โดย ตรัยโศก ณ ริมน่าน
ตอนที่.5 ซับซ้อน
ในเช้าวันเดียวกันนั้น ห่างออกไปกว่าสองร้อยกิโลเมตรจากตีนเขาพนมดงรักทางทิศเหนือ ตอนหนึ่งของจังหวัดอำนาจเจริญ มีเหตุการณ์การปะทะกันของกลุ่มขนถ่ายสิ่งผิดกฎหมายข้ามแดน ไม่ว่าจะเป็นยาเสพติดหรืออาวุธที่มีการนำลงเรือข้ามแม่น้ำโขงมาจากฝั่งลาว เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นซึ่งเป็นเพียงตำรวจชั้นผู้น้อย ยศสูงสุดที่คุมกำลังพลเข้าปะทะเป็นเพียงผู้หมวดหน้าใหม่ไร้ประสบการณ์ นั่นเอง กว่าครึ่งของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เข้าป้องกันและจับกุมจึงต้องตายในหน้าที่ นับจำนวนได้สิบเอ็ดนาย
ด้วยว่ากลุ่มคนร้ายเป็นพวกที่เชี่ยวชาญในการรบทั้งแบบการทหารและกองโจร ยิงปะทะแบบซึ่ง ๆ หน้าก็สามารถสกัดกั้น บีบคั้นเจ้าหน้าที่ให้ทำได้เพียงแต่หมอบแต่หลบอยู่หลังที่กำบังเท่าที่จะหาได้ พอถึงเวลาร่นถอยปรับขบวนเป็นซุ่มโจมตีก็ทำได้ดี ปลิดชีพเจ้าหน้าที่ร่วงเป็นใบไม้ เรียกได้ว่าชัยชนะจะต้องตกเป็นของกลุ่มคนร้ายอย่างไม่ต้องสงสัย
ทว่า...ขณะกำลังเข้าตาจน ตำรวจที่เหลือก็ต้องงุนงง เพราะมีบุคคลอีกกลุ่มบุกเข้ามา การแต่งกายล้วนปิดบังใบหน้าและร่างกายด้วยชุดสีดำซ้ำยังถืออาวุธสงคราม
ตามสัญชาตญาณผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ หากไม่แสดงออกอย่างโจ่งแจ้งว่าเป็นเจ้าหน้าที่ ก็มีอย่างเดียวคือต้องเป็นคนร้าย นั่นเองทำให้ผู้หมวดหน้าใหม่คิดหนัก สั่งกำลังพลที่เหลือยิงใส่ทั้งสองกลุ่มทันที แต่แล้ว...ภาพที่เห็นเล่นเอาอ้าปากค้าง
แม้จะมีสองสามคนในกลุ่มผู้มาใหม่ถูกกระสุนปืนบาดเจ็บ แต่มีหกคนที่มาด้วยกันไม่ต้องคมกระสุนเลยสักนัดเดียว ไม่ใช่ว่าหลบ แต่ราวกับลูกกระสุนนั้นเบี่ยงออกไปทางอื่น ซ้ำหกคนที่ว่ายังจัดการสังหารพวกผู้ร้ายที่ทำให้เจ้าหน้าที่ทั้งหลายตึงมือได้โดยง่าย ฆ่าเสร็จก็เอาของซึ่งเป็นทั้งยาเสพติดและอาวุธไป ทิ้งพรรคพวกที่นอนเจ็บไว้โดยไม่ใยดี
เหตุการณ์นี้สร้างความอับอายให้แก่นักรบชุดสีกากีเป็นอย่างมาก ทางผู้ใหญ่จึงเลือกจะปิดเป็นความลับ บอกว่าไม่มีทั้งยาเสพติดและอาวุธ เป็นเพียงพวกผู้ร้ายข้ามแดนที่หวังเข้ามาก่อความไม่สงบเท่านั้น พวกนั้นถูกกำจัดบางส่วนยังถูกจับกุม
ผู้ที่ได้รับคำชมเชยในเหตุการณ์นี้ไม่ใช่ใคร คือผู้หมวดหน้าใหม่นามว่า
ร้อยตำรวจโท ผดุง ธรรมจักร และนายตำรวจที่ติดตามไปด้วยกันนั่นเอง
แน่นอนว่าผลงานครั้งนี้ลึก ๆ เจ้าตัวไม่ยินดีเลยแม้แต่น้อย รอยยิ้มจาง ๆ ยังยากจะปั้นขึ้นมาได้ ตัวหมวดผดุงซึ่งเป็นข้าราชการตงฉิน เขาไม่ยอมรับและยังพยายามเกลี้ยกล่อมผู้ใหญ่ให้ตามหาผู้อยู่เบื้องหลัง สถานการณ์จึงพลิกจากดีเป็นร้าย เพื่อกำจัดคนดี กำจัดตำรวจน้ำดี การรอบสังหารจึงเกิดขึ้น
คืนหนึ่งในอีกสามวันต่อมา ขณะที่ผู้หมวดหนุ่มคร่ำเคร่งอยู่กับกองเอกสารเพียงน้อยนิด ความจริงมันควรสำเร็จเสร็จสิ้นตั้งแต่ก่อนตะวันตกดินแล้ว แต่ด้วยความที่ตนเองก็กลัดกลุ้มกับคำชมเชยจากผู้ใหญ่ซ้ำยังบอกจะเลื่อนตำแหน่งให้อีก ตัวเขาไม่ต้องการ
รู้กันอยู่ว่ามันไม่จริง ของผิดกฎหมายที่ว่าถูกกลุ่มคนลึกลับขโมยไปแต่ผู้ใหญ่เลือกจะปกปิดไว้ และยังปิดปากตำรวจทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ด้วยรางวัลและตำแหน่ง ทางผู้ใหญ่ตวาดใส่หน้าเขาด้วยความโมโหว่ามีสองทางให้เลือก นิ่งเงียบรับตำแหน่งไป หรือจะนอนนิ่งพูดไม่ได้ ขยับไม่ได้ไปตลอดกาล
‘ผมยอมตายดีกว่าต้องแบกหน้ารับรางวัลที่ตัวเองไม่สมควรได้ ปกปิดความจริงที่อาจทำลายชาติในอนาคต ซุกมันเอาไว้ใต้พรมแบบนี้!’ นั่นเอง...จึงเป็นชนวนเหตุของความตายที่กำลังมาเยือนเขาตามคำขอ
พระจันทร์ลอยเด่นขึ้นตรงหัว หมู่เมฆเคลื่อนคล้อยลอยบดบังช้า ๆ บรรยากาศวังเวงผิดปกติ หมวดผดุงเอนกายยืดตัวดัดหลังกับพนักเก้าอี้ เขาจับปากกามองนิ่งกับเอกสารตรงหน้า มิได้ใส่ใจกับมันเลยจนดึกดื่นโดยไม่รู้ตัว เสียงภายนอกเงียบผิดปกติ แม้จะเป็นเพียงสถานีตำรวจเล็ก ๆ แต่ก็ไม่เคยร้างเจ้าหนี้ที่ ด้วยความแปลกใจจึงลุกออกไปดู ปรากฏว่าความเงียบราวป่าช้านั้นเกิดจากการที่บนสถานีตำรวจแห่งนี้ ไม่มีใครอยู่เลยนอกจากตน
หมวดผดุงรับรู้ถึงความผิดปกติของเหตุการณ์นี้ ปืนพกประจำกายถูกกระชากขึ้นมาถือไว้ในท่าเตรียมพร้อม ค่อย ๆ เดินสำรวจไปทีละแห่งทีละห้อง
เริ่มจากห้องขังชั่วคราวซึ่งไม่เคยมีผู้กระทำผิดถูกขังในข้อหาที่ร้ายแรงเกินไปกว่าเมาแล้วอาละวาด แต่เวลานี้ร้าง...เงียบงัน ต่อมาเป็นห้องเก็บเอกสาร ห้องประชุม และอีกสองสามห้อง ไม่มี...ไม่มีทั้งสิ่งผิดปกติและตำรวจนายอื่น อย่างหลังมันเป็นไปได้ยังไง?
พรึ่บ! จู่ ๆ ไฟเกิดดับเอาดื้อ ๆ ความช่างสังเกตและเป็นคนประสาทไว หมวดผดุงทรุดตัวลงนั่งเบี่ยงตัวเข้าหาที่กำบัง แสงสว่างจากภายนอกซึ่งเกิดจากไฟรายทางแสดงให้เห็นว่าไฟดับเฉพาะที่นี่
หมวดผดุงค่อย ๆ ชะเง้อมองเหตุการณ์ภายนอกผ่านหน้าต่างบานหนึ่ง จังหวะนั้นเอง
ปัง! เสียงแผดลั่นจากแห่งหนึ่งแห่งใด ตามด้วยขอบหน้าต่างห่างจากหน้าหมดผดุงเพียงคืบแตกกระจาย เขาถูกรอบยิง!
ด้านนอก ชายฉกรรจ์พร้อมอาวุธสงครามกลุ่มหนึ่งโผล่พ้นแนวความมืดและกรูกันเข้าล้อมสถานีตำรวจเอาไว้ และไม่มีการรีรอใด ๆ สาดกระสุนปานห่าฝนใส่จนสนั่นลั่นไปทั้งบาง แมกกาซีนถูกสับเปลี่ยนครั้งแล้วครั้งเล่า พื้นดินเต็มไปด้วยปลอกกระสุน ฝาผนังซึ่งทำจากไม้ทาสีขาวแต่ถูกทั้งแดดฝนแลบเลียจนโทรมมีแต่รูปุปะ
กลุ่มชาฉกรรจ์ที่ว่าก็ยังไม่หยุด ยังคงกระหน่ำยิงอยู่อีกพักใหญ่ กระทั้งเสาหกต้นและคานรองรับน้ำหนักของสถานีซีกหนึ่งถูกเจาะแตกจนเสียหาย รับน้ำหนักไม่ไหวพังครืนโครมสนั่น เผยให้เห็นหมวดผดุงคุดคู้พยายามหดตัวเองให้เล็กที่สุดหลบเลี่ยงคมกระสุนอยู่ยังซอกโต๊ะทำงานตัวหนึ่ง เวลานี้...เขาไม่มีที่กำบังกายอีกแล้ว
‘ตาย! ตาย-่าแน่กู!!’ คำพูดนี้ระงมก้องลั่นในหัว ภาพของปากกระบอกปืนค่อย ๆ เบนมาจ่อรวมกันยังจุดเดียวซึ่งก็คือที่อยู่ของตน มันเคลื่อนไหวช้าดั่งเวลาถูกหยุด ประกายไฟแลบปราบออกจากปลายกระบอกพร้อมเสียงแผดลั่น หมายถึงความตายกำลังพุ่งเข้ามาหา หมวดผดุงเบิกตากว้างจ้องมองมัจจุราชนิ่ง หาใช่ไม่กลัวตาย แต่กลัวจนบังคับร่างกายไม่ได้ต่างหาก
อีกเพียงสองนิ้วห่ากระสุนทั้งหลายก็จะเจาะทะลุร่างเขา ทว่า...มันกลับหยุดอยู่ค้างเติ่งอยู่เพียงแค่นั้น หากสติของหมวดผดุงยังอยู่ดี จะเห็นว่าสิ่งที่ขวางกั้นระหว่างสังขารของตนกับห่ากระสุนนับร้อยนั้น คือลายยันต์แปดทิศสีทองซึ่งปรากฏลอยคว้างอยู่กลางอากาศ
และทันทีที่มันเลือนหายไป กระสุนนับร้อยนัดที่ว่าก็ร่วงกราวลงพื้น สิ้นฤทธิ์แรงขับกลายเป็นเพียงเม็ดตะกั่วไร้ประโยชน์ นั่นทำให้บรรดามือปืนทั้งหลายชะงักงันไปชั่วครู่
ตึก...ตึก...ตึก...เสียงเท้าย่ำลงมาตามขั้นบันได หันเหความสนใจของพวกมันไปยังเงาร่างของบุคคลผู้หนึ่งซึ่งเดินอ้อมซากปรักหักพัง วางบางสิ่งบางอย่างลงกับคานที่หักโค่นลงด้านล่าง เหยียบย่างมายืนนิ่งอยู่กลางสนามหญ้าอันสลัวรางเพราะแสงส่องมาถึงไม่มากพอ
ท่าทีอันสง่าผ่าเผยหันหน้าเข้าหามือปืนนั้นชี้ชัดไปในทางเดียว ชายปริศนาผู้นี้ มาเพื่อปกป้องหมวดผดุง และยันต์แปดทิศที่เป็นเกราะกันกระสุนเมื่อครู่ ก็เป็นฝีมือของเขา
“มืงเป็นใคร? มาเ-ือกขวางพวกกูให้งานมันล่าช้าทำไม!?” พร้อมกันนั้นกองกำลังมือปืนท่อยู่อีกฝั่งก็กรูเข้ามารวมกัน จากนั้นตั้งเป็นแนวสลับเอาผู้ที่จำเป็นต้องสับเปลี่ยนแม็กกาซีนไปอยู่แนวหลัง ส่วนแนวหน้าคือผู้ที่พร้อมยิงประหัตประหาร
“รุมล้อมหมายเอาชัย รุกรับเป็นขบวน ฝึกมาดี...แต่พวกมืงเอาความรู้ที่กองทัพสั่งสอนให้มาใช้ฆ่าคนดีเพื่อค่าจ้างเนี่ยนะ!? ทหารอย่างพวกมืงนี่มันสวะจริง ๆ”
เป็นอีกครั้งที่กลุ่มกองกำลังปริศนาถึงแก่การชะงัก ลงถ้ามองออกว่าภายใต้ชุดพรางแท้จริงแล้วพวกตนเป็นใคร ชายตรงหน้าย่อมไม่ใช่ธรรมดา
“รู้มากก็ตายไว! บอกมา มืงเป็นใคร!!?”
ชายปริศนาในเงาสลัวรางมิได้ขัดขืน ก้าวช้า ๆ ออกสู่แสงสว่างที่มากพอให้เห็นหน้าค่าตากันชัดเจน เท่านั้นเองความเงียบงันอึดอัดก็เข้าครอบงำทั่วอาณาบริเวณ ทุก ๆ นายทหารที่ยอมเอาตัวเองไปเกลือกกลั้วความชั่วโฉด รับเงินค่าจ้างจากเบื้องบนให้มาสังหารหมวดผดุงเนื่องจากเห็นว่าเป็นก้างขวางคอต่างก็คิดเช่นเดียวกัน หากต้องสู้กับคนตรงหน้านี้ มีกี่ชีวิตก็ไม่พอ
“ผะ...ผู้กองอัคคี!”
“ข้าพเจ้า ขอกระทำสัตย์ปฏิญาณว่า ข้าพเจ้า จักยอมตาย เพื่ออิสรภาพ และความสงบแห่งประเทศชาติ และประชาชน ข้าพเจ้า จักอยู่ในศีลธรรมของศาสนา และจรรยาบรรณ ข้าพเจ้า จะเทิดทูนและรักษาไว้ ซึ่งพระบรมเดชานุภาพแห่งพระมหากษัตริย์เจ้า ข้าพเจ้า จักรักษาไว้ ซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ข้าพเจ้า จักเชื่อถือผู้บังคับบัญชา และปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด ทั้งจักปกครองแก่ผู้ใต้บังคับบัญชาด้วยความยุติธรรม ข้าพเจ้า จะไม่แพร่งพรายความลับของราชการทหารเป็นอันขาด พวกมืง...กล้าตระบัดสัตย์ต่อคำปฏิญาณที่ให้ไว้กับธงชัยเฉลิมพลได้ยังไง!!?” ผู้กองทะนงขบกรามแน่นถามเสียงเหี้ยม ความโกรธเกรี้ยวส่งผลให้นัยน์ตาแดงวาบด้วยฤทธิ์อาคมที่ถูกรีดเร้นด้วยโทสะ
“นะ...นี่ก็เป็นหนึ่งในคำสั่ง...เราปฏิเสธไม่ได้”
“คำสั่งของใคร!?” เสียงตวาดถามอีกครั้งเล่นเอาทหารชั่วตรงหน้าเริ่มระส่ำระสาย
“เป็นทหาร...กลับรับคำสั่งให้ฆ่าคนบริสุทธิ์โดยไม่สนถูกผิด เป็นทหาร...กลับเห็นเงินทองสำคัญกว่าความถูกผิด เป็นทหาร...กลับทำเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ไม่พิจารณาว่าสิ่งที่ตนเองต้องไปกระทำมันคืออะไร สมควรหรือไม่ พวกมืง...”
“เห๊อะ!” ใครคนหนึ่งระเบิดเสียงหัวเราะเย้ยหยัน
“อย่ามาทำเป็นสั่งสอนคนอื่นเขาเลยน่าผู้กอง...ตัวผู้กองเองก็ทำผิดมหันต์ ตอนนี้คำสั่งออกมาแล้ว ปลดยศ จับตายสถานเดียว ไม่ว่าใครก็ตาม จะทหารหรือตำรวจ หรือแม้แต่ประชาชนทั่วไปหากพบผู้กองแล้วจับตัวหรือสังหารได้ ก็ไม่มีความผิด”
หนึ่งในทหารชั่วทำใจดีสู้เสือ ก้าวมายืนข้างหน้าเหนือผู้อื่นพูดกลั้วหัวเราะ โยนปืนทิ้งทุบอกตัวเองเสียงดังฟังชัด
“ใช่แต่ตัวผู้กอง ไม่สิ ใช่แต่มืงนะไอ้อัคคีที่มีอาคม กูก็มี!”
(มีต่อครับ)
ปฐพีเดือด ตอนที่5.
ด้วยว่ากลุ่มคนร้ายเป็นพวกที่เชี่ยวชาญในการรบทั้งแบบการทหารและกองโจร ยิงปะทะแบบซึ่ง ๆ หน้าก็สามารถสกัดกั้น บีบคั้นเจ้าหน้าที่ให้ทำได้เพียงแต่หมอบแต่หลบอยู่หลังที่กำบังเท่าที่จะหาได้ พอถึงเวลาร่นถอยปรับขบวนเป็นซุ่มโจมตีก็ทำได้ดี ปลิดชีพเจ้าหน้าที่ร่วงเป็นใบไม้ เรียกได้ว่าชัยชนะจะต้องตกเป็นของกลุ่มคนร้ายอย่างไม่ต้องสงสัย
ทว่า...ขณะกำลังเข้าตาจน ตำรวจที่เหลือก็ต้องงุนงง เพราะมีบุคคลอีกกลุ่มบุกเข้ามา การแต่งกายล้วนปิดบังใบหน้าและร่างกายด้วยชุดสีดำซ้ำยังถืออาวุธสงคราม
ตามสัญชาตญาณผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ หากไม่แสดงออกอย่างโจ่งแจ้งว่าเป็นเจ้าหน้าที่ ก็มีอย่างเดียวคือต้องเป็นคนร้าย นั่นเองทำให้ผู้หมวดหน้าใหม่คิดหนัก สั่งกำลังพลที่เหลือยิงใส่ทั้งสองกลุ่มทันที แต่แล้ว...ภาพที่เห็นเล่นเอาอ้าปากค้าง
แม้จะมีสองสามคนในกลุ่มผู้มาใหม่ถูกกระสุนปืนบาดเจ็บ แต่มีหกคนที่มาด้วยกันไม่ต้องคมกระสุนเลยสักนัดเดียว ไม่ใช่ว่าหลบ แต่ราวกับลูกกระสุนนั้นเบี่ยงออกไปทางอื่น ซ้ำหกคนที่ว่ายังจัดการสังหารพวกผู้ร้ายที่ทำให้เจ้าหน้าที่ทั้งหลายตึงมือได้โดยง่าย ฆ่าเสร็จก็เอาของซึ่งเป็นทั้งยาเสพติดและอาวุธไป ทิ้งพรรคพวกที่นอนเจ็บไว้โดยไม่ใยดี
เหตุการณ์นี้สร้างความอับอายให้แก่นักรบชุดสีกากีเป็นอย่างมาก ทางผู้ใหญ่จึงเลือกจะปิดเป็นความลับ บอกว่าไม่มีทั้งยาเสพติดและอาวุธ เป็นเพียงพวกผู้ร้ายข้ามแดนที่หวังเข้ามาก่อความไม่สงบเท่านั้น พวกนั้นถูกกำจัดบางส่วนยังถูกจับกุม
ผู้ที่ได้รับคำชมเชยในเหตุการณ์นี้ไม่ใช่ใคร คือผู้หมวดหน้าใหม่นามว่า ร้อยตำรวจโท ผดุง ธรรมจักร และนายตำรวจที่ติดตามไปด้วยกันนั่นเอง
แน่นอนว่าผลงานครั้งนี้ลึก ๆ เจ้าตัวไม่ยินดีเลยแม้แต่น้อย รอยยิ้มจาง ๆ ยังยากจะปั้นขึ้นมาได้ ตัวหมวดผดุงซึ่งเป็นข้าราชการตงฉิน เขาไม่ยอมรับและยังพยายามเกลี้ยกล่อมผู้ใหญ่ให้ตามหาผู้อยู่เบื้องหลัง สถานการณ์จึงพลิกจากดีเป็นร้าย เพื่อกำจัดคนดี กำจัดตำรวจน้ำดี การรอบสังหารจึงเกิดขึ้น
คืนหนึ่งในอีกสามวันต่อมา ขณะที่ผู้หมวดหนุ่มคร่ำเคร่งอยู่กับกองเอกสารเพียงน้อยนิด ความจริงมันควรสำเร็จเสร็จสิ้นตั้งแต่ก่อนตะวันตกดินแล้ว แต่ด้วยความที่ตนเองก็กลัดกลุ้มกับคำชมเชยจากผู้ใหญ่ซ้ำยังบอกจะเลื่อนตำแหน่งให้อีก ตัวเขาไม่ต้องการ
รู้กันอยู่ว่ามันไม่จริง ของผิดกฎหมายที่ว่าถูกกลุ่มคนลึกลับขโมยไปแต่ผู้ใหญ่เลือกจะปกปิดไว้ และยังปิดปากตำรวจทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ด้วยรางวัลและตำแหน่ง ทางผู้ใหญ่ตวาดใส่หน้าเขาด้วยความโมโหว่ามีสองทางให้เลือก นิ่งเงียบรับตำแหน่งไป หรือจะนอนนิ่งพูดไม่ได้ ขยับไม่ได้ไปตลอดกาล
‘ผมยอมตายดีกว่าต้องแบกหน้ารับรางวัลที่ตัวเองไม่สมควรได้ ปกปิดความจริงที่อาจทำลายชาติในอนาคต ซุกมันเอาไว้ใต้พรมแบบนี้!’ นั่นเอง...จึงเป็นชนวนเหตุของความตายที่กำลังมาเยือนเขาตามคำขอ
พระจันทร์ลอยเด่นขึ้นตรงหัว หมู่เมฆเคลื่อนคล้อยลอยบดบังช้า ๆ บรรยากาศวังเวงผิดปกติ หมวดผดุงเอนกายยืดตัวดัดหลังกับพนักเก้าอี้ เขาจับปากกามองนิ่งกับเอกสารตรงหน้า มิได้ใส่ใจกับมันเลยจนดึกดื่นโดยไม่รู้ตัว เสียงภายนอกเงียบผิดปกติ แม้จะเป็นเพียงสถานีตำรวจเล็ก ๆ แต่ก็ไม่เคยร้างเจ้าหนี้ที่ ด้วยความแปลกใจจึงลุกออกไปดู ปรากฏว่าความเงียบราวป่าช้านั้นเกิดจากการที่บนสถานีตำรวจแห่งนี้ ไม่มีใครอยู่เลยนอกจากตน
หมวดผดุงรับรู้ถึงความผิดปกติของเหตุการณ์นี้ ปืนพกประจำกายถูกกระชากขึ้นมาถือไว้ในท่าเตรียมพร้อม ค่อย ๆ เดินสำรวจไปทีละแห่งทีละห้อง
เริ่มจากห้องขังชั่วคราวซึ่งไม่เคยมีผู้กระทำผิดถูกขังในข้อหาที่ร้ายแรงเกินไปกว่าเมาแล้วอาละวาด แต่เวลานี้ร้าง...เงียบงัน ต่อมาเป็นห้องเก็บเอกสาร ห้องประชุม และอีกสองสามห้อง ไม่มี...ไม่มีทั้งสิ่งผิดปกติและตำรวจนายอื่น อย่างหลังมันเป็นไปได้ยังไง?
พรึ่บ! จู่ ๆ ไฟเกิดดับเอาดื้อ ๆ ความช่างสังเกตและเป็นคนประสาทไว หมวดผดุงทรุดตัวลงนั่งเบี่ยงตัวเข้าหาที่กำบัง แสงสว่างจากภายนอกซึ่งเกิดจากไฟรายทางแสดงให้เห็นว่าไฟดับเฉพาะที่นี่
หมวดผดุงค่อย ๆ ชะเง้อมองเหตุการณ์ภายนอกผ่านหน้าต่างบานหนึ่ง จังหวะนั้นเอง ปัง! เสียงแผดลั่นจากแห่งหนึ่งแห่งใด ตามด้วยขอบหน้าต่างห่างจากหน้าหมดผดุงเพียงคืบแตกกระจาย เขาถูกรอบยิง!
ด้านนอก ชายฉกรรจ์พร้อมอาวุธสงครามกลุ่มหนึ่งโผล่พ้นแนวความมืดและกรูกันเข้าล้อมสถานีตำรวจเอาไว้ และไม่มีการรีรอใด ๆ สาดกระสุนปานห่าฝนใส่จนสนั่นลั่นไปทั้งบาง แมกกาซีนถูกสับเปลี่ยนครั้งแล้วครั้งเล่า พื้นดินเต็มไปด้วยปลอกกระสุน ฝาผนังซึ่งทำจากไม้ทาสีขาวแต่ถูกทั้งแดดฝนแลบเลียจนโทรมมีแต่รูปุปะ
กลุ่มชาฉกรรจ์ที่ว่าก็ยังไม่หยุด ยังคงกระหน่ำยิงอยู่อีกพักใหญ่ กระทั้งเสาหกต้นและคานรองรับน้ำหนักของสถานีซีกหนึ่งถูกเจาะแตกจนเสียหาย รับน้ำหนักไม่ไหวพังครืนโครมสนั่น เผยให้เห็นหมวดผดุงคุดคู้พยายามหดตัวเองให้เล็กที่สุดหลบเลี่ยงคมกระสุนอยู่ยังซอกโต๊ะทำงานตัวหนึ่ง เวลานี้...เขาไม่มีที่กำบังกายอีกแล้ว
‘ตาย! ตาย-่าแน่กู!!’ คำพูดนี้ระงมก้องลั่นในหัว ภาพของปากกระบอกปืนค่อย ๆ เบนมาจ่อรวมกันยังจุดเดียวซึ่งก็คือที่อยู่ของตน มันเคลื่อนไหวช้าดั่งเวลาถูกหยุด ประกายไฟแลบปราบออกจากปลายกระบอกพร้อมเสียงแผดลั่น หมายถึงความตายกำลังพุ่งเข้ามาหา หมวดผดุงเบิกตากว้างจ้องมองมัจจุราชนิ่ง หาใช่ไม่กลัวตาย แต่กลัวจนบังคับร่างกายไม่ได้ต่างหาก
อีกเพียงสองนิ้วห่ากระสุนทั้งหลายก็จะเจาะทะลุร่างเขา ทว่า...มันกลับหยุดอยู่ค้างเติ่งอยู่เพียงแค่นั้น หากสติของหมวดผดุงยังอยู่ดี จะเห็นว่าสิ่งที่ขวางกั้นระหว่างสังขารของตนกับห่ากระสุนนับร้อยนั้น คือลายยันต์แปดทิศสีทองซึ่งปรากฏลอยคว้างอยู่กลางอากาศ
และทันทีที่มันเลือนหายไป กระสุนนับร้อยนัดที่ว่าก็ร่วงกราวลงพื้น สิ้นฤทธิ์แรงขับกลายเป็นเพียงเม็ดตะกั่วไร้ประโยชน์ นั่นทำให้บรรดามือปืนทั้งหลายชะงักงันไปชั่วครู่
ตึก...ตึก...ตึก...เสียงเท้าย่ำลงมาตามขั้นบันได หันเหความสนใจของพวกมันไปยังเงาร่างของบุคคลผู้หนึ่งซึ่งเดินอ้อมซากปรักหักพัง วางบางสิ่งบางอย่างลงกับคานที่หักโค่นลงด้านล่าง เหยียบย่างมายืนนิ่งอยู่กลางสนามหญ้าอันสลัวรางเพราะแสงส่องมาถึงไม่มากพอ
ท่าทีอันสง่าผ่าเผยหันหน้าเข้าหามือปืนนั้นชี้ชัดไปในทางเดียว ชายปริศนาผู้นี้ มาเพื่อปกป้องหมวดผดุง และยันต์แปดทิศที่เป็นเกราะกันกระสุนเมื่อครู่ ก็เป็นฝีมือของเขา
“มืงเป็นใคร? มาเ-ือกขวางพวกกูให้งานมันล่าช้าทำไม!?” พร้อมกันนั้นกองกำลังมือปืนท่อยู่อีกฝั่งก็กรูเข้ามารวมกัน จากนั้นตั้งเป็นแนวสลับเอาผู้ที่จำเป็นต้องสับเปลี่ยนแม็กกาซีนไปอยู่แนวหลัง ส่วนแนวหน้าคือผู้ที่พร้อมยิงประหัตประหาร
“รุมล้อมหมายเอาชัย รุกรับเป็นขบวน ฝึกมาดี...แต่พวกมืงเอาความรู้ที่กองทัพสั่งสอนให้มาใช้ฆ่าคนดีเพื่อค่าจ้างเนี่ยนะ!? ทหารอย่างพวกมืงนี่มันสวะจริง ๆ”
เป็นอีกครั้งที่กลุ่มกองกำลังปริศนาถึงแก่การชะงัก ลงถ้ามองออกว่าภายใต้ชุดพรางแท้จริงแล้วพวกตนเป็นใคร ชายตรงหน้าย่อมไม่ใช่ธรรมดา
“รู้มากก็ตายไว! บอกมา มืงเป็นใคร!!?”
ชายปริศนาในเงาสลัวรางมิได้ขัดขืน ก้าวช้า ๆ ออกสู่แสงสว่างที่มากพอให้เห็นหน้าค่าตากันชัดเจน เท่านั้นเองความเงียบงันอึดอัดก็เข้าครอบงำทั่วอาณาบริเวณ ทุก ๆ นายทหารที่ยอมเอาตัวเองไปเกลือกกลั้วความชั่วโฉด รับเงินค่าจ้างจากเบื้องบนให้มาสังหารหมวดผดุงเนื่องจากเห็นว่าเป็นก้างขวางคอต่างก็คิดเช่นเดียวกัน หากต้องสู้กับคนตรงหน้านี้ มีกี่ชีวิตก็ไม่พอ
“ผะ...ผู้กองอัคคี!”
“ข้าพเจ้า ขอกระทำสัตย์ปฏิญาณว่า ข้าพเจ้า จักยอมตาย เพื่ออิสรภาพ และความสงบแห่งประเทศชาติ และประชาชน ข้าพเจ้า จักอยู่ในศีลธรรมของศาสนา และจรรยาบรรณ ข้าพเจ้า จะเทิดทูนและรักษาไว้ ซึ่งพระบรมเดชานุภาพแห่งพระมหากษัตริย์เจ้า ข้าพเจ้า จักรักษาไว้ ซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ข้าพเจ้า จักเชื่อถือผู้บังคับบัญชา และปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด ทั้งจักปกครองแก่ผู้ใต้บังคับบัญชาด้วยความยุติธรรม ข้าพเจ้า จะไม่แพร่งพรายความลับของราชการทหารเป็นอันขาด พวกมืง...กล้าตระบัดสัตย์ต่อคำปฏิญาณที่ให้ไว้กับธงชัยเฉลิมพลได้ยังไง!!?” ผู้กองทะนงขบกรามแน่นถามเสียงเหี้ยม ความโกรธเกรี้ยวส่งผลให้นัยน์ตาแดงวาบด้วยฤทธิ์อาคมที่ถูกรีดเร้นด้วยโทสะ
“นะ...นี่ก็เป็นหนึ่งในคำสั่ง...เราปฏิเสธไม่ได้”
“คำสั่งของใคร!?” เสียงตวาดถามอีกครั้งเล่นเอาทหารชั่วตรงหน้าเริ่มระส่ำระสาย
“เป็นทหาร...กลับรับคำสั่งให้ฆ่าคนบริสุทธิ์โดยไม่สนถูกผิด เป็นทหาร...กลับเห็นเงินทองสำคัญกว่าความถูกผิด เป็นทหาร...กลับทำเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ไม่พิจารณาว่าสิ่งที่ตนเองต้องไปกระทำมันคืออะไร สมควรหรือไม่ พวกมืง...”
“เห๊อะ!” ใครคนหนึ่งระเบิดเสียงหัวเราะเย้ยหยัน
“อย่ามาทำเป็นสั่งสอนคนอื่นเขาเลยน่าผู้กอง...ตัวผู้กองเองก็ทำผิดมหันต์ ตอนนี้คำสั่งออกมาแล้ว ปลดยศ จับตายสถานเดียว ไม่ว่าใครก็ตาม จะทหารหรือตำรวจ หรือแม้แต่ประชาชนทั่วไปหากพบผู้กองแล้วจับตัวหรือสังหารได้ ก็ไม่มีความผิด”
หนึ่งในทหารชั่วทำใจดีสู้เสือ ก้าวมายืนข้างหน้าเหนือผู้อื่นพูดกลั้วหัวเราะ โยนปืนทิ้งทุบอกตัวเองเสียงดังฟังชัด
“ใช่แต่ตัวผู้กอง ไม่สิ ใช่แต่มืงนะไอ้อัคคีที่มีอาคม กูก็มี!”
(มีต่อครับ)