ตอนที่3. นิยายโบราณ
“เฮ่อ...มาแนวนิยายรักน้ำเน่าตามเคย” ย่าหยาบ่นกับตัวเอง หากไม่ใช่ชื่อตัวละครคุ้นแสนคุ้นจนเรียกว่ารู้จักดีในระดับหนึ่งแล้วล่ะก็ เธอคงโยนมันทิ้งไปแล้ว ถึงอย่างนั้นก็ยังชั่งใจว่าจะเปิดหน้าต่อไปดีหรือไม่
นิ้วชี้ขวาสอดเข้าไปใต้แผ่นกระดาษรอพร้อมอยู่แล้ว เพียงแต่ในใจยังคิดไม่ตก คำพูดเจ้าของร้านซึ่งฟังดูมีเลศนัยนั้นจะเชื่อได้จริงหรือ แต่หากผนวกเข้ากับเหตุการณ์หลาย ๆ อย่างที่เกิดขึ้นภายในร้านแล้ว ความเป็นไปได้ที่เธอจะค้นพบคำตอบจากนิยายเรื่องนี้ ก็ชี้ชวนให้ควรลองอยู่ไม่น้อย
ที่สุด หัวใจก็อยู่เหนือสมอง ความอยากรู้อยากเห็นก้าวข้ามคำว่าเหตุผล ย่าหยาตัดสินใจพลิกหน้ากระดาษเก่า ๆ เพื่ออ่านเนื้อหาหน้าถัดไปทันที จังหวะนั้น ลมวูบหนึ่งหอบเอากลิ่นหอมสดชื่นของดอกไม้ไม่ก็เครื่องหอมโชยมาแตะจมูก ชั่วขณะย่าหยาเกิดอาการวิงเวียนมึนงงเล็กน้อย
แต่เพียงชั่วครู่ก็หายไป เธอกลับเป็นปกติ และมีใจอยากอ่านเนื้อหาในนิยายโบราณชื่อแสนน้ำเน่านั้นชนิดยากจะหักห้าม ราวกับลมและกลิ่นหอมเมื่อครู่เป็น
เวทย์มนต์ที่สะกดให้เธอต้องอ่านมันเท่านั้น
1900 ปีก่อนคริสตกาล พระเจ้าหู่ แห่งราชวงศ์เซี่ยว กรำศึกน้อยใหญ่เพื่อรวบรวมเอาแว่นแคว้นต่าง ๆ เข้าด้วยกัน แม้พระองค์จะมีศักดิ์เป็นถึงองค์จักรพรรดิ ทว่า หลายคราหลายสนามรบ พระเจ้าหู่มักสวมเกราะมังกรทองควบม้ากวัดแกว่งอาวุธเพื่อกำราบบรรดาเมืองน้อยเมืองใหญ่ที่แข็งขืน ข้างกายมีสองแม่ทัพที่เป็นดั่งมือทั้งซ้ายขวาขนาบข้างมิเคยห่าง
หนึ่งคือองค์ชายรองนามว่า
ฮั่นจวินอ๋อง สวมเกราะกิเลนดำทับเกราะอ่อนที่ถักทอจากไหมทองคำ มีกระบี่คู่กายยาว 10 ชุ่น กวัดแกว่งแหวกทางให้แก่พระเจ้าหู่ผู้เป็นบิดา
อีกหนึ่งคือ
แม่ทัพหลี่ เขาเป็นน้องชายต่างมารดาขององค์ชายรอง สวมเกราะพยัคฆ์ขาวตัวเกราะทำจากเหล็กเคลือบเงินทับเกราะอ่อนถักทอจากไหมทองคำเช่นกัน ควบม้าควงทวนตีคู่กับองค์ชายรอง มิให้อริราชเข้าถึงตัวองค์จักรพรรดิได้ ชื่อเสียงของทัพหน้าซึ่งมีองค์จักรพรรดิและสองแม่ทัพมากฝีมือเป็นแกนนำระบือไปทั่วหล้า ใคร ๆ ต่างก็เรียกว่า
ทัพสามสัตว์เทพ
สิบปีเต็มในการกรำศึกอย่างหนักไม่มีพัก ที่สุดพระเจ้าหู่ทรงรวบรวมแว่นแคว้นและหัวเมืองเข้าด้วยกันได้ ทุกแห่งหนล้วนตกอยู่ใต้การปกครองของพระองค์
หาใช่เพราะเกรงกลัวอำนาจแต่เป็นเพราะเลื่อมใสในคุณธรรมและความเมตตา เข้าตีเมืองใดจะส่งสารให้ก่อน หากยอมแต่โดยดีพระเจ้าหู่จะไม่หักหาญ ยอมลงนามเป็นพันธมิตรกันโดยไร้การหลั่งเลือด แต่หากเมืองใดคิดแข็งขืนสู้จนตัวตาย พระองค์เองก็ไม่ยอมปล่อยไว้ บุกตีทลายประตูเมืองต่อสู้เยี่ยงทหารแต่ไม่ระรานประชาชน สุดท้าย เมืองแห่งนั้นจึงยอมศิโรราบและร่วมเป็นพันธมิตรเช่นกัน สู้จบแล้วก็จบเท่านั้น พระเจ้าหู่ทรงปกครองทุกเมืองทุกแคว้นโดยยึดหลักคุณธรรมเป็นที่ตั้ง
ต่อมาอีกไม่นาน พระเจ้าหู่ประชวรด้วยโรคร้ายไร้ที่มา หมอหลวงจนปัญญารักษาที่สุดก็เสด็จสวรรคต องค์ชายใหญ่ร่างกายอ่อนแอ คร่ำเคร่งกับตำราชื่นชอบความโดดเดี่ยวปฏิเสธการครองราชย์ องค์ชายสามประสบอุบัติเหตุขณะเที่ยวล่าสัตว์บนเขา ทหารติดตามนำร่างกลับมาได้เพียงส่วนเสี้ยว ด้วยเหตุนั้น บัลลังก์จึงตกเป็นขององค์ชายรอง หรือก็คือฮั่นจวินอ๋องโดยไร้ข้อกังขา
แม่ทัพหลี่ซึ่งตลอดมาเป็นแม่ทัพคู่กายจักรพรรดิองค์ก่อนได้เลื่อนขึ้นเป็นอีกที่ปรึกษาคู่กับ
จื้อกงกง แม้เหล่าขุนนางจะพยายามโต้แย้งว่าไม่เหมาะสม เพราะแม่ทัพหลี่เดิมเป็นทหาร การจะให้ขึ้นเป็นที่ปรึกษาขององค์จักรพรรดินั้นมิบังควร ต่อให้ทุกคนรู้ดีว่าแม่ทัพหลี่ผู้นี้ เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของจักรพรรดิองค์ก่อนเช่นกันก็ตาม
“เมื่อยามเสด็จพ่อออกศึก เราเองก็อยู่ข้างกาย สู้ถวายหัวเยี่ยงที่แม่ทัพหลี่กระทำ แล้วเหตุใดเราขึ้นครองบัลลังก์ได้ แต่แม่ทัพหลี่กลับขึ้นมาเป็นที่ปรึกษาไม่ได้เล่า? หากขุนนางท่านใดมีเหตุผลอันสมควรมาโน้มน้าวเราสักข้อ ก็ว่ามา!”
ท้องพระโรงเงียบกริบ เหล่าขุนนางต่างก้มหน้าด้วยจนปัญญาจะหาสิ่งใดมาเถียง
“เช่นนั้นก็ดี นับแต่นี้...แม่ทัพหลี่ ได้บรรดาศักดิ์ใหม่เป็นจวินอ๋องนามว่าหลี่เฉิน ที่ปรึกษาข้างกายของเราสืบไป!”
การขึ้นครองราชย์ของพระเจ้าฮั่นใช่จะเป็นผลดี เหล่าแว่นแคว้นหัวเมืองน้อยใหญ่ฉีกสนธิสัญญาสงบศึกฉบับเดิม ทำเมินมองไม่เห็นหัวเมืองอู่เสี้ยงซึ่งเป็นเมืองหลวง ไม่สนใจแต่ก็ไม่ใคร่ทำสงครามด้วย แยกตัวออกไปปกครองตนเอง สร้างความลำบากใจให้แก่พระเจ้าฮั่นเป็นที่สุด
ดั่งเคราะห์ซ้ำกรรมซัด ผืนดินที่เคยทำเกษตรกรรมและให้ผลผลิตงอกงามกลับตาลปัตร ปลูกอะไรก็ตาย เพาะสิ่งใดก็เฉา
น้ำท่าแม้จะอุดมพอประมาณเพราะด้านหลังเป็นเขาใหญ่ มีน้ำตกและธารน้ำไหลตลอดปี ทว่าผืนดินไม่เหมาะแก่การทำเกษตรใด ๆ ขุดลึกลงไปเพียง 10 จั้ง(ประมาณสามสิบเมตรเศษ)ใต้ผิวดินจะเป็นกำมะถัน ส่งผลให้ดินเปรี้ยว
จากเมืองหลวงที่อุดมไปด้วยพืชพรรณธัญญาหาร กลับกลายเป็นเมืองแห่งความอับเฉา ชาวเมืองเริ่มถึงกาลอดอยาก สัตว์เลี้ยงล้มตายด้วยทั้งโรคร้ายและขาดอาหาร เมืองอู่เสี้ยงจึงเป็นที่รู้จักในนาม
เมืองต้องสาป
(มีต่อ)
ลำนำรักกระเรียนพันปี ตอนที่3.
“เฮ่อ...มาแนวนิยายรักน้ำเน่าตามเคย” ย่าหยาบ่นกับตัวเอง หากไม่ใช่ชื่อตัวละครคุ้นแสนคุ้นจนเรียกว่ารู้จักดีในระดับหนึ่งแล้วล่ะก็ เธอคงโยนมันทิ้งไปแล้ว ถึงอย่างนั้นก็ยังชั่งใจว่าจะเปิดหน้าต่อไปดีหรือไม่
นิ้วชี้ขวาสอดเข้าไปใต้แผ่นกระดาษรอพร้อมอยู่แล้ว เพียงแต่ในใจยังคิดไม่ตก คำพูดเจ้าของร้านซึ่งฟังดูมีเลศนัยนั้นจะเชื่อได้จริงหรือ แต่หากผนวกเข้ากับเหตุการณ์หลาย ๆ อย่างที่เกิดขึ้นภายในร้านแล้ว ความเป็นไปได้ที่เธอจะค้นพบคำตอบจากนิยายเรื่องนี้ ก็ชี้ชวนให้ควรลองอยู่ไม่น้อย
ที่สุด หัวใจก็อยู่เหนือสมอง ความอยากรู้อยากเห็นก้าวข้ามคำว่าเหตุผล ย่าหยาตัดสินใจพลิกหน้ากระดาษเก่า ๆ เพื่ออ่านเนื้อหาหน้าถัดไปทันที จังหวะนั้น ลมวูบหนึ่งหอบเอากลิ่นหอมสดชื่นของดอกไม้ไม่ก็เครื่องหอมโชยมาแตะจมูก ชั่วขณะย่าหยาเกิดอาการวิงเวียนมึนงงเล็กน้อย
แต่เพียงชั่วครู่ก็หายไป เธอกลับเป็นปกติ และมีใจอยากอ่านเนื้อหาในนิยายโบราณชื่อแสนน้ำเน่านั้นชนิดยากจะหักห้าม ราวกับลมและกลิ่นหอมเมื่อครู่เป็น
เวทย์มนต์ที่สะกดให้เธอต้องอ่านมันเท่านั้น
1900 ปีก่อนคริสตกาล พระเจ้าหู่ แห่งราชวงศ์เซี่ยว กรำศึกน้อยใหญ่เพื่อรวบรวมเอาแว่นแคว้นต่าง ๆ เข้าด้วยกัน แม้พระองค์จะมีศักดิ์เป็นถึงองค์จักรพรรดิ ทว่า หลายคราหลายสนามรบ พระเจ้าหู่มักสวมเกราะมังกรทองควบม้ากวัดแกว่งอาวุธเพื่อกำราบบรรดาเมืองน้อยเมืองใหญ่ที่แข็งขืน ข้างกายมีสองแม่ทัพที่เป็นดั่งมือทั้งซ้ายขวาขนาบข้างมิเคยห่าง
หนึ่งคือองค์ชายรองนามว่า ฮั่นจวินอ๋อง สวมเกราะกิเลนดำทับเกราะอ่อนที่ถักทอจากไหมทองคำ มีกระบี่คู่กายยาว 10 ชุ่น กวัดแกว่งแหวกทางให้แก่พระเจ้าหู่ผู้เป็นบิดา
อีกหนึ่งคือ แม่ทัพหลี่ เขาเป็นน้องชายต่างมารดาขององค์ชายรอง สวมเกราะพยัคฆ์ขาวตัวเกราะทำจากเหล็กเคลือบเงินทับเกราะอ่อนถักทอจากไหมทองคำเช่นกัน ควบม้าควงทวนตีคู่กับองค์ชายรอง มิให้อริราชเข้าถึงตัวองค์จักรพรรดิได้ ชื่อเสียงของทัพหน้าซึ่งมีองค์จักรพรรดิและสองแม่ทัพมากฝีมือเป็นแกนนำระบือไปทั่วหล้า ใคร ๆ ต่างก็เรียกว่า ทัพสามสัตว์เทพ
สิบปีเต็มในการกรำศึกอย่างหนักไม่มีพัก ที่สุดพระเจ้าหู่ทรงรวบรวมแว่นแคว้นและหัวเมืองเข้าด้วยกันได้ ทุกแห่งหนล้วนตกอยู่ใต้การปกครองของพระองค์
หาใช่เพราะเกรงกลัวอำนาจแต่เป็นเพราะเลื่อมใสในคุณธรรมและความเมตตา เข้าตีเมืองใดจะส่งสารให้ก่อน หากยอมแต่โดยดีพระเจ้าหู่จะไม่หักหาญ ยอมลงนามเป็นพันธมิตรกันโดยไร้การหลั่งเลือด แต่หากเมืองใดคิดแข็งขืนสู้จนตัวตาย พระองค์เองก็ไม่ยอมปล่อยไว้ บุกตีทลายประตูเมืองต่อสู้เยี่ยงทหารแต่ไม่ระรานประชาชน สุดท้าย เมืองแห่งนั้นจึงยอมศิโรราบและร่วมเป็นพันธมิตรเช่นกัน สู้จบแล้วก็จบเท่านั้น พระเจ้าหู่ทรงปกครองทุกเมืองทุกแคว้นโดยยึดหลักคุณธรรมเป็นที่ตั้ง
ต่อมาอีกไม่นาน พระเจ้าหู่ประชวรด้วยโรคร้ายไร้ที่มา หมอหลวงจนปัญญารักษาที่สุดก็เสด็จสวรรคต องค์ชายใหญ่ร่างกายอ่อนแอ คร่ำเคร่งกับตำราชื่นชอบความโดดเดี่ยวปฏิเสธการครองราชย์ องค์ชายสามประสบอุบัติเหตุขณะเที่ยวล่าสัตว์บนเขา ทหารติดตามนำร่างกลับมาได้เพียงส่วนเสี้ยว ด้วยเหตุนั้น บัลลังก์จึงตกเป็นขององค์ชายรอง หรือก็คือฮั่นจวินอ๋องโดยไร้ข้อกังขา
แม่ทัพหลี่ซึ่งตลอดมาเป็นแม่ทัพคู่กายจักรพรรดิองค์ก่อนได้เลื่อนขึ้นเป็นอีกที่ปรึกษาคู่กับจื้อกงกง แม้เหล่าขุนนางจะพยายามโต้แย้งว่าไม่เหมาะสม เพราะแม่ทัพหลี่เดิมเป็นทหาร การจะให้ขึ้นเป็นที่ปรึกษาขององค์จักรพรรดินั้นมิบังควร ต่อให้ทุกคนรู้ดีว่าแม่ทัพหลี่ผู้นี้ เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของจักรพรรดิองค์ก่อนเช่นกันก็ตาม
“เมื่อยามเสด็จพ่อออกศึก เราเองก็อยู่ข้างกาย สู้ถวายหัวเยี่ยงที่แม่ทัพหลี่กระทำ แล้วเหตุใดเราขึ้นครองบัลลังก์ได้ แต่แม่ทัพหลี่กลับขึ้นมาเป็นที่ปรึกษาไม่ได้เล่า? หากขุนนางท่านใดมีเหตุผลอันสมควรมาโน้มน้าวเราสักข้อ ก็ว่ามา!”
ท้องพระโรงเงียบกริบ เหล่าขุนนางต่างก้มหน้าด้วยจนปัญญาจะหาสิ่งใดมาเถียง
“เช่นนั้นก็ดี นับแต่นี้...แม่ทัพหลี่ ได้บรรดาศักดิ์ใหม่เป็นจวินอ๋องนามว่าหลี่เฉิน ที่ปรึกษาข้างกายของเราสืบไป!”
การขึ้นครองราชย์ของพระเจ้าฮั่นใช่จะเป็นผลดี เหล่าแว่นแคว้นหัวเมืองน้อยใหญ่ฉีกสนธิสัญญาสงบศึกฉบับเดิม ทำเมินมองไม่เห็นหัวเมืองอู่เสี้ยงซึ่งเป็นเมืองหลวง ไม่สนใจแต่ก็ไม่ใคร่ทำสงครามด้วย แยกตัวออกไปปกครองตนเอง สร้างความลำบากใจให้แก่พระเจ้าฮั่นเป็นที่สุด
ดั่งเคราะห์ซ้ำกรรมซัด ผืนดินที่เคยทำเกษตรกรรมและให้ผลผลิตงอกงามกลับตาลปัตร ปลูกอะไรก็ตาย เพาะสิ่งใดก็เฉา
น้ำท่าแม้จะอุดมพอประมาณเพราะด้านหลังเป็นเขาใหญ่ มีน้ำตกและธารน้ำไหลตลอดปี ทว่าผืนดินไม่เหมาะแก่การทำเกษตรใด ๆ ขุดลึกลงไปเพียง 10 จั้ง(ประมาณสามสิบเมตรเศษ)ใต้ผิวดินจะเป็นกำมะถัน ส่งผลให้ดินเปรี้ยว
จากเมืองหลวงที่อุดมไปด้วยพืชพรรณธัญญาหาร กลับกลายเป็นเมืองแห่งความอับเฉา ชาวเมืองเริ่มถึงกาลอดอยาก สัตว์เลี้ยงล้มตายด้วยทั้งโรคร้ายและขาดอาหาร เมืองอู่เสี้ยงจึงเป็นที่รู้จักในนาม เมืองต้องสาป
(มีต่อ)