ตอนที่1. ร้านค้าแห่งกาลเวลา
กรุงไทเป ไต้หวัน
เสียงนาฬิกาปลุกพร้อมแสงแดดอ่อนยามเช้าที่สาดส่องเข้ามาผ่านม่านหน้าต่าง ปลุกให้ ลีย่าลี่ หรือ ย่าหยา ตามที่ครอบครัวหรือเพื่อนสนิทเรียกตื่นขึ้นจากภวังค์ฝัน กี่ครั้งกี่หนแล้วนับแต่เริ่มจำความได้จนบัดนี้เธออายุย่างเข้ายี่สิบห้า ที่ต้องฝันเรื่องเดิม ๆ ซ้ำ ๆ จุดเริ่มต้นและจุดจบของความฝันไม่เคยเปลี่ยน
แม้มันจะไม่ได้เกิดขึ้นทุกคืนที่เธออยู่ในห้วงนิทรา แต่หลังจากตื่นขึ้นมาแล้วเธอรู้สึกทรมาน มันเศร้าใจอย่างบอกไม่ถูก ราวกับว่าองค์หญิงซูฮวาในความฝันนั้น คือตัวเธอเอง
เหลือบมองเทอร์โมมิเตอร์ติดผนังข้างหัวเตียง ปรอทสีแดงก้ำกึ่งอยู่ระหว่างเลขสิบกับขีดที่บอกว่าสิบห้าองศา แน่ล่ะ เวลานี้เป็นช่วงปลายเดือนธันวาคม มันเป็นฤดูหนาว หากภายในห้องนอนไม่มีเครื่องทำความร้อน ย่าหยามั่นใจเลยว่า ผ้านวมที่หนาแสนหนาก็คงช่วยอะไรไม่ได้
อืด...อืด...อืด...
‘เฮ่อ! ยัยเจียวเจียวอีกแล้วสินะ’ ย่าหยากรอกตามองบน ก่อนเลื่อนไปจับยังหน้าจอโทรศัพท์มือถือที่กระพริบช้า ๆ เป็นจังหวะพร้อมสั่นอืด ๆ บนหัวเตียง ชื่อคนที่โทรเข้าเป็นดังคาด ฟ่านลี่เจียว หรือ เจียวเจียว เพื่อนสนิทตั้งแต่วัยประถมจนถึงปัจจุบัน ทั้งคู่สนิทสนมรักใคร่กันจนบางครั้งถูกมองว่าเป็นคู่รักไปแล้วด้วยซ้ำ
“ค่า...คุณแม่...”
‘ไม่ต้องมาทำเสียงอ่อยเลยย่ะ วันนี้มีสอบเลื่อนสาย เธอต้องเป็นคนสอบนักเรียนไม่ใช่รึไง? ป่านนี้แล้วอย่าบอกนะว่าเพิ่งตื่น?...ไม่ใช่ว่าลืมหรอกนะ!?’
“ไม่หรอกน่า...ยังเหลือเวลาอีกตั้งสองชั่วโมง”
‘ตั้ง? แค่สองชั่วโมงนี่เธอบอกว่าตั้งเนี่ยนะ ย่าหยา? ลุกไปอาบน้ำเดี๋ยวนี้เลย!’
เจียวเจียวเค้นเสียงเรียกชื่อเล่นเหมือนจะโกรธ แต่ความจริงแล้วไม่ใช่เลย หากจะนับครั้งจริง ๆ เรื่องที่ทั้งคู่จะทะเลาะกันแบบเอาจริงเอาจังถึงขั้นงอนไม่พูดกันเป็นวัน ๆ ก็มีเพียงพระเอกเกาหลีในซีรีย์ที่ต่างคนต่างเถียงกันว่าคนไหนหล่อกว่ากันเท่านั้นเอง
ย่าหยากดวางสาย ลุกจากเตียงพร้อมผ้าขนหนูพาดไหล่ จัดการอาบน้ำชำระร่างกายตามปกติ และไอ้ปกติที่ว่านั่นก็กินเวลาไปเกือบชั่วโมงกว่าที่เธอจะแต่งตัวเสร็จ เจียวเจียวรู้ดีถึงอุปนิสัยนี้ของเพื่อนจึงชิงโทรมาเตือนก่อน
เวลาอีกชั่วโมงที่เหลือ หากจะต้องไปให้ถึงโรงเรียนเทควันโดที่เธอเป็นทั้งนักเรียนและครูผู้ช่วย นั่งแท็กซี่ไปยังไงก็สายร้อยเปอร์เซ็นต์ ฉะนั้น จักรยานเสือภูเขาที่จอดสนิทอยู่ข้างรั้วบ้าน คงเป็นพาหนะที่จะพาเธอลัดเลาะไปตามถนนและตรอกต่าง ๆ ได้ง่ายและไวที่สุด แม้อากาศจะเย็นก็ไม่เป็นอุปสรรคซ้ำยังถือว่าเป็นการวอร์มร่างกายไปในตัว
ถนนเส้นแล้วเส้นเล่า ตรอกแล้วตรอกเล่าที่ย่าหยาปั่นจักรยานผ่าน กระทั่งอีกไม่กี่สิบเมตรจะถึงหัวถนนอันเป็นที่ตั้งของโรงเรียนเทควันโด จะด้วยอะไรไม่ทราบ เธอเหลือบเห็นร้านขายของโบราณร้านหนึ่ง ป้ายร้านคร่ำคร่าชื่อสะกดด้วยตัวอักษรจีนโบราณ ‘กาลเวลา’
‘หือ? ไม่ยักรู้ว่ามีร้านแบบนี้ด้วยแฮะ’ ย่าหยาจอดจักรยานมองนิ่งราวกับถูกสะกด กระทั่งนึกขึ้นได้ถึงสิ่งที่ตนต้องกระทำ และหากสายไปสักวินาทีเดียว เจียวเจียวต้องเชือดเธอทิ้งแน่ ว่าแล้วก็ออกแรงกระแทกเท้าปั่นจักรยานเป็นการใหญ่
“ฉันมาทัน!” ย่าหยาโพล่งดักคอขึ้นก่อนเมื่อเห็นเพื่อนสาวในชุดเทควันโดเต็มยศ ยืนกอดอกรออยู่ที่ทางเข้า “ดูสิ ยังอีกตั้งครึ่งชั่วโมง”
เจียวเจียวเลิกคิ้วนิดหนึ่งก่อนหัวเราะคิกคักชอบอกชอบใจ นั่นทำให้ย่าหยาแปลกใจเข้าไปใหญ่ ไฉนครั้งนี้เธอไม่ถูกบ่นกันนะ?
“ที่ฉันมารอไม่ใช่จ้องจับผิดว่าเธอจะมาสายมั้ย แต่เป็นเพราะอย่างอื่น”
“อย่างอื่น?” ย่าหยาทวนคำคิ้วผูกกันด้วยความฉงน
“อีตาจอห์นนี่เที่ยวประกาศไปทั่วทั้งโรงฝึก บอกว่าถ้าวันนี้หมอนั่นสามารถเลื่อนขั้นได้ เธอจะยอมคบกับเขา จริงรึเปล่า ข้อตกลงบ้าบออะไรนี่ทำไมฉันไม่รู้เรื่อง?”
“ห๊ะ!?” ย่าหยาปล่อยมือจากจักรยานทิ้งให้มันล้มโครมโดยไม่สนใจ “หมอนั่นพูดบ้าอะไร? ฉันไม่รู้เรื่องด้วยสักหน่อย”
“ช่าย...เธอไม่รู้เรื่อง ฉันเองก็ไม่รู้เรื่อง แต่ทั้งโรงฝึกน่ะ รู้กันถ้วนหน้าเลยล่ะ แถมยังตั้งตารอด้วย ตานั่นคุยนักคุยหนาว่าการจะล้มเธอแล้วเลื่อนขั้นได้ มันง่ายเหมือนปลอกกล้วย” เจียวเจียวบอกกลั้วหัวเราะ ราวกับเรื่องนี้น่าตื่นเต้นขบขัน
ย่าหยาเบะปากพองามพ่นลมออกจมูกด้วยอาการหงุดหงิด ก้าวขึ้นบันไดหยุดยืนอยู่ข้างเพื่อนสาว กล่าวกับตัวเองเสียงทุ้มต่ำสีหน้าดั่งฆาตกรเลือดเย็น
“เดี๋ยวฉันจะให้เจ้าหมอนั่นได้รู้ ว่าระดับห้าดั้งของฉัน ใช่ว่าได้มันมาง่าย ๆ”
(มีต่อ)
ลำนำรักกระเรียนพันปี ตอนที่1.
กรุงไทเป ไต้หวัน
เสียงนาฬิกาปลุกพร้อมแสงแดดอ่อนยามเช้าที่สาดส่องเข้ามาผ่านม่านหน้าต่าง ปลุกให้ ลีย่าลี่ หรือ ย่าหยา ตามที่ครอบครัวหรือเพื่อนสนิทเรียกตื่นขึ้นจากภวังค์ฝัน กี่ครั้งกี่หนแล้วนับแต่เริ่มจำความได้จนบัดนี้เธออายุย่างเข้ายี่สิบห้า ที่ต้องฝันเรื่องเดิม ๆ ซ้ำ ๆ จุดเริ่มต้นและจุดจบของความฝันไม่เคยเปลี่ยน
แม้มันจะไม่ได้เกิดขึ้นทุกคืนที่เธออยู่ในห้วงนิทรา แต่หลังจากตื่นขึ้นมาแล้วเธอรู้สึกทรมาน มันเศร้าใจอย่างบอกไม่ถูก ราวกับว่าองค์หญิงซูฮวาในความฝันนั้น คือตัวเธอเอง
เหลือบมองเทอร์โมมิเตอร์ติดผนังข้างหัวเตียง ปรอทสีแดงก้ำกึ่งอยู่ระหว่างเลขสิบกับขีดที่บอกว่าสิบห้าองศา แน่ล่ะ เวลานี้เป็นช่วงปลายเดือนธันวาคม มันเป็นฤดูหนาว หากภายในห้องนอนไม่มีเครื่องทำความร้อน ย่าหยามั่นใจเลยว่า ผ้านวมที่หนาแสนหนาก็คงช่วยอะไรไม่ได้
อืด...อืด...อืด...
‘เฮ่อ! ยัยเจียวเจียวอีกแล้วสินะ’ ย่าหยากรอกตามองบน ก่อนเลื่อนไปจับยังหน้าจอโทรศัพท์มือถือที่กระพริบช้า ๆ เป็นจังหวะพร้อมสั่นอืด ๆ บนหัวเตียง ชื่อคนที่โทรเข้าเป็นดังคาด ฟ่านลี่เจียว หรือ เจียวเจียว เพื่อนสนิทตั้งแต่วัยประถมจนถึงปัจจุบัน ทั้งคู่สนิทสนมรักใคร่กันจนบางครั้งถูกมองว่าเป็นคู่รักไปแล้วด้วยซ้ำ
“ค่า...คุณแม่...”
‘ไม่ต้องมาทำเสียงอ่อยเลยย่ะ วันนี้มีสอบเลื่อนสาย เธอต้องเป็นคนสอบนักเรียนไม่ใช่รึไง? ป่านนี้แล้วอย่าบอกนะว่าเพิ่งตื่น?...ไม่ใช่ว่าลืมหรอกนะ!?’
“ไม่หรอกน่า...ยังเหลือเวลาอีกตั้งสองชั่วโมง”
‘ตั้ง? แค่สองชั่วโมงนี่เธอบอกว่าตั้งเนี่ยนะ ย่าหยา? ลุกไปอาบน้ำเดี๋ยวนี้เลย!’
เจียวเจียวเค้นเสียงเรียกชื่อเล่นเหมือนจะโกรธ แต่ความจริงแล้วไม่ใช่เลย หากจะนับครั้งจริง ๆ เรื่องที่ทั้งคู่จะทะเลาะกันแบบเอาจริงเอาจังถึงขั้นงอนไม่พูดกันเป็นวัน ๆ ก็มีเพียงพระเอกเกาหลีในซีรีย์ที่ต่างคนต่างเถียงกันว่าคนไหนหล่อกว่ากันเท่านั้นเอง
ย่าหยากดวางสาย ลุกจากเตียงพร้อมผ้าขนหนูพาดไหล่ จัดการอาบน้ำชำระร่างกายตามปกติ และไอ้ปกติที่ว่านั่นก็กินเวลาไปเกือบชั่วโมงกว่าที่เธอจะแต่งตัวเสร็จ เจียวเจียวรู้ดีถึงอุปนิสัยนี้ของเพื่อนจึงชิงโทรมาเตือนก่อน
เวลาอีกชั่วโมงที่เหลือ หากจะต้องไปให้ถึงโรงเรียนเทควันโดที่เธอเป็นทั้งนักเรียนและครูผู้ช่วย นั่งแท็กซี่ไปยังไงก็สายร้อยเปอร์เซ็นต์ ฉะนั้น จักรยานเสือภูเขาที่จอดสนิทอยู่ข้างรั้วบ้าน คงเป็นพาหนะที่จะพาเธอลัดเลาะไปตามถนนและตรอกต่าง ๆ ได้ง่ายและไวที่สุด แม้อากาศจะเย็นก็ไม่เป็นอุปสรรคซ้ำยังถือว่าเป็นการวอร์มร่างกายไปในตัว
ถนนเส้นแล้วเส้นเล่า ตรอกแล้วตรอกเล่าที่ย่าหยาปั่นจักรยานผ่าน กระทั่งอีกไม่กี่สิบเมตรจะถึงหัวถนนอันเป็นที่ตั้งของโรงเรียนเทควันโด จะด้วยอะไรไม่ทราบ เธอเหลือบเห็นร้านขายของโบราณร้านหนึ่ง ป้ายร้านคร่ำคร่าชื่อสะกดด้วยตัวอักษรจีนโบราณ ‘กาลเวลา’
‘หือ? ไม่ยักรู้ว่ามีร้านแบบนี้ด้วยแฮะ’ ย่าหยาจอดจักรยานมองนิ่งราวกับถูกสะกด กระทั่งนึกขึ้นได้ถึงสิ่งที่ตนต้องกระทำ และหากสายไปสักวินาทีเดียว เจียวเจียวต้องเชือดเธอทิ้งแน่ ว่าแล้วก็ออกแรงกระแทกเท้าปั่นจักรยานเป็นการใหญ่
“ฉันมาทัน!” ย่าหยาโพล่งดักคอขึ้นก่อนเมื่อเห็นเพื่อนสาวในชุดเทควันโดเต็มยศ ยืนกอดอกรออยู่ที่ทางเข้า “ดูสิ ยังอีกตั้งครึ่งชั่วโมง”
เจียวเจียวเลิกคิ้วนิดหนึ่งก่อนหัวเราะคิกคักชอบอกชอบใจ นั่นทำให้ย่าหยาแปลกใจเข้าไปใหญ่ ไฉนครั้งนี้เธอไม่ถูกบ่นกันนะ?
“ที่ฉันมารอไม่ใช่จ้องจับผิดว่าเธอจะมาสายมั้ย แต่เป็นเพราะอย่างอื่น”
“อย่างอื่น?” ย่าหยาทวนคำคิ้วผูกกันด้วยความฉงน
“อีตาจอห์นนี่เที่ยวประกาศไปทั่วทั้งโรงฝึก บอกว่าถ้าวันนี้หมอนั่นสามารถเลื่อนขั้นได้ เธอจะยอมคบกับเขา จริงรึเปล่า ข้อตกลงบ้าบออะไรนี่ทำไมฉันไม่รู้เรื่อง?”
“ห๊ะ!?” ย่าหยาปล่อยมือจากจักรยานทิ้งให้มันล้มโครมโดยไม่สนใจ “หมอนั่นพูดบ้าอะไร? ฉันไม่รู้เรื่องด้วยสักหน่อย”
“ช่าย...เธอไม่รู้เรื่อง ฉันเองก็ไม่รู้เรื่อง แต่ทั้งโรงฝึกน่ะ รู้กันถ้วนหน้าเลยล่ะ แถมยังตั้งตารอด้วย ตานั่นคุยนักคุยหนาว่าการจะล้มเธอแล้วเลื่อนขั้นได้ มันง่ายเหมือนปลอกกล้วย” เจียวเจียวบอกกลั้วหัวเราะ ราวกับเรื่องนี้น่าตื่นเต้นขบขัน
ย่าหยาเบะปากพองามพ่นลมออกจมูกด้วยอาการหงุดหงิด ก้าวขึ้นบันไดหยุดยืนอยู่ข้างเพื่อนสาว กล่าวกับตัวเองเสียงทุ้มต่ำสีหน้าดั่งฆาตกรเลือดเย็น
“เดี๋ยวฉันจะให้เจ้าหมอนั่นได้รู้ ว่าระดับห้าดั้งของฉัน ใช่ว่าได้มันมาง่าย ๆ”
(มีต่อ)