ก ๆ แต่ก็ไม่เคยร้างเจ้าหนี้ที่  ด้วยความแปลกใจจึงลุกออกไปดู  ปรากฏว่าความเงียบราวป่าช้านั้นเกิดจากการที่บนสถานีตำรวจแห่งนี้  ไม่มีใครอยู่เลยนอกจากตน

หมวดผดุงรับรู้ถึงความผิดปกติของเหตุการณ์นี้  ปืนพกประจำกายถูกกระชากขึ้นมาถือไว้ในท่าเตรียมพร้อม  ค่อย ๆ เดินสำรวจไปทีละแห่งทีละห้อง  

เริ่มจากห้องขังชั่วคราวซึ่งไม่เคยมีผู้กระทำผิดถูกขังในข้อหาที่ร้ายแรงเกินไปกว่าเมาแล้วอาละวาด  แต่เวลานี้ร้าง...เงียบงัน  ต่อมาเป็นห้องเก็บเอกสาร  ห้องประชุม  และอีกสองสามห้อง  ไม่มี...ไม่มีทั้งสิ่งผิดปกติและตำรวจนายอื่น  อย่างหลังมันเป็นไปได้ยังไง?

พรึ่บ!  จู่ ๆ ไฟเกิดดับเอาดื้อ ๆ ความช่างสังเกตและเป็นคนประสาทไว  หมวดผดุงทรุดตัวลงนั่งเบี่ยงตัวเข้าหาที่กำบัง  แสงสว่างจากภายนอกซึ่งเกิดจากไฟรายทางแสดงให้เห็นว่าไฟดับเฉพาะที่นี่  

หมวดผดุงค่อย ๆ ชะเง้อมองเหตุการณ์ภายนอกผ่านหน้าต่างบานหนึ่ง  จังหวะนั้นเอง  ปัง!  เสียงแผดลั่นจากแห่งหนึ่งแห่งใด  ตามด้วยขอบหน้าต่างห่างจากหน้าหมดผดุงเพียงคืบแตกกระจาย   เขาถูกรอบยิง!

ด้านนอก  ชายฉกรรจ์พร้อมอาวุธสงครามกลุ่มหนึ่งโผล่พ้นแนวความมืดและกรูกันเข้าล้อมสถานีตำรวจเอาไว้  และไม่มีการรีรอใด ๆ สาดกระสุนปานห่าฝนใส่จนสนั่นลั่นไปทั้งบาง  แมกกาซีนถูกสับเปลี่ยนครั้งแล้วครั้งเล่า  พื้นดินเต็มไปด้วยปลอกกระสุน  ฝาผนังซึ่งทำจากไม้ทาสีขาวแต่ถูกทั้งแดดฝนแลบเลียจนโทรมมีแต่รูปุปะ  

กลุ่มชาฉกรรจ์ที่ว่าก็ยังไม่หยุด  ยังคงกระหน่ำยิงอยู่อีกพักใหญ่  กระทั้งเสาหกต้นและคานรองรับน้ำหนักของสถานีซีกหนึ่งถูกเจาะแตกจนเสียหาย  รับน้ำหนักไม่ไหวพังครืนโครมสนั่น  เผยให้เห็นหมวดผดุงคุดคู้พยายามหดตัวเองให้เล็กที่สุดหลบเลี่ยงคมกระสุนอยู่ยังซอกโต๊ะทำงานตัวหนึ่ง  เวลานี้...เขาไม่มีที่กำบังกายอีกแล้ว

‘ตาย! ตาย-่าแน่กู!!’  คำพูดนี้ระงมก้องลั่นในหัว ภาพของปากกระบอกปืนค่อย ๆ เบนมาจ่อรวมกันยังจุดเดียวซึ่งก็คือที่อยู่ของตน  มันเคลื่อนไหวช้าดั่งเวลาถูกหยุด  ประกายไฟแลบปราบออกจากปลายกระบอกพร้อมเสียงแผดลั่น  หมายถึงความตายกำลังพุ่งเข้ามาหา  หมวดผดุงเบิกตากว้างจ้องมองมัจจุราชนิ่ง  หาใช่ไม่กลัวตาย  แต่กลัวจนบังคับร่างกายไม่ได้ต่างหาก

อีกเพียงสองนิ้วห่ากระสุนทั้งหลายก็จะเจาะทะลุร่างเขา   ทว่า...มันกลับหยุดอยู่ค้างเติ่งอยู่เพียงแค่นั้น  หากสติของหมวดผดุงยังอยู่ดี  จะเห็นว่าสิ่งที่ขวางกั้นระหว่างสังขารของตนกับห่ากระสุนนับร้อยนั้น  คือลายยันต์แปดทิศสีทองซึ่งปรากฏลอยคว้างอยู่กลางอากาศ  
และทันทีที่มันเลือนหายไป  กระสุนนับร้อยนัดที่ว่าก็ร่วงกราวลงพื้น  สิ้นฤทธิ์แรงขับกลายเป็นเพียงเม็ดตะกั่วไร้ประโยชน์  นั่นทำให้บรรดามือปืนทั้งหลายชะงักงันไปชั่วครู่

ตึก...ตึก...ตึก...เสียงเท้าย่ำลงมาตามขั้นบันได   หันเหความสนใจของพวกมันไปยังเงาร่างของบุคคลผู้หนึ่งซึ่งเดินอ้อมซากปรักหักพัง วางบางสิ่งบางอย่างลงกับคานที่หักโค่นลงด้านล่าง  เหยียบย่างมายืนนิ่งอยู่กลางสนามหญ้าอันสลัวรางเพราะแสงส่องมาถึงไม่มากพอ   

ท่าทีอันสง่าผ่าเผยหันหน้าเข้าหามือปืนนั้นชี้ชัดไปในทางเดียว  ชายปริศนาผู้นี้  มาเพื่อปกป้องหมวดผดุง  และยันต์แปดทิศที่เป็นเกราะกันกระสุนเมื่อครู่  ก็เป็นฝีมือของเขา

“มืงเป็นใคร?  มาเ-ือกขวางพวกกูให้งานมันล่าช้าทำไม!?”  พร้อมกันนั้นกองกำลังมือปืนท่อยู่อีกฝั่งก็กรูเข้ามารวมกัน  จากนั้นตั้งเป็นแนวสลับเอาผู้ที่จำเป็นต้องสับเปลี่ยนแม็กกาซีนไปอยู่แนวหลัง   ส่วนแนวหน้าคือผู้ที่พร้อมยิงประหัตประหาร

“รุมล้อมหมายเอาชัย   รุกรับเป็นขบวน  ฝึกมาดี...แต่พวกมืงเอาความรู้ที่กองทัพสั่งสอนให้มาใช้ฆ่าคนดีเพื่อค่าจ้างเนี่ยนะ!?  ทหารอย่างพวกมืงนี่มันสวะจริง ๆ”

เป็นอีกครั้งที่กลุ่มกองกำลังปริศนาถึงแก่การชะงัก  ลงถ้ามองออกว่าภายใต้ชุดพรางแท้จริงแล้วพวกตนเป็นใคร  ชายตรงหน้าย่อมไม่ใช่ธรรมดา  

“รู้มากก็ตายไว!  บอกมา  มืงเป็นใคร!!?”

ชายปริศนาในเงาสลัวรางมิได้ขัดขืน ก้าวช้า ๆ ออกสู่แสงสว่างที่มากพอให้เห็นหน้าค่าตากันชัดเจน  เท่านั้นเองความเงียบงันอึดอัดก็เข้าครอบงำทั่วอาณาบริเวณ  ทุก ๆ นายทหารที่ยอมเอาตัวเองไปเกลือกกลั้วความชั่วโฉด  รับเงินค่าจ้างจากเบื้องบนให้มาสังหารหมวดผดุงเนื่องจากเห็นว่าเป็นก้างขวางคอต่างก็คิดเช่นเดียวกัน  หากต้องสู้กับคนตรงหน้านี้ มีกี่ชีวิตก็ไม่พอ

“ผะ...ผู้กองอัคคี!”

“ข้าพเจ้า ขอกระทำสัตย์ปฏิญาณว่า  ข้าพเจ้า จักยอมตาย เพื่ออิสรภาพ และความสงบแห่งประเทศชาติ และประชาชน   ข้าพเจ้า จักอยู่ในศีลธรรมของศาสนา และจรรยาบรรณ  ข้าพเจ้า จะเทิดทูนและรักษาไว้ ซึ่งพระบรมเดชานุภาพแห่งพระมหากษัตริย์เจ้า   ข้าพเจ้า จักรักษาไว้ ซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข  ข้าพเจ้า จักเชื่อถือผู้บังคับบัญชา และปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด ทั้งจักปกครองแก่ผู้ใต้บังคับบัญชาด้วยความยุติธรรม  ข้าพเจ้า จะไม่แพร่งพรายความลับของราชการทหารเป็นอันขาด  พวกมืง...กล้าตระบัดสัตย์ต่อคำปฏิญาณที่ให้ไว้กับธงชัยเฉลิมพลได้ยังไง!!?”   ผู้กองทะนงขบกรามแน่นถามเสียงเหี้ยม  ความโกรธเกรี้ยวส่งผลให้นัยน์ตาแดงวาบด้วยฤทธิ์อาคมที่ถูกรีดเร้นด้วยโทสะ

“นะ...นี่ก็เป็นหนึ่งในคำสั่ง...เราปฏิเสธไม่ได้”

“คำสั่งของใคร!?”  เสียงตวาดถามอีกครั้งเล่นเอาทหารชั่วตรงหน้าเริ่มระส่ำระสาย  

“เป็นทหาร...กลับรับคำสั่งให้ฆ่าคนบริสุทธิ์โดยไม่สนถูกผิด   เป็นทหาร...กลับเห็นเงินทองสำคัญกว่าความถูกผิด   เป็นทหาร...กลับทำเอาหูไปนาเอาตาไปไร่  ไม่พิจารณาว่าสิ่งที่ตนเองต้องไปกระทำมันคืออะไร  สมควรหรือไม่  พวกมืง...”

“เห๊อะ!”  ใครคนหนึ่งระเบิดเสียงหัวเราะเย้ยหยัน  

“อย่ามาทำเป็นสั่งสอนคนอื่นเขาเลยน่าผู้กอง...ตัวผู้กองเองก็ทำผิดมหันต์  ตอนนี้คำสั่งออกมาแล้ว  ปลดยศ  จับตายสถานเดียว  ไม่ว่าใครก็ตาม จะทหารหรือตำรวจ  หรือแม้แต่ประชาชนทั่วไปหากพบผู้กองแล้วจับตัวหรือสังหารได้  ก็ไม่มีความผิด”   

หนึ่งในทหารชั่วทำใจดีสู้เสือ  ก้าวมายืนข้างหน้าเหนือผู้อื่นพูดกลั้วหัวเราะ  โยนปืนทิ้งทุบอกตัวเองเสียงดังฟังชัด

“ใช่แต่ตัวผู้กอง  ไม่สิ  ใช่แต่มืงนะไอ้อัคคีที่มีอาคม  กูก็มี!”  
(มีต่อครับ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่