ตอนที่4. สิบปีแห่งความว่างเปล่า
วันที่ 1 ธันวาคม ยามจื่อ ปีมะโรง พระเจ้าฮั่นสวรรคต ทว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น ยังไม่นับเป็นการสิ้นสุด‘รัชสมัยเจี้ยนกั๋ว’ของพระองค์ลง ถึงอย่างไร บันทึกมีไว้ พระเจ้าฮั่นนับเวลาครองราชย์ได้ 40 ปี 10 เดือน
ประชาชนร่ำไห้ หัวเมืองน้อยใหญ่ชักธงขาวดำขึ้นคู่กับธงประจำเมือง สิ่งที่น่าแปลกคือยามนั้นเป็นฤดูหนาว ทว่าสายฝนกลับโปรยปรายลงมาตลอดไม่มีหยุดหย่อนจนกระทั่งยามจื่อของอีกวัน ราวกับมิใช่เพียงมนุษย์เท่านั้นที่โศกา เทพยาดาบนชั้นฟ้าเองก็รับรู้ถึงการจากไปของจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่พระองค์นี้เช่นกัน
ในระหว่างพิธีเรียกขวัญ ตลอดเจ็ดวันนั้นทั้งขุนนางฝ่ายบุ๋น ส่วนหนึ่งซึ่งเป็นส่วนใหญ่พยายามเรียกร้องตามเจี้ยนอ๋อง ที่ปรึกษาขององค์รัชทายาทเพียงหนึ่งเดียวว่าถึงเวลาให้พระองค์ขึ้นครองราชย์ได้แล้ว ปล่อยไปนานวันโดยทิ้งให้บัลลังก์ว่าเปล่าจะส่งผลเสียแก่ชาติบ้านเมือง เหล่าแว่นแคว้นที่เคยเป็นพันธมิตรจะตีตัวออกห่าง ไม่แน่อาจก่อสงครามขึ้นได้
ฝ่ายขุนนางฝ่ายบุ๋นที่เหลือเพียงหยิบมือและขุนนางฝ่ายบู๊เองก็นำเรื่องนี้ขึ้นมาถก ขนบธรรมเนียมโบราณว่าไว้ อย่างไรเสียการขึ้นครองราชย์หรือตั้งต้นรัชสมัยใหม่ ควรรอให้ความโศกเศร้าเสียใจของเหล่าอาณาประชาราษฎร์ทุเลาลงเสียก่อน เวลาอันเหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญ องค์รัชทายาทในพระเจ้าฮั่นมีเพียงองค์เดียว อย่างไรเสียบัลลังก์ก็ไม่ไปไหน ขอเพียงถึงเวลาย่อมตกเป็นของพระองค์อยู่แล้ว หากไม่มีอะไรผิดพลาด
การโต้เถียงเรื่องที่ว่านั้นเกิดขึ้นทุกวันในท้องพระโรง ต่อหน้าพระที่นั่งมังกรทองอันว่างเปล่า ขุนนางแบ่งเป็นสองฝ่าย หนึ่งมีผู้นำเป็นเจี้ยนอ๋อง และอีกหนึ่ง เฉินจวินอ๋องเป็นคนออกหน้า เรียกได้ว่ายามนั้นศึกภายในระอุและเกิดขึ้นก่อนศึกภายนอกเสียด้วยซ้ำ องค์รัชทายาทหรือพระเจ้าฮู่ในอนาคตหาได้ปรากฏตัว พระองค์ไว้อาลัยเพียงลำพังในสุสานบรรพชน ไม่ยอมให้ใครเข้าพบ ต่อให้เป็นเจี้ยนอ๋องก็ไม่ละเว้น และแล้ว...ก็ถึงเวลา
“ขุนนางทุกท่าน...มีราชโองการ...”
เสียงประกาศก้องสยบการสาดวิวาทะในท้องพระโรงจนเงียบกริบ ยิ่งจื้อกงกงและเจ็ดขันทีซึ่งควรอยู่ในสุสานหลวงปรากฏตัวออกมาซ้ำยังเป็นผู้ถือราชโองการเช่นครั้งพระเจ้าฮั่นยังอยู่ ยิ่งทำให้เจี้ยนอ๋องรวมทั้งขุนนางฝั่งตนเบิกตากว้าง คัดค้านไม่ยอมรับฟังซ้ำยังไล่กลับ กล่าวโทษว่าชายถูกตอนเหล่านั้นเป็นกบฏ ไม่ยอมปฏิบัติตามธรรมเนียม
“เจี้ยนอ๋อง...หากจะกล่าวถึงธรรมเนียม ท่านปฏิบัติตามด้วยรึ? ขุนนางทั้งหลายที่อยู่ฝ่ายท่านปฏิบัติตามด้วยรึ เช่นนี้แล้วท่านมีสิทธิ์อะไรไปกล่าวโทษจื้อกงกงเขา?”
“หึ...นี่เป็นแผนของท่านล่ะสิ? ท่านและเจ้าคนประหลาดหญิงก็ไม่ใช่ชายก็ไม่เชิงเหล่านั้นรวมหัวกันใช่ไหม? กบฏ! คนเหล่านี้เป็นกบฏ!!! ทหาร!!!” เจี้ยนอ๋องของขึ้นเลือดเดือด ตวาดลั่นหยาบคาย เรียกทหารหลวงเข้ามาหมายให้จับตัวไม่ก็สังหารก้างชิ้นใหญ่ของตนทิ้งเสีย
“ทหาร!” ทว่ากลับกลายเป็นตนเองที่ต้องสะดุ้งโหยง เฉินจวินอ๋องซึ่งเคยดำรงตำแหน่งแม่ทัพคู่กับจักรพรรดิองค์ก่อน ซ้ำยังเป็นที่ชื่นชมของพระเจ้าหู่ ขุนนางฝ่ายบู๊รวมทั้งกองทหาร ย่อมจงรักภักดีต่อคนสนิทและหนึ่งในที่ปรึกษาของพระเจ้าฮั่นผู้นี้ชนิดถวายหัว
หลักฐานคือเพียงการตวาดครั้งเดียว ทหารหลวงกรูกันเข้ามาในท้องพระโรง ทั้งองค์รักษ์เกราะดำ องค์รักษ์เกราะทอง หัวหน้านายกองที่มีสิทธิ์พกกระบี่เข้าท้องพระโรงต่างเข้ามากันหมด และท่าทีของกลุ่มคนที่ว่าเหล่านั้น บอกเป็นนัยชี้ชัดเลยว่า อยู่ฝ่ายเดียวกับเฉินจวินอ๋องอย่างไม่ต้องสงสัย
“การที่จื้อกงกงยังอยู่ที่นี่ไม่ใช่ในสุสานหลวงย่อมมีเหตุผล และราชโองการที่ถืออยู่นั่นล่ะเหตุผลของการที่ยังอยู่ องค์จักรพรรดิสิ้นเพียงไม่นาน พวกท่านก็กระด้างกระเดื่อง มองข้ามราชโองการซึ่งเปรียบดั่งคำสั่งสวรรค์ที่พระองค์ทิ้งไว้แล้วรึ? ข้าให้ท่านและขุนนางข้างหลังนั่นไตร่ตรองดูอีกครั้ง ว่าการกระทำแบบไหนกันแน่ ที่เรียกว่ากบฏ?”
เงียบ...ท้องพระโรงเงียบกริบ จังหวะนั้นเององค์รัชทายาทปรากฏตัวต่อหน้าธารกำนัลทุกคน ทว่าพระองค์เพียงแต่ยืนอยู่ข้าง ๆ บัลลังก์มิได้นั่งหรือแสดงอาการเป็นเจ้าของแต่อย่างใด ทรงปรายตามองจื้อกงกงเป็นการบอกโดยนัยว่า ราชโองการฉบับนั้น จงประกาศมันเสีย จื้อกงกงค้อมศีรษะด้วยอาการเคารพก่อนหันหน้าออกยังโถงพระโรง ข้าราชบริพารขุนนางทั้งหลายคุกเข่ารอรับแต่โดยดี
“ข้อความต่อไปนี้...เป็นพระราชประสงค์ของพระเจ้าฮั่นจักรพรรดิผู้สิ้นพระชนม์ ขอขุนนางทุกท่านโปรดรับฟังอย่างตั้งใจ...” จื้อกงกงหยุดนิดหนึ่ง เหลือบมององค์รัชทายาท เห็นอีกฝ่ายยังคงนิ่งเงียบจึงกล่าวต่อ
“รับสั่งขององค์จักรพรรดิมีว่า แม้นพระองค์จะเสด็จสวรรคตแล้ว แต่รัชสมัยเจี้ยนกั๋วยังคงอยู่ จนกว่าองค์รัชทายาทจะเหมาะสมแก่การขึ้นครองราชย์ หรือจนกว่าจะถึงเวลา...ฉะนั้น หากยังไม่ถึงเวลานั้น พสกนิกรรวมถึงขุนนางทุกฝ่าย ยังคงอยู่ใต้ร่มพระบารมี รัชสมัยเจี้ยนกั๋วยังคงต้องดำรงไว้ เป็นเวลา 10 ปี เฉินจวินอ๋อง เป็นผู้สำเร็จราชการแทน และมีหน้าที่ให้คำปรึกษาแก่องค์รัชทายาทสืบไปจนกว่าพระองค์จะขึ้นครองราชย์ จบราชโองการ...”
เหล่าขุนนางทั้งหลายส่งเสียงอื้ออึง โดยเฉพาะฝั่งที่เข้ากับเจี้ยนอ๋องยิ่งโหวกเหวกโวยวาย ด้วยว่าหากรอเวลานานไป เกรงว่าสิบปีนั้นตนเองอาจอยู่ไม่ถึง ผลประโยชน์ที่จะกอบโกยได้จากองค์รัชทายาทซึ่งตนเองมองว่าโง่เง่า ถูกเจี้ยนอ๋องชักใยอยู่เบื้องหลัง ตนจะไม่ได้ครอง ฝ่ายขุนนางบู๊และบุ๋นฝั่งเฉินจวินอ๋องเงียบกริบด้วยอาการมึนงง แต่แล้ว ทุกอากัปกิริยาต่างนิ่งงันปานก้อนหิน เมื่อเห็นเหตุการณ์บนแท่นบัลลังก์ องค์รัชทายาทค้อมตัวลงยื่นสองมือและแบออก
“ลูกน้อมรับพระบัญชา...”
จื้อกงกงมีท่าทีกลืนไม่เข้าคายไม่ออก มอบราชโองการฉบับนั้นให้แก่องค์รัชทายาท กล่าวต่ออีกเล็กน้อยได้ยินกันเพียงสองคน
“อีกฉบับ กระหม่อมจะเก็บไว้ในสุสานหลวง และจะเฝ้าดูแลอย่างดีพ่ะย่ะค่ะ ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่น ๆ ปี กระหม่อมคงมีโอกาสบอกแก่พระองค์ได้เพียงเท่านี้...”
“จื้อกงกง ลำบากท่านแล้ว...” องค์รัชทายาทตอบรับด้วยอาการแผ่วเบาได้ยินเพียงสองคนเช่นกัน
ข่าวเรื่องเมืองหลวงวุ่นวายแตกแยกกันเองแพร่กระจายไปทั่ว ปัญหาที่เคยเกิดขึ้นเมื่อครั้งต้นรัชสมัยเจี้ยนกั๋วหวนกลับมาอีกครั้ง เมืองต่าง ๆ เริ่มกระด้างกระเดื่อง ผลผลิตที่เคยส่งให้เริ่มลดน้อยลง บางเมืองบางแคว้นไม่ส่งเลย สาเหตุไม่ใช่อื่นใด เพราะเมืองอู่เสี้ยง ตัดสินใจไม่ส่งแร่กำมะถันแต่เปลี่ยนเป็นขายแทน
นั่นย่อมไม่ถูกต้อง แต่ก่อนเคยได้มาแล้วแลกไป เดี๋ยวนี้จะมาขายซ้ำยังจะเอาผลผลิตไปอีก นั่นผิดกับสิ่งที่พระเจ้าฮั่นทรงกระทำไว้ และผิดต่อสนธิสัญญาที่มีต่อกัน ชนวนเหตุนี้เองที่เป็นบ่อเกิดแห่งสงคราม
เมื่อมีสงครามประชาชนย่อมต้องเดือดร้อน ไม่มีผลผลิตข้าวปลาอาหารขาดแคลนประชาชนย่อมถึงกาลอดอยาก เมืองต้องสาปกลับมาอีกครั้ง องค์รัชทายาทเองก็ไม่ใคร่ใส่ใจ มัวจมอยู่กับตัณหา ล้อมรอบด้วยอิสตรี เมืองใดมีข่าวกระด้างกระเดื่อง ไม่ยอมส่งผลผลิตมาให้ก็ประกาศสงคราม ส่งทหารไปตีบุกยึดคร่าชีวิตทั้งทหารและชาวเมืองชนิดไร้ปราณี
ขณะที่ทั้งแผ่นดินเริ่มลุกเป็นไฟ เมืองหลวงมีศพคนตายและซากสัตว์ที่สุดจะฝืนให้รอดพ้นจากความอดอยาก แต่วังหลวงกลับมีงานรื่นเริง องค์รัชทายาทแต่งพระชายาเข้าวังหวังกาลข้างหน้าเมื่อตนครองบัลลังก์ หญิงสาวผู้นี้จะเป็นแม่ของแผ่นดิน
พระชายาที่ว่า มาจากตระกูลเซียว นามว่าจางลี่ เป็นบุตรีของ เซียวเจี้ยนเทียน หรือก็คือเจี้ยนอ๋องนั่นเอง
วันเวลาผ่านไปโดยองค์รัชทายาทไม่ยอมใส่ใจงานราชกิจ ลุ่มหลงกับหญิงงาม แม้มีพระชายาแล้วยังรับเอาหญิงอื่นมาเป็นสนมเพื่อปรนเปรอ ไม่ใส่ใจอายุขอเพียงรูปงาม ยิ่งได้พบเด็กหญิงที่ยังไม่มีระดูยิ่งชอบ สั่งทหารหลวงไปลากตัวมาจนได้ พ่อแม่จะเป็นขุนนางหรือพ่อค้าหากขัดขืนแล้วไซ้เป็นสังหาร ยังไม่นับรวมหญิงสาวที่จับเอามาเป็นเชลยจากต่างเมืองอีก เรียกว่า องค์รัชทายาทมีสนมร่วมครึ่งร้อย ในระยะเวลาเพียง 9 ปี
เหล่าบรรดาเมืองน้อยเมืองใหญ่ที่พ่ายศึกจำต้องส่งบรรณาการ ไม่เป็นอาหาร เครื่องเคลือบ เงินทอง ก็ต้องส่งลูกสาวมาให้ เว้นก็แต่เมือง ๆ หนึ่ง เป็นเมืองเดียวเท่านั้นที่ กองทัพเมืองอู่เสี้ยงไม่สามารถตีหักเอามาได้ ซ้ำยังประกาศไม่ยอมจำนน ไม่ยอมส่งมอบสิ่งของบรรณาการใด ๆ ให้อู่เสี้ยงเด็ดขาด เมือง ๆ นั้น คือเมืองยู่ซาน เมืองที่ตั้งอยู่หน้าเขาเขียวขจีสีดั่งหยก
ใช่ว่าชัยภูมิของเมืองเป็นต่ออู่เสี้ยงจึงตีไม่ได้ แต่เป็นเพราะกองทัพของเมืองแข็งแกร่ง ทั้งทหารและแม่ทัพต่างมากฝีมือไม่ว่ากลศึกหรือการต่อสู้ อู่เสี้ยงพยายามบุกตีครั้งแล้วครั้งเล่า แค่ประตูเมืองยังเข้าใกล้ไม่ได้ ที่สำคัญ แม่ทัพที่ว่าเก่งกาจปานเทพสงครามนั้นเป็นหญิง แซ่เผิง นามว่า ซิ่วอิง นางเป็นบุตรีคนรองของ เผิงหยุน ผู้เป็นเจ้าเมืองนั่นเอง
ดั่งเผิงหยุน เจ้าเมืองยู่ซางได้รับพรจากสรวงสวรรค์ หากกล่าวถึงบุตรีคนรองแล้ว จะไม่กล่าวถึงบุตรีคนโตคงไม่ได้ เผิงซีซวน พี่สาวผู้เลอโฉมซ้ำยังฉลาดเฉลียว แผนการรบ ค่ายกล นางสามารถคิดค้นประยุกต์ใช้ตามสถานการณ์ได้ราวกับทุก ๆ อย่างเป็นเพียงหมากบนกระดาน
ด้วยเหตุนี้เอง เผิงหยุนจึงมีบุตรีทั้งสองช่วยเหลือได้ทุกอย่าง คนโตฉลาด การปกครองเมืองเป็นเยี่ยมประชากรเป็นสุข คนรองเก่งกาจวิทยายุทธ เชี่ยวชาญการศึก สองพี่น้องเป็นหญิงสาวที่สามารถกล่าวได้ว่าบุรุษทั่วหล้าต่างต้องการครอบครอง แต่ใครเล่าจะสามารถพอ
(มีต่อ)
ลำนำรักกระเรียนพันปี ตอนที่4.
วันที่ 1 ธันวาคม ยามจื่อ ปีมะโรง พระเจ้าฮั่นสวรรคต ทว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น ยังไม่นับเป็นการสิ้นสุด‘รัชสมัยเจี้ยนกั๋ว’ของพระองค์ลง ถึงอย่างไร บันทึกมีไว้ พระเจ้าฮั่นนับเวลาครองราชย์ได้ 40 ปี 10 เดือน
ประชาชนร่ำไห้ หัวเมืองน้อยใหญ่ชักธงขาวดำขึ้นคู่กับธงประจำเมือง สิ่งที่น่าแปลกคือยามนั้นเป็นฤดูหนาว ทว่าสายฝนกลับโปรยปรายลงมาตลอดไม่มีหยุดหย่อนจนกระทั่งยามจื่อของอีกวัน ราวกับมิใช่เพียงมนุษย์เท่านั้นที่โศกา เทพยาดาบนชั้นฟ้าเองก็รับรู้ถึงการจากไปของจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่พระองค์นี้เช่นกัน
ในระหว่างพิธีเรียกขวัญ ตลอดเจ็ดวันนั้นทั้งขุนนางฝ่ายบุ๋น ส่วนหนึ่งซึ่งเป็นส่วนใหญ่พยายามเรียกร้องตามเจี้ยนอ๋อง ที่ปรึกษาขององค์รัชทายาทเพียงหนึ่งเดียวว่าถึงเวลาให้พระองค์ขึ้นครองราชย์ได้แล้ว ปล่อยไปนานวันโดยทิ้งให้บัลลังก์ว่าเปล่าจะส่งผลเสียแก่ชาติบ้านเมือง เหล่าแว่นแคว้นที่เคยเป็นพันธมิตรจะตีตัวออกห่าง ไม่แน่อาจก่อสงครามขึ้นได้
ฝ่ายขุนนางฝ่ายบุ๋นที่เหลือเพียงหยิบมือและขุนนางฝ่ายบู๊เองก็นำเรื่องนี้ขึ้นมาถก ขนบธรรมเนียมโบราณว่าไว้ อย่างไรเสียการขึ้นครองราชย์หรือตั้งต้นรัชสมัยใหม่ ควรรอให้ความโศกเศร้าเสียใจของเหล่าอาณาประชาราษฎร์ทุเลาลงเสียก่อน เวลาอันเหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญ องค์รัชทายาทในพระเจ้าฮั่นมีเพียงองค์เดียว อย่างไรเสียบัลลังก์ก็ไม่ไปไหน ขอเพียงถึงเวลาย่อมตกเป็นของพระองค์อยู่แล้ว หากไม่มีอะไรผิดพลาด
การโต้เถียงเรื่องที่ว่านั้นเกิดขึ้นทุกวันในท้องพระโรง ต่อหน้าพระที่นั่งมังกรทองอันว่างเปล่า ขุนนางแบ่งเป็นสองฝ่าย หนึ่งมีผู้นำเป็นเจี้ยนอ๋อง และอีกหนึ่ง เฉินจวินอ๋องเป็นคนออกหน้า เรียกได้ว่ายามนั้นศึกภายในระอุและเกิดขึ้นก่อนศึกภายนอกเสียด้วยซ้ำ องค์รัชทายาทหรือพระเจ้าฮู่ในอนาคตหาได้ปรากฏตัว พระองค์ไว้อาลัยเพียงลำพังในสุสานบรรพชน ไม่ยอมให้ใครเข้าพบ ต่อให้เป็นเจี้ยนอ๋องก็ไม่ละเว้น และแล้ว...ก็ถึงเวลา
“ขุนนางทุกท่าน...มีราชโองการ...”
เสียงประกาศก้องสยบการสาดวิวาทะในท้องพระโรงจนเงียบกริบ ยิ่งจื้อกงกงและเจ็ดขันทีซึ่งควรอยู่ในสุสานหลวงปรากฏตัวออกมาซ้ำยังเป็นผู้ถือราชโองการเช่นครั้งพระเจ้าฮั่นยังอยู่ ยิ่งทำให้เจี้ยนอ๋องรวมทั้งขุนนางฝั่งตนเบิกตากว้าง คัดค้านไม่ยอมรับฟังซ้ำยังไล่กลับ กล่าวโทษว่าชายถูกตอนเหล่านั้นเป็นกบฏ ไม่ยอมปฏิบัติตามธรรมเนียม
“เจี้ยนอ๋อง...หากจะกล่าวถึงธรรมเนียม ท่านปฏิบัติตามด้วยรึ? ขุนนางทั้งหลายที่อยู่ฝ่ายท่านปฏิบัติตามด้วยรึ เช่นนี้แล้วท่านมีสิทธิ์อะไรไปกล่าวโทษจื้อกงกงเขา?”
“หึ...นี่เป็นแผนของท่านล่ะสิ? ท่านและเจ้าคนประหลาดหญิงก็ไม่ใช่ชายก็ไม่เชิงเหล่านั้นรวมหัวกันใช่ไหม? กบฏ! คนเหล่านี้เป็นกบฏ!!! ทหาร!!!” เจี้ยนอ๋องของขึ้นเลือดเดือด ตวาดลั่นหยาบคาย เรียกทหารหลวงเข้ามาหมายให้จับตัวไม่ก็สังหารก้างชิ้นใหญ่ของตนทิ้งเสีย
“ทหาร!” ทว่ากลับกลายเป็นตนเองที่ต้องสะดุ้งโหยง เฉินจวินอ๋องซึ่งเคยดำรงตำแหน่งแม่ทัพคู่กับจักรพรรดิองค์ก่อน ซ้ำยังเป็นที่ชื่นชมของพระเจ้าหู่ ขุนนางฝ่ายบู๊รวมทั้งกองทหาร ย่อมจงรักภักดีต่อคนสนิทและหนึ่งในที่ปรึกษาของพระเจ้าฮั่นผู้นี้ชนิดถวายหัว
หลักฐานคือเพียงการตวาดครั้งเดียว ทหารหลวงกรูกันเข้ามาในท้องพระโรง ทั้งองค์รักษ์เกราะดำ องค์รักษ์เกราะทอง หัวหน้านายกองที่มีสิทธิ์พกกระบี่เข้าท้องพระโรงต่างเข้ามากันหมด และท่าทีของกลุ่มคนที่ว่าเหล่านั้น บอกเป็นนัยชี้ชัดเลยว่า อยู่ฝ่ายเดียวกับเฉินจวินอ๋องอย่างไม่ต้องสงสัย
“การที่จื้อกงกงยังอยู่ที่นี่ไม่ใช่ในสุสานหลวงย่อมมีเหตุผล และราชโองการที่ถืออยู่นั่นล่ะเหตุผลของการที่ยังอยู่ องค์จักรพรรดิสิ้นเพียงไม่นาน พวกท่านก็กระด้างกระเดื่อง มองข้ามราชโองการซึ่งเปรียบดั่งคำสั่งสวรรค์ที่พระองค์ทิ้งไว้แล้วรึ? ข้าให้ท่านและขุนนางข้างหลังนั่นไตร่ตรองดูอีกครั้ง ว่าการกระทำแบบไหนกันแน่ ที่เรียกว่ากบฏ?”
เงียบ...ท้องพระโรงเงียบกริบ จังหวะนั้นเององค์รัชทายาทปรากฏตัวต่อหน้าธารกำนัลทุกคน ทว่าพระองค์เพียงแต่ยืนอยู่ข้าง ๆ บัลลังก์มิได้นั่งหรือแสดงอาการเป็นเจ้าของแต่อย่างใด ทรงปรายตามองจื้อกงกงเป็นการบอกโดยนัยว่า ราชโองการฉบับนั้น จงประกาศมันเสีย จื้อกงกงค้อมศีรษะด้วยอาการเคารพก่อนหันหน้าออกยังโถงพระโรง ข้าราชบริพารขุนนางทั้งหลายคุกเข่ารอรับแต่โดยดี
“ข้อความต่อไปนี้...เป็นพระราชประสงค์ของพระเจ้าฮั่นจักรพรรดิผู้สิ้นพระชนม์ ขอขุนนางทุกท่านโปรดรับฟังอย่างตั้งใจ...” จื้อกงกงหยุดนิดหนึ่ง เหลือบมององค์รัชทายาท เห็นอีกฝ่ายยังคงนิ่งเงียบจึงกล่าวต่อ
“รับสั่งขององค์จักรพรรดิมีว่า แม้นพระองค์จะเสด็จสวรรคตแล้ว แต่รัชสมัยเจี้ยนกั๋วยังคงอยู่ จนกว่าองค์รัชทายาทจะเหมาะสมแก่การขึ้นครองราชย์ หรือจนกว่าจะถึงเวลา...ฉะนั้น หากยังไม่ถึงเวลานั้น พสกนิกรรวมถึงขุนนางทุกฝ่าย ยังคงอยู่ใต้ร่มพระบารมี รัชสมัยเจี้ยนกั๋วยังคงต้องดำรงไว้ เป็นเวลา 10 ปี เฉินจวินอ๋อง เป็นผู้สำเร็จราชการแทน และมีหน้าที่ให้คำปรึกษาแก่องค์รัชทายาทสืบไปจนกว่าพระองค์จะขึ้นครองราชย์ จบราชโองการ...”
เหล่าขุนนางทั้งหลายส่งเสียงอื้ออึง โดยเฉพาะฝั่งที่เข้ากับเจี้ยนอ๋องยิ่งโหวกเหวกโวยวาย ด้วยว่าหากรอเวลานานไป เกรงว่าสิบปีนั้นตนเองอาจอยู่ไม่ถึง ผลประโยชน์ที่จะกอบโกยได้จากองค์รัชทายาทซึ่งตนเองมองว่าโง่เง่า ถูกเจี้ยนอ๋องชักใยอยู่เบื้องหลัง ตนจะไม่ได้ครอง ฝ่ายขุนนางบู๊และบุ๋นฝั่งเฉินจวินอ๋องเงียบกริบด้วยอาการมึนงง แต่แล้ว ทุกอากัปกิริยาต่างนิ่งงันปานก้อนหิน เมื่อเห็นเหตุการณ์บนแท่นบัลลังก์ องค์รัชทายาทค้อมตัวลงยื่นสองมือและแบออก
“ลูกน้อมรับพระบัญชา...”
จื้อกงกงมีท่าทีกลืนไม่เข้าคายไม่ออก มอบราชโองการฉบับนั้นให้แก่องค์รัชทายาท กล่าวต่ออีกเล็กน้อยได้ยินกันเพียงสองคน
“อีกฉบับ กระหม่อมจะเก็บไว้ในสุสานหลวง และจะเฝ้าดูแลอย่างดีพ่ะย่ะค่ะ ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่น ๆ ปี กระหม่อมคงมีโอกาสบอกแก่พระองค์ได้เพียงเท่านี้...”
“จื้อกงกง ลำบากท่านแล้ว...” องค์รัชทายาทตอบรับด้วยอาการแผ่วเบาได้ยินเพียงสองคนเช่นกัน
ข่าวเรื่องเมืองหลวงวุ่นวายแตกแยกกันเองแพร่กระจายไปทั่ว ปัญหาที่เคยเกิดขึ้นเมื่อครั้งต้นรัชสมัยเจี้ยนกั๋วหวนกลับมาอีกครั้ง เมืองต่าง ๆ เริ่มกระด้างกระเดื่อง ผลผลิตที่เคยส่งให้เริ่มลดน้อยลง บางเมืองบางแคว้นไม่ส่งเลย สาเหตุไม่ใช่อื่นใด เพราะเมืองอู่เสี้ยง ตัดสินใจไม่ส่งแร่กำมะถันแต่เปลี่ยนเป็นขายแทน
นั่นย่อมไม่ถูกต้อง แต่ก่อนเคยได้มาแล้วแลกไป เดี๋ยวนี้จะมาขายซ้ำยังจะเอาผลผลิตไปอีก นั่นผิดกับสิ่งที่พระเจ้าฮั่นทรงกระทำไว้ และผิดต่อสนธิสัญญาที่มีต่อกัน ชนวนเหตุนี้เองที่เป็นบ่อเกิดแห่งสงคราม
เมื่อมีสงครามประชาชนย่อมต้องเดือดร้อน ไม่มีผลผลิตข้าวปลาอาหารขาดแคลนประชาชนย่อมถึงกาลอดอยาก เมืองต้องสาปกลับมาอีกครั้ง องค์รัชทายาทเองก็ไม่ใคร่ใส่ใจ มัวจมอยู่กับตัณหา ล้อมรอบด้วยอิสตรี เมืองใดมีข่าวกระด้างกระเดื่อง ไม่ยอมส่งผลผลิตมาให้ก็ประกาศสงคราม ส่งทหารไปตีบุกยึดคร่าชีวิตทั้งทหารและชาวเมืองชนิดไร้ปราณี
ขณะที่ทั้งแผ่นดินเริ่มลุกเป็นไฟ เมืองหลวงมีศพคนตายและซากสัตว์ที่สุดจะฝืนให้รอดพ้นจากความอดอยาก แต่วังหลวงกลับมีงานรื่นเริง องค์รัชทายาทแต่งพระชายาเข้าวังหวังกาลข้างหน้าเมื่อตนครองบัลลังก์ หญิงสาวผู้นี้จะเป็นแม่ของแผ่นดิน
พระชายาที่ว่า มาจากตระกูลเซียว นามว่าจางลี่ เป็นบุตรีของ เซียวเจี้ยนเทียน หรือก็คือเจี้ยนอ๋องนั่นเอง
วันเวลาผ่านไปโดยองค์รัชทายาทไม่ยอมใส่ใจงานราชกิจ ลุ่มหลงกับหญิงงาม แม้มีพระชายาแล้วยังรับเอาหญิงอื่นมาเป็นสนมเพื่อปรนเปรอ ไม่ใส่ใจอายุขอเพียงรูปงาม ยิ่งได้พบเด็กหญิงที่ยังไม่มีระดูยิ่งชอบ สั่งทหารหลวงไปลากตัวมาจนได้ พ่อแม่จะเป็นขุนนางหรือพ่อค้าหากขัดขืนแล้วไซ้เป็นสังหาร ยังไม่นับรวมหญิงสาวที่จับเอามาเป็นเชลยจากต่างเมืองอีก เรียกว่า องค์รัชทายาทมีสนมร่วมครึ่งร้อย ในระยะเวลาเพียง 9 ปี
เหล่าบรรดาเมืองน้อยเมืองใหญ่ที่พ่ายศึกจำต้องส่งบรรณาการ ไม่เป็นอาหาร เครื่องเคลือบ เงินทอง ก็ต้องส่งลูกสาวมาให้ เว้นก็แต่เมือง ๆ หนึ่ง เป็นเมืองเดียวเท่านั้นที่ กองทัพเมืองอู่เสี้ยงไม่สามารถตีหักเอามาได้ ซ้ำยังประกาศไม่ยอมจำนน ไม่ยอมส่งมอบสิ่งของบรรณาการใด ๆ ให้อู่เสี้ยงเด็ดขาด เมือง ๆ นั้น คือเมืองยู่ซาน เมืองที่ตั้งอยู่หน้าเขาเขียวขจีสีดั่งหยก
ใช่ว่าชัยภูมิของเมืองเป็นต่ออู่เสี้ยงจึงตีไม่ได้ แต่เป็นเพราะกองทัพของเมืองแข็งแกร่ง ทั้งทหารและแม่ทัพต่างมากฝีมือไม่ว่ากลศึกหรือการต่อสู้ อู่เสี้ยงพยายามบุกตีครั้งแล้วครั้งเล่า แค่ประตูเมืองยังเข้าใกล้ไม่ได้ ที่สำคัญ แม่ทัพที่ว่าเก่งกาจปานเทพสงครามนั้นเป็นหญิง แซ่เผิง นามว่า ซิ่วอิง นางเป็นบุตรีคนรองของ เผิงหยุน ผู้เป็นเจ้าเมืองนั่นเอง
ดั่งเผิงหยุน เจ้าเมืองยู่ซางได้รับพรจากสรวงสวรรค์ หากกล่าวถึงบุตรีคนรองแล้ว จะไม่กล่าวถึงบุตรีคนโตคงไม่ได้ เผิงซีซวน พี่สาวผู้เลอโฉมซ้ำยังฉลาดเฉลียว แผนการรบ ค่ายกล นางสามารถคิดค้นประยุกต์ใช้ตามสถานการณ์ได้ราวกับทุก ๆ อย่างเป็นเพียงหมากบนกระดาน
ด้วยเหตุนี้เอง เผิงหยุนจึงมีบุตรีทั้งสองช่วยเหลือได้ทุกอย่าง คนโตฉลาด การปกครองเมืองเป็นเยี่ยมประชากรเป็นสุข คนรองเก่งกาจวิทยายุทธ เชี่ยวชาญการศึก สองพี่น้องเป็นหญิงสาวที่สามารถกล่าวได้ว่าบุรุษทั่วหล้าต่างต้องการครอบครอง แต่ใครเล่าจะสามารถพอ
(มีต่อ)