“แม่จ๋า ตุ๊กตาหนูอยู่ไหน”
เสียงใสเล็กดังขึ้นในความมืด มีเสียงกุกกักครู่หนึ่ง เสียงเคลื่อนไหว เสียงพูดฟังไม่ชัดเจน ไฟดวงเล็กจะสว่างจ้าขึ้นในห้อง บนที่นอนเล็กแต่อบอุ่น ดวงตาของเด็กหญิงชุดนอนสีชาว วัยเฉียดเฉี่ยวสี่ห้าขวบคนนั้น มีประกายแห่งความหวาดกลัวระริกไหว
“แม่เอาไปเก็บไว้แล้ว มันสกปรกพรุ่งนี้แม่จะเอาไปลงเครื่องซักให้สะอาดนะจ๊ะ”
“ไม่ได้นะคะ เอามันคืนมา คืนนี้พวกมันจะมาเอาตัวหนูไปได้ ถ้าไม่มีตุ๊กตา แม่จ๋า...เอาตุ๊กตาหนูคืนมา”
“หนูจ๋า...บนเตียง หนูก็มีตุ๊กตาอยู่หลายตัวนี่นา มันคงช่วยลูกได้”
“แต่มันไม่เหมือนตัวนั้นค่ะ เอาคืนมาให้หนูเถอะค่ะ”
เอาคืนมาค่ะ
เอาคืนมา
..........
ความมืดคือม่านกั้นชนิดหนึ่ง ใกล้หรือไกลบางทีไม่ต่างกัน พอดวงไฟปิดลง ความมืดเริ่มมาเยือน สรรพสิ่งมืดมิด บางอย่างที่ชื่นชมกับความมืดพากันหลั่งไหลออกมาจากจินตนาการ แผ่ซ่านไปทั่ว แม่มดหน้าตาน่าเกลียด น่ากลัว ขี่ไม้กวาดลอยโฉบมา พร้อมด้วยรอยยิ้มมุ่งร้าย สัตว์ประหลาดรูปร่างพิกล น่าขยะแขยง ขึ้นมาจากขุมนรกอเวจี เดินเพ่นพ่านตามผนังห้อง รอจังหวะเข้ามาคืบคลานตามร่างกาย
นั่น...ผู้หญิงเรือนผมยาว ลอย คอพับ หัก ห้อย แหว่ง แขวนอยู่บนเพดาน หมุนคว้างอย่างเชื่องช้า เส้นผมพลิ้วปรกประระหน้า ตาเบิกโพลงแทบถลนออกมานอกเบ้า ส่งรอยยิ้มชั่วร้ายน่ากลัว บนใบหน้าขาวซีด
หรือนั่น...ใครบางคนกำลังซ่อนตัวอยู่ใต้เตียง ขยับโผล่หน้าขึ้นมาอย่างมุ่งร้าย จ้องมองจากปลายเตียงด้วยนัยน์ตาฉ่ำเลือด คืบคลานตรงเข้ามาด้วยเรือนร่างบิดเบี้ยววิปริตสุดสะพรึง
นั่นละ...คืออำนาจของความมืด
“แม่คะ เอาตุ๊กตามาให้หนูเถอะค่ะ”
“หลับตาเถอะน่า แม่ง่วงนอนแล้ว” เสียงของผู้เป็นแม่ตัดบทเฉียบขาด ก่อนแสงสว่างจะดับวูบลง ไม่ยอมรับฟังอะไรอีกต่อไป คิดแค่ว่า ลูกต้องรับความอ่อนแอให้ได้ ก็แค่ฝันร้ายที่ทุกคนต้องเผชิญ
“แม่คะ”
“แม่”
แม่....
...
ความมืดคลี่โรยปกคลุมในห้อง แม่คงเหนื่อยจากการงาน มากกว่าจะมารับฟัง เรื่องเพ้อฝันและจินตนาการของเด็ก แม่ใครละ...จะเชื่อว่าในเงามืดจะมีภูตผีปีศาจรอคอยโอกาสเล่นงาน คนส่วนมากพอมีโอกาสเติบโตเป็นผู้ใหญ่ มักจะลืมเรื่องราวและความฝันอันละเอียดอ่อนของวัยเด็กไปจนสิ้น ก็แน่ละ... ยังมีอย่างอื่นน่าสนใจ น่าขบคิดมากกว่าเรื่องไร้สาระในจินตนาการ
“แม่คะ... มันจะมาเอาตัวหนูไป”
เสียงสะอึกสะอื้น สั่นพร่า แว่วมาจากไกลแสนไกล เหมือนดังมาจากอีกฟากหนึ่งของจักรวาลความมืด รอยแยกแห่งจักรวาลพรากหนูน้อย ห่างไกลออกไปทุกที
นั่นเป็นเสียงครั้งสุดท้าย ที่ผู้เป็นแม่มีโอกาสได้ยิน จากลูกสาว ในยามหนูน้อยมีชีวิต
แม่จ๋า...
... ... ...
ตุ๊กตาตัวนั้นดูอย่างไรก็เป็นตุ๊กตาธรรมดา สูงประมาณสองฟุต ถูกลงเครื่องซักผ้า ซักจนขาวสะอาดสะอ้านที่สุดเท่าที่จะทำได้ มันจะไม่สะอาดได้อย่างไรล่ะ ในเมื่อตั้งแต่สูญเสียลูกสาวคนเดียวไปนับเดือนแล้ว ภรรยาของเขาไม่เคยทำอะไรไปมากกว่า นั่งดูแลนั่งเอาใจใส่ตุ๊กตาตัวนี้ จนไม่เป็นอันทำงาน ความสูญเสียรุนแรงมหาศาล เกินกว่าหัวใจบอบบางของเธอจะรับได้
แม่คะ
แม่...
ลูกรัก...ไม่มีอะไรหรอก
แม่หนูกลัว...ไม่เอาน่าลูกรัก ก็แค่ความมืดเท่านั้น
ทำไมแม่ไม่ฟังหนูเลย เพราะหนูเด็กเกินไป ใช่ไหมคะ...
ไม่...
เธอเฝ้าคร่ำครวญว่า เป็นเพราะเธอคนเดียว ถ้าหากคืนนั้นเพียงแต่เข้าใจความรู้สึกของลูกน้อยสักนิด เหตุการณ์เลวร้ายคงไม่เกิดขึ้น สิ่งที่อยู่ในความมืดอุบาทว์ นรก เลวทราม คงยังไม่พรากเธอจากไป
รุ่งเช้า...หนูน้อยจากทุกคนไปตลอดกาล โดยยังมีคราบน้ำตาเปื้อนตามแก้มใส เธอคงนอนร้องไห้เดียวดายทั้งคืน ด้วยความหวาดกลัว จนกระทั่ง ‘มัน’ มาเอาตัวเธอไป
งานศพ และหยาดน้ำตา ผ่านไป ฝันร้ายยังคงทำหน้าที่ต่อไป
อะไรจะเจ็บปวดมากไปกว่าการสำนึกผิดที่ไม่มีทางแก้
แม่จ๋า...
ทั้งที่อยู่ห่างกันแค่นั้นเอง แต่พอความมืดปกคลุม ระยะทางดูห่างไกลเหลือเกิน
ที่รัก...
เขาเองก็จนปัญญา
ผู้เป็นภรรยากำลังจะถูกพรากไปอีกคน แต่ครั้งนี้ไม่ต้องอาศัยความมืดเป็นสื่อ มันอาศัยจิตใจบอบบางอ่อนไหวของผู้คน ค่อยคืบคลานเข้ามากัด เกาะ แทะ กินวิญญาณอย่างเชื่องช้า เยือกเย็น
เพราะตุ๊กตาตัวนี้ตัวเดียว ถ้าหากไม่มีตุ๊กตาเรื่องร้ายแรงคงไม่เกิดขึ้น
ตุ๊กตาเจ้าปัญหามันอยู่อย่างมีความสุข ภายใต้การปกป้องดูแลเป็นอย่างดีของผู้เป็นภรรยา หลังจากการตายของลูกสาว เธอกลายเป็นหุ่นยนต์เดินได้ สิ่งเดียวในชีวิตเธอคือตุ๊กตาของลูกสาว อยู่บ้านเดียวกัน นอนเตียงเดียวกัน แต่เหมือนกับว่ามีรอยแยกไร้สภาพ ทำให้ ความเป็นสามี ภรรยา ครอบครัว ห่างออกจากกันทุกที อย่างน่าใจหายและเลือดเย็น
คืนหนึ่ง เขาค่อยดึงมันออกมาจากอ้อมแขนของเธอ ขณะนอนหลับ แต่หล่อนสะดุ้งตื่น สองมือไขว่คว้าตุ๊กตาเอาไว้อย่างหวงแหน
“อย่ามายุ่งกับลูกของฉัน” หล่อนสะอื้น กอดตุ๊กตาแน่น ถดถอยไปชิดผนังเหมือนคนกำลังพยายามปกป้องลูกน้อยของตนเองอย่างเต็มที่
“ที่รัก...ลูกเราตายไปแล้ว” เขาบอกด้วยเสียงสั่นพร่า กุมมือหล่อนเบา ๆ หญิงสาวขยับตัวหนีอย่างไม่ไว้ใจ
“ลูกของฉัน” เธอไม่สนใจเขาอีกต่อไป ค่อยตรวจดูตามเนื้อตัวตุ๊กตาอย่างห่วงใย “ลูกของฉัน”
“ลูกของฉัน”
“ลูกของฉัน”
เขายอมรับในบัดนั้นเองว่า นอกจากลูกสาวสุดที่รักแล้ว เขายังสูญเสียภรรยาไปอีกคนแล้ว สูญเสียไปทั้งที่อยู่ใกล้แค่นี้เอง นรกชัด ๆ
ในที่สุดเขาตัดสินใจโทรศัพท์หาหมอประจำบ้าน คุณหมอและผู้ช่วยมาในเวลาไม่นาน
“เธอจะเป็นอะไรไหมครับ” เขาถามหมออย่างนึกเป็นห่วงภรรยา เขาและผู้ช่วยหมอ ต้องช่วยกันจับตัวหล่อนไว้สุดชีวิตกว่า หมอประจำครอบครัวฉีดยาให้หล่อนได้
คุณหมอวัยค่อนคนปาดเหงื่อ ไม่นึกว่าจะมีโอกาสฉีดยาระงับประสาทให้กับคนของครอบครัวนี้ เพราะหลายปีที่ผ่านมา อย่างมากก็แค่สั่งยาเล็กน้อย ไม่หนักหนาสาหัสอะไร แต่นี่....
“ไม่เป็นไรหรอกครับ เธอจะหลับสบาย ผมจะกลับมาดูอีกนะครับ” หมอพูดขณะเก็บข้าวของอุปกรณ์
“เธอหลับแน่นะหมอ” เขาถามให้แน่ใจ เพราะไม่เคยเห็นภรรยาหลับเต็มที่มาก่อน นอกจากการนอนกอดตุ๊กตา พึมพำเรื่อยเปื่อย ที่เขาเองก็ไม่เข้าใจว่าเรื่องอะไร
“รับรองครับ ถ้าเธอตื่นขึ้นมาได้ ก็ไม่ใช่คนแล้ว” หลังจากนั้น หมอและผู้ช่วยกล่าวอำลา
หล่อนนอนหลับอย่างสนิทที่สุดในรอบหลายเดือนที่ผ่านมา เขามองอย่างสงสาร เธอผอมลงไปมาก ไม่น่าเชื่อว่าความตรอมตรมใจจะทำร้ายผู้คนได้ขนาดนี้ มันช่างสาหัสสากรรจ์ จนไม่อยากจะเชื่อ
เขาปิดไฟ
ความมืดก็เป็นความมืดอย่างทุกคืน แต่คืนนี้ดูอ้างว้างเยือกเย็นอย่างบอกไม่ถูก ภรรยาก็นอนอยู่ข้างกาย แต่ทำไมรู้สึกว่ามันห่างไกลเหลือเกินจนเหมือนอยู่สุดขอบจักรวาล หรือว่าเกิดจากอิทธิพลของความมืด ไม่ว่าจะเป็นความมืดภายนอก หรือความมืดภายในจิตใจของคน
ตุ๊กตา... จริงสิ เธอหลับลึกอย่างไม่เคยเป็นมา ก่อนเพราะฤทธิ์ยา ทำไมเขาไม่ถือโอกาส ดึงตุ๊กตานรก ออกมาจากอ้อมแขนของหล่อน ตุ๊กตาตัวที่ยังไม่มีใครแกะออกได้
เขาควานมือในความมืดไปหาตัวเธอ แต่แล้วเขารู้สึกตัวเย็นเฉียบ ใจหายวูบ
ข้างตัวเขาว่างเปล่า
มันจะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อหล่อนหลับอยู่แท้ ๆ เขาควานมือไปมาหลายครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าประสาทไม่ได้ฟั่นเฟือนไป แต่ความรู้สึกก็ยืนยันว่าบนเตียงไม่มีร่างของภรรยาอยู่เลย หัวใจหล่นวูบ เขาเผ่นพรวดเดียวไปเปิดไฟสว่างจ้า
พระเจ้า... ภรรยาของเขานั่งโยกตัวไปมาอยู่ที่เก้าอี้ข้างผนัง หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง เรือนผมยาวสยายปรกหน้า ดวงตาหลับสนิท สองมือประคองตุ๊กตาแนบแน่น ใบหน้าของเธอขาวซีดจนน่ากลัว
ชายหนุ่มยืนตัวแข็งพักหนึ่ง กว่าจะตั้งสติได้ ข่มความกลัว จัดการประคองเธอกลับมานอนเตียง มีคำอธิบายอย่างเดียวคือเป็นการละเมออย่างเงียบกริบจนน่าสะพรึง อย่างไรก็ตาม ครั้งนี้เขาสามารถแย่งตุ๊กตาออกมาจากมือหล่อนจนได้
“เอาลูกฉันคืนมา” หล่อนหลับตาส่งเสียงแผ่วเบาราวแว่วมาจากไกลแสนไกล
“ลูกต้องอยู่กับฉัน มันกำลังจะมาตัวเธอไป”
“ไอ้หมอบ้า” เขาสบถในใจ ไหนบอกว่าจะหลับสนิทจนถึงเช้า แต่เมื่อดูให้ดีจึงรู้ว่าเธอหลับจริง ๆ
“เอาลูกฉันคืนมา มันจะเอาตัวเธอไป” เธอยังคงร่ำร้องดั่งละเมอ นัยน์ตาปิดสนิท
เขาคิดครู่หนึ่ง ก่อนเอาตุ๊กตาใส่ตัวเสื้อผ้า ล็อกกุญแจ แล้วเก็บลูกกุญแจไว้กับตัว
“เอาลูกฉันคืนมา มันจะเอาตัวเธอไป”
และนั่นก็เป็นประโยคสุดท้ายที่เขาได้ยินจากปากหล่อนเมื่อมีชีวิต
งานศพ และหยาดน้ำตา ผ่านไป ฝันร้ายยังคงทำหน้าที่ต่อไป
อะไรจะเจ็บปวดมากไปกว่าการสำนึกผิดที่ไม่มีทางแก้
ที่รัก...
ถ้าหากคืนนั้น เพียงแต่เข้าใจความรู้สึกของเธอสักนิด เหตุการณ์เลวร้ายคงไม่เกิดขึ้น สิ่งที่อยู่ในความมืดอุบาทว์นรกนั่น คงยังไม่พรากเธอจากไป รุ่งเช้าภรรยาจากเขาไป โดยมีคราบน้ำตาตามแก้มใสเธอคงนอนร้องไห้เดียวดายทั้งคืน ด้วยความหวาดกลัวจนกระทั่ง มัน’ มาเอาตัวเธอไป อะไรจะเจ็บปวดมากไปกว่าการสำนึกผิดที่ไม่มีทางแก้
“คนไข้เป็นอย่างไรบ้างครับ”
ผู้ช่วยจิตแพทย์ถามขณะพากันมองดู ‘คนป่วยทางจิต’ ผ่านช่องกระจกเล็ก ๆ ผู้กำลังนั่งโยกตัวไปมาอยู่บนเตียง ในมือกอดตุ๊กตาแนบแน่น ดวงตาทั้งคู่เหม่อลอยไปไกลแสนไกล
“เขาไม่ยอมห่างตุ๊กตาเลย บอกเพียงแต่ว่านั่นเป็นภรรยาของเขา”
“คงเสียใจมาก ที่ภรรยาตายไปอีกคน” ผู้ช่วยถอนลมหายใจลึกยาว ก่อนให้ความเห็นสลดหดหู่
“ให้ยาเขาแรงเป็นสองเท่า แล้วเอาตุ๊กตานั่นออกมา” หมอสั่งด้วยความคิดที่ว่า ตุ๊กตาคือปัญหา ถ้าแยกออกมาได้คงทำให้อาการของคนไข้ดีขึ้น
ตุ๊กตาตัวนี้ดูไปก็น่ารักดี จิตแพทย์คิดขณะขับรถออกจากที่ทำงานยามค่ำคืน ความมืดคลี่ตัวลงมานานแล้ว แต่เขาเพิ่งทำธุระเสร็จ ไม่เป็นไร...อาจทานอาหารเย็นกับครอบครัวช้าไปหน่อย แต่อย่างน้อยก็มีตุ๊กตาน่ารัก ไปปลอบใจลูกสาวของเขา
ตุ๊กตาที่เอามาจากคนไข้ ผู้โดนกล่อมให้หลับด้วยฤทธิ์ยานอนหลับ ปกติเขาไม่ได้สนใจอะไรเกี่ยวกับตุ๊กตามากนัก แต่ทำไมจึงรู้สึกอยากได้ตุ๊กตาตัวนี้ขึ้นมา โดยไม่ทราบสาเหตุ
และคิดว่ามันเหมาะกับลูกสาวตัวเล็กของเขาเหลือเกิน
หมอไม่ทันสังเกตเห็น รอยยิ้ม ของตุ๊กตา และรอยยิ้มที่มุ่งร้าย
แม่จ๋า...........
จบแล้วครับ
ขอบคุณทุกท่านที่แวะมาเด้อครับ
ตุ๊กตาจ๋า...(ตอนเดียวจบ)
“แม่จ๋า ตุ๊กตาหนูอยู่ไหน”
เสียงใสเล็กดังขึ้นในความมืด มีเสียงกุกกักครู่หนึ่ง เสียงเคลื่อนไหว เสียงพูดฟังไม่ชัดเจน ไฟดวงเล็กจะสว่างจ้าขึ้นในห้อง บนที่นอนเล็กแต่อบอุ่น ดวงตาของเด็กหญิงชุดนอนสีชาว วัยเฉียดเฉี่ยวสี่ห้าขวบคนนั้น มีประกายแห่งความหวาดกลัวระริกไหว
“แม่เอาไปเก็บไว้แล้ว มันสกปรกพรุ่งนี้แม่จะเอาไปลงเครื่องซักให้สะอาดนะจ๊ะ”
“ไม่ได้นะคะ เอามันคืนมา คืนนี้พวกมันจะมาเอาตัวหนูไปได้ ถ้าไม่มีตุ๊กตา แม่จ๋า...เอาตุ๊กตาหนูคืนมา”
“หนูจ๋า...บนเตียง หนูก็มีตุ๊กตาอยู่หลายตัวนี่นา มันคงช่วยลูกได้”
“แต่มันไม่เหมือนตัวนั้นค่ะ เอาคืนมาให้หนูเถอะค่ะ”
เอาคืนมาค่ะ
เอาคืนมา
..........
ความมืดคือม่านกั้นชนิดหนึ่ง ใกล้หรือไกลบางทีไม่ต่างกัน พอดวงไฟปิดลง ความมืดเริ่มมาเยือน สรรพสิ่งมืดมิด บางอย่างที่ชื่นชมกับความมืดพากันหลั่งไหลออกมาจากจินตนาการ แผ่ซ่านไปทั่ว แม่มดหน้าตาน่าเกลียด น่ากลัว ขี่ไม้กวาดลอยโฉบมา พร้อมด้วยรอยยิ้มมุ่งร้าย สัตว์ประหลาดรูปร่างพิกล น่าขยะแขยง ขึ้นมาจากขุมนรกอเวจี เดินเพ่นพ่านตามผนังห้อง รอจังหวะเข้ามาคืบคลานตามร่างกาย
นั่น...ผู้หญิงเรือนผมยาว ลอย คอพับ หัก ห้อย แหว่ง แขวนอยู่บนเพดาน หมุนคว้างอย่างเชื่องช้า เส้นผมพลิ้วปรกประระหน้า ตาเบิกโพลงแทบถลนออกมานอกเบ้า ส่งรอยยิ้มชั่วร้ายน่ากลัว บนใบหน้าขาวซีด
หรือนั่น...ใครบางคนกำลังซ่อนตัวอยู่ใต้เตียง ขยับโผล่หน้าขึ้นมาอย่างมุ่งร้าย จ้องมองจากปลายเตียงด้วยนัยน์ตาฉ่ำเลือด คืบคลานตรงเข้ามาด้วยเรือนร่างบิดเบี้ยววิปริตสุดสะพรึง
นั่นละ...คืออำนาจของความมืด
“แม่คะ เอาตุ๊กตามาให้หนูเถอะค่ะ”
“หลับตาเถอะน่า แม่ง่วงนอนแล้ว” เสียงของผู้เป็นแม่ตัดบทเฉียบขาด ก่อนแสงสว่างจะดับวูบลง ไม่ยอมรับฟังอะไรอีกต่อไป คิดแค่ว่า ลูกต้องรับความอ่อนแอให้ได้ ก็แค่ฝันร้ายที่ทุกคนต้องเผชิญ
“แม่คะ”
“แม่”
แม่....
...
ความมืดคลี่โรยปกคลุมในห้อง แม่คงเหนื่อยจากการงาน มากกว่าจะมารับฟัง เรื่องเพ้อฝันและจินตนาการของเด็ก แม่ใครละ...จะเชื่อว่าในเงามืดจะมีภูตผีปีศาจรอคอยโอกาสเล่นงาน คนส่วนมากพอมีโอกาสเติบโตเป็นผู้ใหญ่ มักจะลืมเรื่องราวและความฝันอันละเอียดอ่อนของวัยเด็กไปจนสิ้น ก็แน่ละ... ยังมีอย่างอื่นน่าสนใจ น่าขบคิดมากกว่าเรื่องไร้สาระในจินตนาการ
“แม่คะ... มันจะมาเอาตัวหนูไป”
เสียงสะอึกสะอื้น สั่นพร่า แว่วมาจากไกลแสนไกล เหมือนดังมาจากอีกฟากหนึ่งของจักรวาลความมืด รอยแยกแห่งจักรวาลพรากหนูน้อย ห่างไกลออกไปทุกที
นั่นเป็นเสียงครั้งสุดท้าย ที่ผู้เป็นแม่มีโอกาสได้ยิน จากลูกสาว ในยามหนูน้อยมีชีวิต
แม่จ๋า...
... ... ...
ตุ๊กตาตัวนั้นดูอย่างไรก็เป็นตุ๊กตาธรรมดา สูงประมาณสองฟุต ถูกลงเครื่องซักผ้า ซักจนขาวสะอาดสะอ้านที่สุดเท่าที่จะทำได้ มันจะไม่สะอาดได้อย่างไรล่ะ ในเมื่อตั้งแต่สูญเสียลูกสาวคนเดียวไปนับเดือนแล้ว ภรรยาของเขาไม่เคยทำอะไรไปมากกว่า นั่งดูแลนั่งเอาใจใส่ตุ๊กตาตัวนี้ จนไม่เป็นอันทำงาน ความสูญเสียรุนแรงมหาศาล เกินกว่าหัวใจบอบบางของเธอจะรับได้
แม่คะ
แม่...
ลูกรัก...ไม่มีอะไรหรอก
แม่หนูกลัว...ไม่เอาน่าลูกรัก ก็แค่ความมืดเท่านั้น
ทำไมแม่ไม่ฟังหนูเลย เพราะหนูเด็กเกินไป ใช่ไหมคะ...
ไม่...
เธอเฝ้าคร่ำครวญว่า เป็นเพราะเธอคนเดียว ถ้าหากคืนนั้นเพียงแต่เข้าใจความรู้สึกของลูกน้อยสักนิด เหตุการณ์เลวร้ายคงไม่เกิดขึ้น สิ่งที่อยู่ในความมืดอุบาทว์ นรก เลวทราม คงยังไม่พรากเธอจากไป
รุ่งเช้า...หนูน้อยจากทุกคนไปตลอดกาล โดยยังมีคราบน้ำตาเปื้อนตามแก้มใส เธอคงนอนร้องไห้เดียวดายทั้งคืน ด้วยความหวาดกลัว จนกระทั่ง ‘มัน’ มาเอาตัวเธอไป
งานศพ และหยาดน้ำตา ผ่านไป ฝันร้ายยังคงทำหน้าที่ต่อไป
อะไรจะเจ็บปวดมากไปกว่าการสำนึกผิดที่ไม่มีทางแก้
แม่จ๋า...
ทั้งที่อยู่ห่างกันแค่นั้นเอง แต่พอความมืดปกคลุม ระยะทางดูห่างไกลเหลือเกิน
ที่รัก...
เขาเองก็จนปัญญา
ผู้เป็นภรรยากำลังจะถูกพรากไปอีกคน แต่ครั้งนี้ไม่ต้องอาศัยความมืดเป็นสื่อ มันอาศัยจิตใจบอบบางอ่อนไหวของผู้คน ค่อยคืบคลานเข้ามากัด เกาะ แทะ กินวิญญาณอย่างเชื่องช้า เยือกเย็น
เพราะตุ๊กตาตัวนี้ตัวเดียว ถ้าหากไม่มีตุ๊กตาเรื่องร้ายแรงคงไม่เกิดขึ้น
ตุ๊กตาเจ้าปัญหามันอยู่อย่างมีความสุข ภายใต้การปกป้องดูแลเป็นอย่างดีของผู้เป็นภรรยา หลังจากการตายของลูกสาว เธอกลายเป็นหุ่นยนต์เดินได้ สิ่งเดียวในชีวิตเธอคือตุ๊กตาของลูกสาว อยู่บ้านเดียวกัน นอนเตียงเดียวกัน แต่เหมือนกับว่ามีรอยแยกไร้สภาพ ทำให้ ความเป็นสามี ภรรยา ครอบครัว ห่างออกจากกันทุกที อย่างน่าใจหายและเลือดเย็น
คืนหนึ่ง เขาค่อยดึงมันออกมาจากอ้อมแขนของเธอ ขณะนอนหลับ แต่หล่อนสะดุ้งตื่น สองมือไขว่คว้าตุ๊กตาเอาไว้อย่างหวงแหน
“อย่ามายุ่งกับลูกของฉัน” หล่อนสะอื้น กอดตุ๊กตาแน่น ถดถอยไปชิดผนังเหมือนคนกำลังพยายามปกป้องลูกน้อยของตนเองอย่างเต็มที่
“ที่รัก...ลูกเราตายไปแล้ว” เขาบอกด้วยเสียงสั่นพร่า กุมมือหล่อนเบา ๆ หญิงสาวขยับตัวหนีอย่างไม่ไว้ใจ
“ลูกของฉัน” เธอไม่สนใจเขาอีกต่อไป ค่อยตรวจดูตามเนื้อตัวตุ๊กตาอย่างห่วงใย “ลูกของฉัน”
“ลูกของฉัน”
“ลูกของฉัน”
เขายอมรับในบัดนั้นเองว่า นอกจากลูกสาวสุดที่รักแล้ว เขายังสูญเสียภรรยาไปอีกคนแล้ว สูญเสียไปทั้งที่อยู่ใกล้แค่นี้เอง นรกชัด ๆ
ในที่สุดเขาตัดสินใจโทรศัพท์หาหมอประจำบ้าน คุณหมอและผู้ช่วยมาในเวลาไม่นาน
“เธอจะเป็นอะไรไหมครับ” เขาถามหมออย่างนึกเป็นห่วงภรรยา เขาและผู้ช่วยหมอ ต้องช่วยกันจับตัวหล่อนไว้สุดชีวิตกว่า หมอประจำครอบครัวฉีดยาให้หล่อนได้
คุณหมอวัยค่อนคนปาดเหงื่อ ไม่นึกว่าจะมีโอกาสฉีดยาระงับประสาทให้กับคนของครอบครัวนี้ เพราะหลายปีที่ผ่านมา อย่างมากก็แค่สั่งยาเล็กน้อย ไม่หนักหนาสาหัสอะไร แต่นี่....
“ไม่เป็นไรหรอกครับ เธอจะหลับสบาย ผมจะกลับมาดูอีกนะครับ” หมอพูดขณะเก็บข้าวของอุปกรณ์
“เธอหลับแน่นะหมอ” เขาถามให้แน่ใจ เพราะไม่เคยเห็นภรรยาหลับเต็มที่มาก่อน นอกจากการนอนกอดตุ๊กตา พึมพำเรื่อยเปื่อย ที่เขาเองก็ไม่เข้าใจว่าเรื่องอะไร
“รับรองครับ ถ้าเธอตื่นขึ้นมาได้ ก็ไม่ใช่คนแล้ว” หลังจากนั้น หมอและผู้ช่วยกล่าวอำลา
หล่อนนอนหลับอย่างสนิทที่สุดในรอบหลายเดือนที่ผ่านมา เขามองอย่างสงสาร เธอผอมลงไปมาก ไม่น่าเชื่อว่าความตรอมตรมใจจะทำร้ายผู้คนได้ขนาดนี้ มันช่างสาหัสสากรรจ์ จนไม่อยากจะเชื่อ
เขาปิดไฟ
ความมืดก็เป็นความมืดอย่างทุกคืน แต่คืนนี้ดูอ้างว้างเยือกเย็นอย่างบอกไม่ถูก ภรรยาก็นอนอยู่ข้างกาย แต่ทำไมรู้สึกว่ามันห่างไกลเหลือเกินจนเหมือนอยู่สุดขอบจักรวาล หรือว่าเกิดจากอิทธิพลของความมืด ไม่ว่าจะเป็นความมืดภายนอก หรือความมืดภายในจิตใจของคน
ตุ๊กตา... จริงสิ เธอหลับลึกอย่างไม่เคยเป็นมา ก่อนเพราะฤทธิ์ยา ทำไมเขาไม่ถือโอกาส ดึงตุ๊กตานรก ออกมาจากอ้อมแขนของหล่อน ตุ๊กตาตัวที่ยังไม่มีใครแกะออกได้
เขาควานมือในความมืดไปหาตัวเธอ แต่แล้วเขารู้สึกตัวเย็นเฉียบ ใจหายวูบ
ข้างตัวเขาว่างเปล่า
มันจะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อหล่อนหลับอยู่แท้ ๆ เขาควานมือไปมาหลายครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าประสาทไม่ได้ฟั่นเฟือนไป แต่ความรู้สึกก็ยืนยันว่าบนเตียงไม่มีร่างของภรรยาอยู่เลย หัวใจหล่นวูบ เขาเผ่นพรวดเดียวไปเปิดไฟสว่างจ้า
พระเจ้า... ภรรยาของเขานั่งโยกตัวไปมาอยู่ที่เก้าอี้ข้างผนัง หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง เรือนผมยาวสยายปรกหน้า ดวงตาหลับสนิท สองมือประคองตุ๊กตาแนบแน่น ใบหน้าของเธอขาวซีดจนน่ากลัว
ชายหนุ่มยืนตัวแข็งพักหนึ่ง กว่าจะตั้งสติได้ ข่มความกลัว จัดการประคองเธอกลับมานอนเตียง มีคำอธิบายอย่างเดียวคือเป็นการละเมออย่างเงียบกริบจนน่าสะพรึง อย่างไรก็ตาม ครั้งนี้เขาสามารถแย่งตุ๊กตาออกมาจากมือหล่อนจนได้
“เอาลูกฉันคืนมา” หล่อนหลับตาส่งเสียงแผ่วเบาราวแว่วมาจากไกลแสนไกล
“ลูกต้องอยู่กับฉัน มันกำลังจะมาตัวเธอไป”
“ไอ้หมอบ้า” เขาสบถในใจ ไหนบอกว่าจะหลับสนิทจนถึงเช้า แต่เมื่อดูให้ดีจึงรู้ว่าเธอหลับจริง ๆ
“เอาลูกฉันคืนมา มันจะเอาตัวเธอไป” เธอยังคงร่ำร้องดั่งละเมอ นัยน์ตาปิดสนิท
เขาคิดครู่หนึ่ง ก่อนเอาตุ๊กตาใส่ตัวเสื้อผ้า ล็อกกุญแจ แล้วเก็บลูกกุญแจไว้กับตัว
“เอาลูกฉันคืนมา มันจะเอาตัวเธอไป”
และนั่นก็เป็นประโยคสุดท้ายที่เขาได้ยินจากปากหล่อนเมื่อมีชีวิต
งานศพ และหยาดน้ำตา ผ่านไป ฝันร้ายยังคงทำหน้าที่ต่อไป
อะไรจะเจ็บปวดมากไปกว่าการสำนึกผิดที่ไม่มีทางแก้
ที่รัก...
ถ้าหากคืนนั้น เพียงแต่เข้าใจความรู้สึกของเธอสักนิด เหตุการณ์เลวร้ายคงไม่เกิดขึ้น สิ่งที่อยู่ในความมืดอุบาทว์นรกนั่น คงยังไม่พรากเธอจากไป รุ่งเช้าภรรยาจากเขาไป โดยมีคราบน้ำตาตามแก้มใสเธอคงนอนร้องไห้เดียวดายทั้งคืน ด้วยความหวาดกลัวจนกระทั่ง มัน’ มาเอาตัวเธอไป อะไรจะเจ็บปวดมากไปกว่าการสำนึกผิดที่ไม่มีทางแก้
“คนไข้เป็นอย่างไรบ้างครับ”
ผู้ช่วยจิตแพทย์ถามขณะพากันมองดู ‘คนป่วยทางจิต’ ผ่านช่องกระจกเล็ก ๆ ผู้กำลังนั่งโยกตัวไปมาอยู่บนเตียง ในมือกอดตุ๊กตาแนบแน่น ดวงตาทั้งคู่เหม่อลอยไปไกลแสนไกล
“เขาไม่ยอมห่างตุ๊กตาเลย บอกเพียงแต่ว่านั่นเป็นภรรยาของเขา”
“คงเสียใจมาก ที่ภรรยาตายไปอีกคน” ผู้ช่วยถอนลมหายใจลึกยาว ก่อนให้ความเห็นสลดหดหู่
“ให้ยาเขาแรงเป็นสองเท่า แล้วเอาตุ๊กตานั่นออกมา” หมอสั่งด้วยความคิดที่ว่า ตุ๊กตาคือปัญหา ถ้าแยกออกมาได้คงทำให้อาการของคนไข้ดีขึ้น
ตุ๊กตาตัวนี้ดูไปก็น่ารักดี จิตแพทย์คิดขณะขับรถออกจากที่ทำงานยามค่ำคืน ความมืดคลี่ตัวลงมานานแล้ว แต่เขาเพิ่งทำธุระเสร็จ ไม่เป็นไร...อาจทานอาหารเย็นกับครอบครัวช้าไปหน่อย แต่อย่างน้อยก็มีตุ๊กตาน่ารัก ไปปลอบใจลูกสาวของเขา
ตุ๊กตาที่เอามาจากคนไข้ ผู้โดนกล่อมให้หลับด้วยฤทธิ์ยานอนหลับ ปกติเขาไม่ได้สนใจอะไรเกี่ยวกับตุ๊กตามากนัก แต่ทำไมจึงรู้สึกอยากได้ตุ๊กตาตัวนี้ขึ้นมา โดยไม่ทราบสาเหตุ
และคิดว่ามันเหมาะกับลูกสาวตัวเล็กของเขาเหลือเกิน
หมอไม่ทันสังเกตเห็น รอยยิ้ม ของตุ๊กตา และรอยยิ้มที่มุ่งร้าย
แม่จ๋า...........
จบแล้วครับ
ขอบคุณทุกท่านที่แวะมาเด้อครับ