ลำนำรักกระเรียนพันปี ตอนที่4.

กระทู้สนทนา
ตอนที่4. สิบปีแห่งความว่างเปล่า

วันที่  1  ธันวาคม ยามจื่อ ปีมะโรง พระเจ้าฮั่นสวรรคต  ทว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น  ยังไม่นับเป็นการสิ้นสุด‘รัชสมัยเจี้ยนกั๋ว’ของพระองค์ลง  ถึงอย่างไร บันทึกมีไว้  พระเจ้าฮั่นนับเวลาครองราชย์ได้  40 ปี  10  เดือน  

ประชาชนร่ำไห้ หัวเมืองน้อยใหญ่ชักธงขาวดำขึ้นคู่กับธงประจำเมือง  สิ่งที่น่าแปลกคือยามนั้นเป็นฤดูหนาว  ทว่าสายฝนกลับโปรยปรายลงมาตลอดไม่มีหยุดหย่อนจนกระทั่งยามจื่อของอีกวัน  ราวกับมิใช่เพียงมนุษย์เท่านั้นที่โศกา  เทพยาดาบนชั้นฟ้าเองก็รับรู้ถึงการจากไปของจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่พระองค์นี้เช่นกัน
ในระหว่างพิธีเรียกขวัญ ตลอดเจ็ดวันนั้นทั้งขุนนางฝ่ายบุ๋น  ส่วนหนึ่งซึ่งเป็นส่วนใหญ่พยายามเรียกร้องตามเจี้ยนอ๋อง  ที่ปรึกษาขององค์รัชทายาทเพียงหนึ่งเดียวว่าถึงเวลาให้พระองค์ขึ้นครองราชย์ได้แล้ว  ปล่อยไปนานวันโดยทิ้งให้บัลลังก์ว่าเปล่าจะส่งผลเสียแก่ชาติบ้านเมือง  เหล่าแว่นแคว้นที่เคยเป็นพันธมิตรจะตีตัวออกห่าง  ไม่แน่อาจก่อสงครามขึ้นได้

ฝ่ายขุนนางฝ่ายบุ๋นที่เหลือเพียงหยิบมือและขุนนางฝ่ายบู๊เองก็นำเรื่องนี้ขึ้นมาถก  ขนบธรรมเนียมโบราณว่าไว้  อย่างไรเสียการขึ้นครองราชย์หรือตั้งต้นรัชสมัยใหม่  ควรรอให้ความโศกเศร้าเสียใจของเหล่าอาณาประชาราษฎร์ทุเลาลงเสียก่อน  เวลาอันเหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญ  องค์รัชทายาทในพระเจ้าฮั่นมีเพียงองค์เดียว  อย่างไรเสียบัลลังก์ก็ไม่ไปไหน  ขอเพียงถึงเวลาย่อมตกเป็นของพระองค์อยู่แล้ว  หากไม่มีอะไรผิดพลาด

การโต้เถียงเรื่องที่ว่านั้นเกิดขึ้นทุกวันในท้องพระโรง  ต่อหน้าพระที่นั่งมังกรทองอันว่างเปล่า  ขุนนางแบ่งเป็นสองฝ่าย หนึ่งมีผู้นำเป็นเจี้ยนอ๋อง  และอีกหนึ่ง  เฉินจวินอ๋องเป็นคนออกหน้า  เรียกได้ว่ายามนั้นศึกภายในระอุและเกิดขึ้นก่อนศึกภายนอกเสียด้วยซ้ำ  องค์รัชทายาทหรือพระเจ้าฮู่ในอนาคตหาได้ปรากฏตัว  พระองค์ไว้อาลัยเพียงลำพังในสุสานบรรพชน  ไม่ยอมให้ใครเข้าพบ  ต่อให้เป็นเจี้ยนอ๋องก็ไม่ละเว้น  และแล้ว...ก็ถึงเวลา

“ขุนนางทุกท่าน...มีราชโองการ...”

เสียงประกาศก้องสยบการสาดวิวาทะในท้องพระโรงจนเงียบกริบ  ยิ่งจื้อกงกงและเจ็ดขันทีซึ่งควรอยู่ในสุสานหลวงปรากฏตัวออกมาซ้ำยังเป็นผู้ถือราชโองการเช่นครั้งพระเจ้าฮั่นยังอยู่  ยิ่งทำให้เจี้ยนอ๋องรวมทั้งขุนนางฝั่งตนเบิกตากว้าง  คัดค้านไม่ยอมรับฟังซ้ำยังไล่กลับ  กล่าวโทษว่าชายถูกตอนเหล่านั้นเป็นกบฏ  ไม่ยอมปฏิบัติตามธรรมเนียม

“เจี้ยนอ๋อง...หากจะกล่าวถึงธรรมเนียม  ท่านปฏิบัติตามด้วยรึ?  ขุนนางทั้งหลายที่อยู่ฝ่ายท่านปฏิบัติตามด้วยรึ เช่นนี้แล้วท่านมีสิทธิ์อะไรไปกล่าวโทษจื้อกงกงเขา?”

“หึ...นี่เป็นแผนของท่านล่ะสิ?  ท่านและเจ้าคนประหลาดหญิงก็ไม่ใช่ชายก็ไม่เชิงเหล่านั้นรวมหัวกันใช่ไหม?  กบฏ!   คนเหล่านี้เป็นกบฏ!!!  ทหาร!!!”  เจี้ยนอ๋องของขึ้นเลือดเดือด ตวาดลั่นหยาบคาย  เรียกทหารหลวงเข้ามาหมายให้จับตัวไม่ก็สังหารก้างชิ้นใหญ่ของตนทิ้งเสีย

“ทหาร!”  ทว่ากลับกลายเป็นตนเองที่ต้องสะดุ้งโหยง  เฉินจวินอ๋องซึ่งเคยดำรงตำแหน่งแม่ทัพคู่กับจักรพรรดิองค์ก่อน ซ้ำยังเป็นที่ชื่นชมของพระเจ้าหู่  ขุนนางฝ่ายบู๊รวมทั้งกองทหาร  ย่อมจงรักภักดีต่อคนสนิทและหนึ่งในที่ปรึกษาของพระเจ้าฮั่นผู้นี้ชนิดถวายหัว  

หลักฐานคือเพียงการตวาดครั้งเดียว  ทหารหลวงกรูกันเข้ามาในท้องพระโรง  ทั้งองค์รักษ์เกราะดำ  องค์รักษ์เกราะทอง  หัวหน้านายกองที่มีสิทธิ์พกกระบี่เข้าท้องพระโรงต่างเข้ามากันหมด และท่าทีของกลุ่มคนที่ว่าเหล่านั้น บอกเป็นนัยชี้ชัดเลยว่า  อยู่ฝ่ายเดียวกับเฉินจวินอ๋องอย่างไม่ต้องสงสัย

“การที่จื้อกงกงยังอยู่ที่นี่ไม่ใช่ในสุสานหลวงย่อมมีเหตุผล  และราชโองการที่ถืออยู่นั่นล่ะเหตุผลของการที่ยังอยู่  องค์จักรพรรดิสิ้นเพียงไม่นาน  พวกท่านก็กระด้างกระเดื่อง  มองข้ามราชโองการซึ่งเปรียบดั่งคำสั่งสวรรค์ที่พระองค์ทิ้งไว้แล้วรึ?  ข้าให้ท่านและขุนนางข้างหลังนั่นไตร่ตรองดูอีกครั้ง  ว่าการกระทำแบบไหนกันแน่  ที่เรียกว่ากบฏ?”

เงียบ...ท้องพระโรงเงียบกริบ  จังหวะนั้นเององค์รัชทายาทปรากฏตัวต่อหน้าธารกำนัลทุกคน  ทว่าพระองค์เพียงแต่ยืนอยู่ข้าง ๆ บัลลังก์มิได้นั่งหรือแสดงอาการเป็นเจ้าของแต่อย่างใด  ทรงปรายตามองจื้อกงกงเป็นการบอกโดยนัยว่า  ราชโองการฉบับนั้น  จงประกาศมันเสีย  จื้อกงกงค้อมศีรษะด้วยอาการเคารพก่อนหันหน้าออกยังโถงพระโรง  ข้าราชบริพารขุนนางทั้งหลายคุกเข่ารอรับแต่โดยดี

“ข้อความต่อไปนี้...เป็นพระราชประสงค์ของพระเจ้าฮั่นจักรพรรดิผู้สิ้นพระชนม์  ขอขุนนางทุกท่านโปรดรับฟังอย่างตั้งใจ...”   จื้อกงกงหยุดนิดหนึ่ง เหลือบมององค์รัชทายาท  เห็นอีกฝ่ายยังคงนิ่งเงียบจึงกล่าวต่อ

“รับสั่งขององค์จักรพรรดิมีว่า  แม้นพระองค์จะเสด็จสวรรคตแล้ว  แต่รัชสมัยเจี้ยนกั๋วยังคงอยู่  จนกว่าองค์รัชทายาทจะเหมาะสมแก่การขึ้นครองราชย์  หรือจนกว่าจะถึงเวลา...ฉะนั้น  หากยังไม่ถึงเวลานั้น  พสกนิกรรวมถึงขุนนางทุกฝ่าย  ยังคงอยู่ใต้ร่มพระบารมี  รัชสมัยเจี้ยนกั๋วยังคงต้องดำรงไว้  เป็นเวลา  10  ปี  เฉินจวินอ๋อง  เป็นผู้สำเร็จราชการแทน และมีหน้าที่ให้คำปรึกษาแก่องค์รัชทายาทสืบไปจนกว่าพระองค์จะขึ้นครองราชย์  จบราชโองการ...”

เหล่าขุนนางทั้งหลายส่งเสียงอื้ออึง โดยเฉพาะฝั่งที่เข้ากับเจี้ยนอ๋องยิ่งโหวกเหวกโวยวาย ด้วยว่าหากรอเวลานานไป  เกรงว่าสิบปีนั้นตนเองอาจอยู่ไม่ถึง  ผลประโยชน์ที่จะกอบโกยได้จากองค์รัชทายาทซึ่งตนเองมองว่าโง่เง่า ถูกเจี้ยนอ๋องชักใยอยู่เบื้องหลัง  ตนจะไม่ได้ครอง  ฝ่ายขุนนางบู๊และบุ๋นฝั่งเฉินจวินอ๋องเงียบกริบด้วยอาการมึนงง  แต่แล้ว  ทุกอากัปกิริยาต่างนิ่งงันปานก้อนหิน  เมื่อเห็นเหตุการณ์บนแท่นบัลลังก์  องค์รัชทายาทค้อมตัวลงยื่นสองมือและแบออก 

“ลูกน้อมรับพระบัญชา...”

จื้อกงกงมีท่าทีกลืนไม่เข้าคายไม่ออก  มอบราชโองการฉบับนั้นให้แก่องค์รัชทายาท กล่าวต่ออีกเล็กน้อยได้ยินกันเพียงสองคน

“อีกฉบับ  กระหม่อมจะเก็บไว้ในสุสานหลวง  และจะเฝ้าดูแลอย่างดีพ่ะย่ะค่ะ ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่น ๆ ปี  กระหม่อมคงมีโอกาสบอกแก่พระองค์ได้เพียงเท่านี้...”

“จื้อกงกง  ลำบากท่านแล้ว...”  องค์รัชทายาทตอบรับด้วยอาการแผ่วเบาได้ยินเพียงสองคนเช่นกัน

ข่าวเรื่องเมืองหลวงวุ่นวายแตกแยกกันเองแพร่กระจายไปทั่ว  ปัญหาที่เคยเกิดขึ้นเมื่อครั้งต้นรัชสมัยเจี้ยนกั๋วหวนกลับมาอีกครั้ง  เมืองต่าง ๆ เริ่มกระด้างกระเดื่อง ผลผลิตที่เคยส่งให้เริ่มลดน้อยลง บางเมืองบางแคว้นไม่ส่งเลย  สาเหตุไม่ใช่อื่นใด  เพราะเมืองอู่เสี้ยง ตัดสินใจไม่ส่งแร่กำมะถันแต่เปลี่ยนเป็นขายแทน  

นั่นย่อมไม่ถูกต้อง  แต่ก่อนเคยได้มาแล้วแลกไป  เดี๋ยวนี้จะมาขายซ้ำยังจะเอาผลผลิตไปอีก  นั่นผิดกับสิ่งที่พระเจ้าฮั่นทรงกระทำไว้  และผิดต่อสนธิสัญญาที่มีต่อกัน  ชนวนเหตุนี้เองที่เป็นบ่อเกิดแห่งสงคราม

เมื่อมีสงครามประชาชนย่อมต้องเดือดร้อน  ไม่มีผลผลิตข้าวปลาอาหารขาดแคลนประชาชนย่อมถึงกาลอดอยาก  เมืองต้องสาปกลับมาอีกครั้ง  องค์รัชทายาทเองก็ไม่ใคร่ใส่ใจ  มัวจมอยู่กับตัณหา  ล้อมรอบด้วยอิสตรี  เมืองใดมีข่าวกระด้างกระเดื่อง  ไม่ยอมส่งผลผลิตมาให้ก็ประกาศสงคราม ส่งทหารไปตีบุกยึดคร่าชีวิตทั้งทหารและชาวเมืองชนิดไร้ปราณี

ขณะที่ทั้งแผ่นดินเริ่มลุกเป็นไฟ  เมืองหลวงมีศพคนตายและซากสัตว์ที่สุดจะฝืนให้รอดพ้นจากความอดอยาก แต่วังหลวงกลับมีงานรื่นเริง  องค์รัชทายาทแต่งพระชายาเข้าวังหวังกาลข้างหน้าเมื่อตนครองบัลลังก์  หญิงสาวผู้นี้จะเป็นแม่ของแผ่นดิน  

พระชายาที่ว่า มาจากตระกูลเซียว  นามว่าจางลี่  เป็นบุตรีของ  เซียวเจี้ยนเทียน  หรือก็คือเจี้ยนอ๋องนั่นเอง  

วันเวลาผ่านไปโดยองค์รัชทายาทไม่ยอมใส่ใจงานราชกิจ  ลุ่มหลงกับหญิงงาม แม้มีพระชายาแล้วยังรับเอาหญิงอื่นมาเป็นสนมเพื่อปรนเปรอ  ไม่ใส่ใจอายุขอเพียงรูปงาม  ยิ่งได้พบเด็กหญิงที่ยังไม่มีระดูยิ่งชอบ สั่งทหารหลวงไปลากตัวมาจนได้ พ่อแม่จะเป็นขุนนางหรือพ่อค้าหากขัดขืนแล้วไซ้เป็นสังหาร  ยังไม่นับรวมหญิงสาวที่จับเอามาเป็นเชลยจากต่างเมืองอีก  เรียกว่า องค์รัชทายาทมีสนมร่วมครึ่งร้อย  ในระยะเวลาเพียง 9 ปี

เหล่าบรรดาเมืองน้อยเมืองใหญ่ที่พ่ายศึกจำต้องส่งบรรณาการ  ไม่เป็นอาหาร เครื่องเคลือบ เงินทอง  ก็ต้องส่งลูกสาวมาให้  เว้นก็แต่เมือง ๆ หนึ่ง  เป็นเมืองเดียวเท่านั้นที่  กองทัพเมืองอู่เสี้ยงไม่สามารถตีหักเอามาได้  ซ้ำยังประกาศไม่ยอมจำนน  ไม่ยอมส่งมอบสิ่งของบรรณาการใด ๆ ให้อู่เสี้ยงเด็ดขาด  เมือง ๆ นั้น  คือเมืองยู่ซาน  เมืองที่ตั้งอยู่หน้าเขาเขียวขจีสีดั่งหยก  

ใช่ว่าชัยภูมิของเมืองเป็นต่ออู่เสี้ยงจึงตีไม่ได้  แต่เป็นเพราะกองทัพของเมืองแข็งแกร่ง  ทั้งทหารและแม่ทัพต่างมากฝีมือไม่ว่ากลศึกหรือการต่อสู้  อู่เสี้ยงพยายามบุกตีครั้งแล้วครั้งเล่า  แค่ประตูเมืองยังเข้าใกล้ไม่ได้  ที่สำคัญ  แม่ทัพที่ว่าเก่งกาจปานเทพสงครามนั้นเป็นหญิง แซ่เผิง นามว่า ซิ่วอิง  นางเป็นบุตรีคนรองของ  เผิงหยุน  ผู้เป็นเจ้าเมืองนั่นเอง

ดั่งเผิงหยุน เจ้าเมืองยู่ซางได้รับพรจากสรวงสวรรค์  หากกล่าวถึงบุตรีคนรองแล้ว  จะไม่กล่าวถึงบุตรีคนโตคงไม่ได้  เผิงซีซวน  พี่สาวผู้เลอโฉมซ้ำยังฉลาดเฉลียว  แผนการรบ  ค่ายกล  นางสามารถคิดค้นประยุกต์ใช้ตามสถานการณ์ได้ราวกับทุก ๆ อย่างเป็นเพียงหมากบนกระดาน   

ด้วยเหตุนี้เอง  เผิงหยุนจึงมีบุตรีทั้งสองช่วยเหลือได้ทุกอย่าง  คนโตฉลาด  การปกครองเมืองเป็นเยี่ยมประชากรเป็นสุข  คนรองเก่งกาจวิทยายุทธ  เชี่ยวชาญการศึก  สองพี่น้องเป็นหญิงสาวที่สามารถกล่าวได้ว่าบุรุษทั่วหล้าต่างต้องการครอบครอง  แต่ใครเล่าจะสามารถพอ
(มีต่อ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่