สวัสดีค่ะทุกคน เราอยู่ในครอบครัว Toxic มาตั้งแต่เด็ก พ่อแม่เราให้ยายเราเลี้ยงตั้งแต่ 3 เดือน จนป.4 แม่เรากลับมาอยู่บ้านเราเลยต้องย้ายจากยายมาอยู่บ้านแม่ เราไม่เคยมีความสุขเลยตั้งแต่วันนั้น ทุกอย่างมันเริ่มจากการที่ย้ายมานี่แหละค่ะ
เราต้องทำทุกอย่างเองตั้งแต่ ป. 4 ทำงานบ้านทุกอย่างและเลี้ยงน้องชายที่พ่อแม่ไม่เคยให้ทำอะไรเลย แล้วเวลามีปัญหาเราจะต้องกลายเป็นคนผิดทุกครั้ง เราถูกตีอย่างหนัก บางครั้งเราถูกตีโดยที่ไม่มีเหตุผล จนป.6 เราร้องไห้ทุกวัน ขอร้องยายว่าขอกลับไปอยู่ด้วยได้มั้ย แต่มันทำอะไรไม่ได้ เพราะแม่บอกว่าเราคือลูกเค้า เค้าจะเลี้ยงเอง ตั้งแต่ตอนนั้นเราไม่สามารถไปบ้านยายได้ ถ้าไป กลับมาจะต้องโดนตี จนกระทั่งเรารู้ว่าแม่ท้อง ซึ่งตอนนั้นเราป.6 และพ่อก็กลับมาอยู่บ้าน เราที่ถูกกระทำเหมือนไม่ใช่ลูกอยู่แล้วยิ่งโดนตี โดนกระทืบหนักเข้าไปใหญ่ จากไม้เรียวเล็กๆ กลายเป็นด้ามไม้กวาด จนถึงด้ามจอบ เราถูกตีเรื่อยๆ ซึ่งบางครั้งเราแทบไม่ได้ทำอะไรผิดเลย แต่เพราะแค่พ่อกับแม่ทะเลาะกัน สุดท้ายมาลงที่เรา น้องชายไม่เคยโดนตีเลย
จนเราอยู่ม.2 ตอนนั้นจำได้ดี เราพยามทำงานบ้านทุกอย่าง น้องชายที่โตขึ้นก็ข่มเหงเราสารพัดทั้งเรื่องเงิน เรื่องงานบ้าน ไหนเราจะเลี้ยงน้องคนเล็กอีก เราจึงตัดสินใจกินน้ำยาล้างจาน ในใจตอนนั้นคิดแค่ว่าถ้าตายไปแล้วทุกคนคงจะดีใจ ไม่มีคนสารเลวอย่างเราอยู่ทุกอย่างคงดีขึ้น เราไม่สามารถพูดเรื่องนี้กับคนในครอบครัวได้ เราเลือกที่จะไปโรงเรียน คนที่พาเราไปหาหมอคือเพื่อนสนิทของเรา ตอนนั้นหมอ พยาบาล ให้แม่คุยกับจิตแพทย์ แต่ผลก็ไม่ได้แตกต่างเลย กลับมาเราโดนหนักกว่าเดิม เคยเห็นในหนักที่เค้าเอาขวดเบียร์ตีหัวมั้ย นั่นแหละเราโดนก้นขวดเบียร์ตีหัว โดนตบจนแก้วหูอักเสบ โดนหยิกจนแขนเขียว โดนเอาหัวทุบกับพื้น ซึ่งตอนนั้นเราอยู่แค่ม.ต้น เราไม่สามารถหลบหนีไปไหนได้เลย ไม่มีความกล้าพอ
พอขึ้นม.ปลาย เราจะโดนเป็นไม้แล้วตีใต้ร่มผ้าเพื่อไม่ให้มีรอยตี ตอนม.ต้นขาเราลายไปทุกวัน เราเริ่มทำงานตั้งแต่ม.3 พอม.ปลายเราก็แทบไม่อยู่บ้าน ไปอบรมบ้าง ไปนำชมบ้าง (เป็นมัคคุเทศก์น้อย) หาเงินใช้ ซึ่งเราก็อยากได้โทรศัพท์ แต่ตอนนั้นพวกน้าๆ ซื้อให้พ่อแม่ไม่ยอม พอน้าเอาให้พวกเขาก็ยึดและเอาไปใช้เอง เราก็ได้แค่แอบเอามือถือเก่าๆ ที่น้าให้บ้าง ยายแอบให้บ้างมาใช้ เพราะบางทีเราใช้ทำงาน จนน้องชายเราอยากได้พ่อแม่ก็ประเคนหาให้ทุกอย่าง เราต้องขี่จักรยานไปโรงเรียนทุกวัน ซึ่งก่อนไปโรงเรียนจะต้องไปส่งน้องคนเล็กก่อน ในขณะที่น้องชายขี่มอไซค์ไป เราได้เงินไปโรงเรียนวันละ 20 ในขณะที่น้องได้มากกว่า เราแทบไม่เคยเรียกร้องขออะไรจากพ่อแม่เลย เพราะขอแล้วไม่เคยได้ แม้แต่เสื้อผ้าเขายังไม่แทบไม่เคยซื้อให้เลย ในขณะที่น้องๆ อยากได้อะไรพ่อแม่หาให้ทุกอย่าง คอนนั้นคิดว่าที่เราอยู่ตรงนั้นเพราะเราไม่ใช่ลูกเขาหรือเปล่า หรือเราเป็นแค่คนใช้ เพราะเราไม่เคยได้รับความรักอะไรเลย
เรายังถูกทุบตี หรือบางครั้งถูกพ่อกระทืบ อยู่เรื่อยๆ จนกระทั่ง ม.6 เราสอบติดมหาลัยในกรุงเทพ แต่พ่อเราบอกว่าไม่ต้องเรียนหรอก เดี๋ยวให้ป้าหาผัวฝรั่งให้ ไม่ต้องเรียน แต่ตอนนั้นเราอยากเรียนมากๆ อยากหนีไปจากตรงนั้น เป็นครั้งแรกเลยมั้งที่แม่ช่วยพูดว่าให้มาเรียน สุดท้ายเราก็ได้มาเรียนกรุงเทพ
พอมาเรียนกรุงเทพเราก็ได้มาอยู่บ้านน้า ชีวิตก็อิสระขึ้นนิดนึงแหละ แต่เหนื่อยมาก นั่งรถไปเรียนจากป้ายแรกลงป้ายสุดท้ายทุกวัน
ชีวิตช่วงการเรียนมหาลัยเราสนุกมาก มันดีกับเราจริงๆ จนกระทั่งเราอยู่ปี 4 ทุกคนกดดันเราว่าเมื่อไหร่จะเรียนจบ เมื่อไหร่จะออกมาทำงาน พ่อแม่ต้องรีบใช้เงินนะ ซึ่งตอนนั้นลูกชายสุดที่รักของเขาก็ออกจากโรงเรียน เรียนไม่จบ อยู่บ้านเล่นเกม
เราถูกกดดันด้วยเรื่องเงินและคำว่า "ลูกอกตัญญู" เรากดดันตัวเองจนต้อง Drop เรียน ตอนนั้นรู้สึกว่าอยู่ไม่ไหว พึ่งใครไม่ได้ ยังดีตอนนั้นมีแฟนและเรายังพอมีสติว่าไปหาจิตแพทย์เถอะ เราถูกวินิจฉัยว่าเป็น "โรคซึมเศร้า" เพราะตอนนั้นเราวางแผนที่จะตายแล้ว ไม่ได้อยากมีชีวิต ตอนนั้นครอบครัวคิดว่าเราไม่เป็นอะไรหรอก แค่เรียกร้องความสนใจ อยากให้สนใจ แล้วปีนั้นเราวนเวียนเข้าโรงบาล ป่วยนอนโรงบาลครึ่งปีหลังนอนโรงบาลทุกเดือน ร่างกายเราทรุด ตอนนั้นเราพยายามหางานทำ เพื่อหนีออกไปจากบ้านตรงนั้น เราทำงานเสร็จเลิกงานไปร้านเหล้า กลับบ้านตี 3 ตี 4 เพราะไม่อยากเจอใคร ตื่นมาก็ไปทำงานเลย ทำแบบนี้เป็นปี ซึ่งไม่ดีกับการรักษาซึมเศร้าเลย
จนน้องชายสุดที่รักคิดว่าอยากทำงาน เลยขึ้นมาอยู่กรุงเทพ มาอยู่บ้านน้าบ้านเดียวกัน เราให้มันช่วยจ่ายค่าบ้าน บางเดือนมันจ่ายให้เราไม่ตรงเราก็ต้องทวง สุดท้ายทะเลาะกันรุนแรง มันไล่ให้เราไปตาย ตอนนั้นเราอยากตายมากเลย ให้มันรู้สึกว่าเป็นเพราะมันที่ทำให้เราตาย แต่สุดท้ายแม่ก็เข้าข้างน้อง
แฟนเราตัดสินใจว่าแกอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้วเลยให้ย้ายออกมาอยู่คอนโดกับเพื่อน
เราย้ายมาอยู่คอนโดกับเพื่อน อาการซึมเศร้าของเรามันดีขึ้นจริงๆนะ เพราะออกมาจากสภาพแวดล้อมแย่ๆ แบบนั้น แต่เราก็ยังต้องเจอการโทรเข้ามาของพ่อ เพื่อโทรมาข่มขู่ จะเอาแต่เงิน เราไม่กลับบ้านต่างจังหวัดเลย 2-3 ปี เพราะคำว่า "ลูกอกตัญญู""อีเนรคุณ" เราเลยไม่กลับไปให้เขาเห็นหน้าอีก
เราฝืนเรียนจนจบมหาลัย เราจบมหาลัยสิริรวม 7 ปี เกือบเต็มโควต้า 555 แต่เราก็ยังเรียนจบ มีการมีงานทำ พอมีเงินบ้าง ตอนนั้นเราซื้อรถยนต์ ซึ่งแฟนเป็นคนซัพพอร์ตทุกอย่าง เรากลับบ้านในรอบหลายปี สุดท้ายก็ยังโดนน้องชายสุดที่รักพูดว่า มีปัญญาซื้อแค่นี้หรอ มีปัญญาทำแค่นี้หรอ เรียนมาตั้งสูง พ่อแม่เป็นหนี้ก็เพราะ (เรารู้ว่าแม่เป็นหนี้ แต่เขาอ้างว่าเพราะส่งเราเรียน) ตอนเรียนเราแทบไม่ได้ขอเงินพ่อแม่เลย เพราะเราไม่กล้าขอ ค่าเทอมเราก็กู้กยศ. มีแค่ตอนปี 3 ที่ไปอยู่หอ 6 เดือน อันนั้นแหละเปลืองหน่อย (ค่าหอรวมค่าน้ำค่าไฟตกเดือนนึงไม่เกิน 3 พัน) เราพยามสู้ด้วยตัวเองมาตลอด ในขณะที่น้องชายพอเห็นเรามีรถก็เพิ่งจะคิดได้ว่าต้องกลับไปเรียนต่อ (เพิ่งปลดทหารเกณฑ์มาซักพัก)
ปัจจุบันมันเรียนจบแล้ว ซึ่งมันมาอยู่บ้านแฟนเรา และหอที่เราเช่าไว้ให้น้องสาวกับแม่อยู่ แต่มันด่าเราว่าเราไม่มีความรับผิดชอบ ไม่ใช้หนี้ให้แม่ ไม่ทำอะไรเพื่อครอบครัว แต่มันมาอยู่บ้านเรานะ งานการก็ไม่ได้ทำนอนกิน ดูทีวี ในขณะที่เราทำงานงกๆ บางทีนั่งประชุมอยู่บ้านมันเปิดทีวีเสียงดัง กลายเป็นเราผิด ทีวีมันเปิดอะไรไว้เราปิดไม่ได้นะ เพราะมันดูอยู่ เราเคยบอกแม่แล้วว่าถ้ามันยังทำนิสัยแบบนี้เราจะไม่ช่วยเหลืออะไรมันอีก เพราะที่ผ่านมาเราช่วยทั้งเรื่องเงินบ้างนิดหน่อยพอที่เราจะช่วยได้ เพราะเราต้องส่งน้องคนเล็กเรียน แล้วไหนจะย้ายหอของมันเราก็ใช้รถเราช่วยย้าย
เรายังไม่มีความดีอีกหรอ ยังไม่ดีพออีกหรอ มันเป็นคนมาอาศัยเราแต่ทำไมเรากลายเป็นคนผิด ทำไมปัญหาทุกอย่างมันถึงเป็นเราที่ผิดอยู่คนเดียว เราถูกไล่ให้ไปตาย โดยที่แม่ก็ไม่เคยห้ามเลยที่น้องชายทำแบบนั้น เราพยามหนีออกมาแล้วนะ แต่ทำไมปัญหามันยังตามเรามา
ตอนนี้เราหนีไปไหนไม่ได้ เพราะมันคือบ้านเรากับแฟนเรา
แฟนเราบอกว่าเราดีกับครอบครัวจนเกินไป เพราะที่ผ่านมาไม่เคยมีใครทำดีกับเราเลย
สุดท้ายนี้เราตัดสินใจแล้วว่าจะเลิกช่วยน้องชาย จะมองมันเป็นแค่หมาจี้เรื้อนตัวหนึ่ง แต่ยังส่งน้องคนเล็กเรียน แต่ถ้ามันไม่อยากเรียนก็จะปล่อยและให้ออกไปยืนด้วยตัวเอง
สิ่งที่เราคิดว่าดีกลับกลายเป็นไม่มีอะไรดีซักอย่างกับครอบครัว เราขอกำลังใจหน่อยได้มั้ย เราอยากได้รับความสุขในชีวิตของเราบ้าง
ครอบครัว Toxic ที่ฉันพยายามหนีมาตลอด
เราต้องทำทุกอย่างเองตั้งแต่ ป. 4 ทำงานบ้านทุกอย่างและเลี้ยงน้องชายที่พ่อแม่ไม่เคยให้ทำอะไรเลย แล้วเวลามีปัญหาเราจะต้องกลายเป็นคนผิดทุกครั้ง เราถูกตีอย่างหนัก บางครั้งเราถูกตีโดยที่ไม่มีเหตุผล จนป.6 เราร้องไห้ทุกวัน ขอร้องยายว่าขอกลับไปอยู่ด้วยได้มั้ย แต่มันทำอะไรไม่ได้ เพราะแม่บอกว่าเราคือลูกเค้า เค้าจะเลี้ยงเอง ตั้งแต่ตอนนั้นเราไม่สามารถไปบ้านยายได้ ถ้าไป กลับมาจะต้องโดนตี จนกระทั่งเรารู้ว่าแม่ท้อง ซึ่งตอนนั้นเราป.6 และพ่อก็กลับมาอยู่บ้าน เราที่ถูกกระทำเหมือนไม่ใช่ลูกอยู่แล้วยิ่งโดนตี โดนกระทืบหนักเข้าไปใหญ่ จากไม้เรียวเล็กๆ กลายเป็นด้ามไม้กวาด จนถึงด้ามจอบ เราถูกตีเรื่อยๆ ซึ่งบางครั้งเราแทบไม่ได้ทำอะไรผิดเลย แต่เพราะแค่พ่อกับแม่ทะเลาะกัน สุดท้ายมาลงที่เรา น้องชายไม่เคยโดนตีเลย
จนเราอยู่ม.2 ตอนนั้นจำได้ดี เราพยามทำงานบ้านทุกอย่าง น้องชายที่โตขึ้นก็ข่มเหงเราสารพัดทั้งเรื่องเงิน เรื่องงานบ้าน ไหนเราจะเลี้ยงน้องคนเล็กอีก เราจึงตัดสินใจกินน้ำยาล้างจาน ในใจตอนนั้นคิดแค่ว่าถ้าตายไปแล้วทุกคนคงจะดีใจ ไม่มีคนสารเลวอย่างเราอยู่ทุกอย่างคงดีขึ้น เราไม่สามารถพูดเรื่องนี้กับคนในครอบครัวได้ เราเลือกที่จะไปโรงเรียน คนที่พาเราไปหาหมอคือเพื่อนสนิทของเรา ตอนนั้นหมอ พยาบาล ให้แม่คุยกับจิตแพทย์ แต่ผลก็ไม่ได้แตกต่างเลย กลับมาเราโดนหนักกว่าเดิม เคยเห็นในหนักที่เค้าเอาขวดเบียร์ตีหัวมั้ย นั่นแหละเราโดนก้นขวดเบียร์ตีหัว โดนตบจนแก้วหูอักเสบ โดนหยิกจนแขนเขียว โดนเอาหัวทุบกับพื้น ซึ่งตอนนั้นเราอยู่แค่ม.ต้น เราไม่สามารถหลบหนีไปไหนได้เลย ไม่มีความกล้าพอ
พอขึ้นม.ปลาย เราจะโดนเป็นไม้แล้วตีใต้ร่มผ้าเพื่อไม่ให้มีรอยตี ตอนม.ต้นขาเราลายไปทุกวัน เราเริ่มทำงานตั้งแต่ม.3 พอม.ปลายเราก็แทบไม่อยู่บ้าน ไปอบรมบ้าง ไปนำชมบ้าง (เป็นมัคคุเทศก์น้อย) หาเงินใช้ ซึ่งเราก็อยากได้โทรศัพท์ แต่ตอนนั้นพวกน้าๆ ซื้อให้พ่อแม่ไม่ยอม พอน้าเอาให้พวกเขาก็ยึดและเอาไปใช้เอง เราก็ได้แค่แอบเอามือถือเก่าๆ ที่น้าให้บ้าง ยายแอบให้บ้างมาใช้ เพราะบางทีเราใช้ทำงาน จนน้องชายเราอยากได้พ่อแม่ก็ประเคนหาให้ทุกอย่าง เราต้องขี่จักรยานไปโรงเรียนทุกวัน ซึ่งก่อนไปโรงเรียนจะต้องไปส่งน้องคนเล็กก่อน ในขณะที่น้องชายขี่มอไซค์ไป เราได้เงินไปโรงเรียนวันละ 20 ในขณะที่น้องได้มากกว่า เราแทบไม่เคยเรียกร้องขออะไรจากพ่อแม่เลย เพราะขอแล้วไม่เคยได้ แม้แต่เสื้อผ้าเขายังไม่แทบไม่เคยซื้อให้เลย ในขณะที่น้องๆ อยากได้อะไรพ่อแม่หาให้ทุกอย่าง คอนนั้นคิดว่าที่เราอยู่ตรงนั้นเพราะเราไม่ใช่ลูกเขาหรือเปล่า หรือเราเป็นแค่คนใช้ เพราะเราไม่เคยได้รับความรักอะไรเลย
เรายังถูกทุบตี หรือบางครั้งถูกพ่อกระทืบ อยู่เรื่อยๆ จนกระทั่ง ม.6 เราสอบติดมหาลัยในกรุงเทพ แต่พ่อเราบอกว่าไม่ต้องเรียนหรอก เดี๋ยวให้ป้าหาผัวฝรั่งให้ ไม่ต้องเรียน แต่ตอนนั้นเราอยากเรียนมากๆ อยากหนีไปจากตรงนั้น เป็นครั้งแรกเลยมั้งที่แม่ช่วยพูดว่าให้มาเรียน สุดท้ายเราก็ได้มาเรียนกรุงเทพ
พอมาเรียนกรุงเทพเราก็ได้มาอยู่บ้านน้า ชีวิตก็อิสระขึ้นนิดนึงแหละ แต่เหนื่อยมาก นั่งรถไปเรียนจากป้ายแรกลงป้ายสุดท้ายทุกวัน
ชีวิตช่วงการเรียนมหาลัยเราสนุกมาก มันดีกับเราจริงๆ จนกระทั่งเราอยู่ปี 4 ทุกคนกดดันเราว่าเมื่อไหร่จะเรียนจบ เมื่อไหร่จะออกมาทำงาน พ่อแม่ต้องรีบใช้เงินนะ ซึ่งตอนนั้นลูกชายสุดที่รักของเขาก็ออกจากโรงเรียน เรียนไม่จบ อยู่บ้านเล่นเกม
เราถูกกดดันด้วยเรื่องเงินและคำว่า "ลูกอกตัญญู" เรากดดันตัวเองจนต้อง Drop เรียน ตอนนั้นรู้สึกว่าอยู่ไม่ไหว พึ่งใครไม่ได้ ยังดีตอนนั้นมีแฟนและเรายังพอมีสติว่าไปหาจิตแพทย์เถอะ เราถูกวินิจฉัยว่าเป็น "โรคซึมเศร้า" เพราะตอนนั้นเราวางแผนที่จะตายแล้ว ไม่ได้อยากมีชีวิต ตอนนั้นครอบครัวคิดว่าเราไม่เป็นอะไรหรอก แค่เรียกร้องความสนใจ อยากให้สนใจ แล้วปีนั้นเราวนเวียนเข้าโรงบาล ป่วยนอนโรงบาลครึ่งปีหลังนอนโรงบาลทุกเดือน ร่างกายเราทรุด ตอนนั้นเราพยายามหางานทำ เพื่อหนีออกไปจากบ้านตรงนั้น เราทำงานเสร็จเลิกงานไปร้านเหล้า กลับบ้านตี 3 ตี 4 เพราะไม่อยากเจอใคร ตื่นมาก็ไปทำงานเลย ทำแบบนี้เป็นปี ซึ่งไม่ดีกับการรักษาซึมเศร้าเลย
จนน้องชายสุดที่รักคิดว่าอยากทำงาน เลยขึ้นมาอยู่กรุงเทพ มาอยู่บ้านน้าบ้านเดียวกัน เราให้มันช่วยจ่ายค่าบ้าน บางเดือนมันจ่ายให้เราไม่ตรงเราก็ต้องทวง สุดท้ายทะเลาะกันรุนแรง มันไล่ให้เราไปตาย ตอนนั้นเราอยากตายมากเลย ให้มันรู้สึกว่าเป็นเพราะมันที่ทำให้เราตาย แต่สุดท้ายแม่ก็เข้าข้างน้อง
แฟนเราตัดสินใจว่าแกอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้วเลยให้ย้ายออกมาอยู่คอนโดกับเพื่อน
เราย้ายมาอยู่คอนโดกับเพื่อน อาการซึมเศร้าของเรามันดีขึ้นจริงๆนะ เพราะออกมาจากสภาพแวดล้อมแย่ๆ แบบนั้น แต่เราก็ยังต้องเจอการโทรเข้ามาของพ่อ เพื่อโทรมาข่มขู่ จะเอาแต่เงิน เราไม่กลับบ้านต่างจังหวัดเลย 2-3 ปี เพราะคำว่า "ลูกอกตัญญู""อีเนรคุณ" เราเลยไม่กลับไปให้เขาเห็นหน้าอีก
เราฝืนเรียนจนจบมหาลัย เราจบมหาลัยสิริรวม 7 ปี เกือบเต็มโควต้า 555 แต่เราก็ยังเรียนจบ มีการมีงานทำ พอมีเงินบ้าง ตอนนั้นเราซื้อรถยนต์ ซึ่งแฟนเป็นคนซัพพอร์ตทุกอย่าง เรากลับบ้านในรอบหลายปี สุดท้ายก็ยังโดนน้องชายสุดที่รักพูดว่า มีปัญญาซื้อแค่นี้หรอ มีปัญญาทำแค่นี้หรอ เรียนมาตั้งสูง พ่อแม่เป็นหนี้ก็เพราะ (เรารู้ว่าแม่เป็นหนี้ แต่เขาอ้างว่าเพราะส่งเราเรียน) ตอนเรียนเราแทบไม่ได้ขอเงินพ่อแม่เลย เพราะเราไม่กล้าขอ ค่าเทอมเราก็กู้กยศ. มีแค่ตอนปี 3 ที่ไปอยู่หอ 6 เดือน อันนั้นแหละเปลืองหน่อย (ค่าหอรวมค่าน้ำค่าไฟตกเดือนนึงไม่เกิน 3 พัน) เราพยามสู้ด้วยตัวเองมาตลอด ในขณะที่น้องชายพอเห็นเรามีรถก็เพิ่งจะคิดได้ว่าต้องกลับไปเรียนต่อ (เพิ่งปลดทหารเกณฑ์มาซักพัก)
ปัจจุบันมันเรียนจบแล้ว ซึ่งมันมาอยู่บ้านแฟนเรา และหอที่เราเช่าไว้ให้น้องสาวกับแม่อยู่ แต่มันด่าเราว่าเราไม่มีความรับผิดชอบ ไม่ใช้หนี้ให้แม่ ไม่ทำอะไรเพื่อครอบครัว แต่มันมาอยู่บ้านเรานะ งานการก็ไม่ได้ทำนอนกิน ดูทีวี ในขณะที่เราทำงานงกๆ บางทีนั่งประชุมอยู่บ้านมันเปิดทีวีเสียงดัง กลายเป็นเราผิด ทีวีมันเปิดอะไรไว้เราปิดไม่ได้นะ เพราะมันดูอยู่ เราเคยบอกแม่แล้วว่าถ้ามันยังทำนิสัยแบบนี้เราจะไม่ช่วยเหลืออะไรมันอีก เพราะที่ผ่านมาเราช่วยทั้งเรื่องเงินบ้างนิดหน่อยพอที่เราจะช่วยได้ เพราะเราต้องส่งน้องคนเล็กเรียน แล้วไหนจะย้ายหอของมันเราก็ใช้รถเราช่วยย้าย
เรายังไม่มีความดีอีกหรอ ยังไม่ดีพออีกหรอ มันเป็นคนมาอาศัยเราแต่ทำไมเรากลายเป็นคนผิด ทำไมปัญหาทุกอย่างมันถึงเป็นเราที่ผิดอยู่คนเดียว เราถูกไล่ให้ไปตาย โดยที่แม่ก็ไม่เคยห้ามเลยที่น้องชายทำแบบนั้น เราพยามหนีออกมาแล้วนะ แต่ทำไมปัญหามันยังตามเรามา
ตอนนี้เราหนีไปไหนไม่ได้ เพราะมันคือบ้านเรากับแฟนเรา
แฟนเราบอกว่าเราดีกับครอบครัวจนเกินไป เพราะที่ผ่านมาไม่เคยมีใครทำดีกับเราเลย
สุดท้ายนี้เราตัดสินใจแล้วว่าจะเลิกช่วยน้องชาย จะมองมันเป็นแค่หมาจี้เรื้อนตัวหนึ่ง แต่ยังส่งน้องคนเล็กเรียน แต่ถ้ามันไม่อยากเรียนก็จะปล่อยและให้ออกไปยืนด้วยตัวเอง
สิ่งที่เราคิดว่าดีกลับกลายเป็นไม่มีอะไรดีซักอย่างกับครอบครัว เราขอกำลังใจหน่อยได้มั้ย เราอยากได้รับความสุขในชีวิตของเราบ้าง