เรื่องสั้นรีไรท์ กับคมขวานและคาวเลือดวิปลาส แต่ประกัน ไม่มีเรื่องความรุนแรงทางเพศ
ไม่เหมาะกับคนหลงในโลกแห่งความเป็นจริงตลอดเวลา ไม่ควรอ่าน
.......
ฉันสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก บางทีอาจจะเป็นเพราะอยากเข้าห้องน้ำก็เป็นได้ แต่ความจริงมันไม่ใช่ มีบางอย่างมากกว่านั้น
ในห้องแคบ ๆ ของฉันไม่มีอะไรเป็นพิเศษมากไปกว่า โต๊ะ เตียงนอน แบบเรียบง่ายใหญ่ เกินพอที่จะบรรจุตัวฉันเอาไว้โดยไม่ตกหล่น แสงไฟซีดสลัวบนเพดาน ยังพอทำให้มองเห็นบนโต๊ะ ว่างพอจะวางสมุดหนังสือ กระจกบานเล็ก ที่ส่องให้เห็นใบหน้า เด็กสาวอายุสิบสี่ปี ...ใช่...มันควรจะเป็นใบหน้าของฉัน... ถ้าไม่มีอะไรนอกเหนือจากที่ว่ามา
ใบหน้าแบบทรุดโทรมเกินกว่าควรจะเป็นอย่างฉัน ใช่ฉันแน่หรือ ให้ตาย...
ปากกาสำหรับเขียนอะไรซึ่งอยากจะเขียน อยากระบาย ในวันเวลาเวิ้งว้างเคว้งคว้างไร้จุดหมาย อย่างเช่นตอนนี้ ฉันรู้ว่าตัวเองเป็นคนแปลกแยก
มี และไม่มี...อะไรไม่เหมือนคนอื่น หรือจะบอกว่าคนอื่นไม่ค่อยเหมือนฉันก็ว่าได้ ประตูห้องไม่ถูกเปิดบ่อยนักจนบางครั้งฉันคร้านที่จะใส่ใจ เพราะฉันหลบหนีโลกภายนอก เข้ามาอยู่ในห้อง ให้ตาย....ฉันนึกถึง มดลูก ของ ผู้เป็นแม่ ถ้าท่านยังอยู่กับฉันนะ...
เวลากลางวันมองออกทางหน้าต่างเห็นทางเดิน สนามหญ้าและผู้คนขังตัวเองอยู่ในเสื้อผ้าหลากสีหลายแบบ ใช่ พวกเขาขังตัวเองอยู่ในเสื้อผ้า ถูกจองจำกับคำว่า แฟชั่น ค่านิยม....ฉันพยายามสะกดเสียงหัวเราะ อย่างน้อยฉันก็มีมรรยาทพอละน่า.... คืนวันผ่านไปมา ฉันเฝ้ามองอย่างเงียบ ๆ และใคร่ครวญพิจารณาถึงความสามารถของแต่ละคน ในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างร่างกายและวิญญาณให้เข้าด้วยกัน
แต่ฉันก็ไม่รู้อะไรมากไปกว่าสิ่งที่ฉันคิดว่า กลางคืนเป็นช่วงเวลาแห่งความน่ากลัว ความมืดคือความน่าสะพรึง
ฉันเคยได้ยินมาว่า ความมืดเป็นสิ่งมีชีวิต ซึ่งฉันเองก็เริ่มเชื่อเช่นนั้นเหมือนกัน ถึงจะฟังดูบ้าบอคอแตกก็ตาม เพียงแต่ชีวิตของความมืดเป็นสิ่งอยู่เหนือสามัญสำนึกของคนทั่วไป ฉันมีความคิดที่ว่าแก่นแท้ของจักรวาลเป็นอมตะคือความมืด แสงสว่างเป็นเพียงปรากฏการณ์จอมปลอม ในที่สุดทุกอย่างจะกลับไปสู่ความมืดสนิทกระทั่งไม่เหลือสิ่งใด
ความมืดคอยเฝ้ารอ...แฝงตัว อยู่ทุกหนทุกแห่ง แม้ว่าจะเป็นเวลากลางวัน อยู่ในห้องใต้ดิน อยู่ในตู้เสื้อผ้า อยู่ใต้เตียง อยู่ทุกซอกทุกมุมที่แสงสว่างคืบคลานไปไม่ถึง จ้องมองอย่างมุ่งร้าย รอทั้งโอกาสและเวลาที่เหมาะสม แต่ละวันมีผู้คนมากมายหลายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย บางคนอาจถูกฆาตกรรม แต่ไม่ว่าอย่างไรจะต้องเกี่ยวข้องกับ เจ้าความมืด ที่ว่าไม่มากก็น้อย
ความมืดเล่นงานผู้คนทั้งทางตรงและทางอ้อม มันสามารถทำให้จินตนาการก่อรูปก่อร่างขึ้นมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ ถ้ามีความกลัวมาเสริม
เวลากลางคืน ถึงเพดานห้องจะมีแสงไฟส่องสลัว แต่ใต้เตียง ในเงามืด ฉันรู้ว่ามันนอนรอคอยอยู่ เจ้าความมืดมันใจเย็นพอที่จะรอคอยโอกาสของมัน รอคอยความคิดของฉันอย่างเงียบ ๆ ความคิดแบบนี้ทำให้ฉันรู้สึกกลัว เมื่อรู้ว่าบางอย่างเฝ้ามองขึ้นมาจากใต้เตียง ผ่านแผ่นไม้ปูเตียง ผ่านที่นอนอันอ่อนนุ่ม บางครั้งฉันได้ยินเหมือนเสียงหายใจแผ่วเบาเป็นจังหวะ บางครั้งรู้สึกเหมือนเห็นรอยยิ้มแบบชั่วร้าย แน่นอนว่าความมืดไม่ได้มีจมูก ไม่มีปอด ไม่มีอวัยวะใดทั้งสิ้น แต่.....มันสามารถสร้างรูปลักษณ์ขึ้นมาได้ภายในจิตใจของเรา มันสามารถสร้างภาพ ผู้หญิงใบหน้าซีดเผือด ยิ่งกว่าซากศพ เส้นผมยาวสยายแผ่ออกมาจากใต้เตียงอย่างช้า ๆ แล้วค่อยใช้มือเหนี่ยวกายขึ้นมาจ้องมองจากขอบเตียง
ใช่...ฉันเคยตกใจตื่น และกรีดร้อง
แต่...ไม่ใช่ทุกคืน
เวลากลางวันไม่เท่าไรกับสิ่งที่มันสร้างขึ้นมา แต่กลางคืนเป็นช่วงที่พลังอำนาจของมันทวีมากขึ้นหลายเท่า โดยเฉพาะกับคนซึ่งอยู่คนเดียว...นอนคนเดียว..ในค่ำคืนอันเงียบเชียบวังเวงจนน่ากลัว ภูตผีปีศาจจะกระโดดออกมาจากจินตนาการและความคิดอย่างยากต่อการควบคุม เป็นฝีมือของความมืด
ฉันได้ยินเสียงเหมือนใครบางคนลากสิ่งของบางอย่างไปกับพื้นอย่างช้าๆ เสียงนั้นแผ่วเบาแต่เพราะความเงียบของยามค่ำคืนทำให้ได้ยินชัดเจน มันเป็นเสียงที่เคยได้ยินแทบทุกคืน
ใช่แล้ว.. ฉันเพิ่งนึกออกถึงสาเหตุในการสะดุ้งตื่นมากลางดึก ก็เพื่อได้ยินเจ้าเสียงประหลาดนี้ ถ้าคุณฟังเสียงมันบ่อย ๆ คุณจะรำคาญ ปนหวาดกลัว ...ซ้ำซากเหมือนฉัน คุณเองก็จะรู้ว่าไม่ยากที่จะจะจินตนาการ ถึง 'ที่มาที่ไป' ของเสียงได้ มันเดินอยู่ในความมืด ในจิตใจ เป็นเสียงฝีเท้าของผู้ชายอย่างแน่นอนฉันแน่ใจ และสิ่งที่เขาลากมาตามพื้นจะต้องเป็น ขวานตัดไม้ เล่มใหญ่ คมขวานขูดขีดพื้นเกิดรอยและเสียงน่าสยดสยอง ทิ้งรอยเลือดรอยลาก เป็นระยะตามทางเดิน
เขาคนนั้นเดินผ่านหน้าห้องของฉันแทบทุกคืน และทำให้ต้องตื่นขึ้นมารับรู้ถึงการมาของเขา
ฉันเคยได้ข่าวว่ามีหลายคนในเมืองถูกฆ่าตายกลางดึก เหยื่อมักเป็นคนกลางคืน เช่นคนจรจัด คนเมา ผู้หญิงหากิน ที่สภาพการใช้งานยาวนานจนต้องหลบเลี่ยงจากร้านอาหารมาทำมาหากินตามตรอกซอกซอย แต่พวกเธอไม่ผิด ไม่ควรจะมาถูกฆ่าตาย พวกเธอแค่หาเลี้ยงชีพ เท่านั้น...ฉันเข้าใจพวกเธอว่าไม่สมควรตาย...
ยังมี เหยื่อ ที่เป็นเด็ก หนีออกจากบ้านมาเที่ยว ฆาตกรไม่เลือกเหยื่อของมัน ขอให้มีโอกาสฆ่าเท่านั้น มันสับเหยื่อออกเป็นชิ้น ๆ ด้วยคมขวาน ตำรวจยังจับคนร้ายไม่ได้ แต่ฉันรู้ว่าเพราะอะไร ก็เจ้าความมืดนั่นล่ะอยู่เบื้องหลัง ความมืดยืมมือของใครบางคนเพื่อลงมือฆาตกรรม
แน่นอนว่าคุณเองก็คงอยากรู้ว่าทำไม แต่บางครั้งจิตใจของคน ทำความเลวร้ายมืดดำเกินกว่าจะรู้ว่าทำไม..หรือเพราะอะไรกันแน่
เสียงฝีเท้า เสียงลากคมขวาน ดังวนเวียนอยู่หน้าห้อง มันทำให้ฉันนอนลืมตาโพลงอยู่บนเตียง เหงื่อแตกพลั่กทั้งที่อากาศไม่ได้ร้อน ทำไมมันต้องมาวนเวียนอยู่แถวนี้ด้วย สองหูพยายามจับการเคลื่อนไหวนอกห้องด้วยหัวใจเต้นระทึก ฉันแน่ใจว่าประตูห้องล็อกเรียบร้อยแล้ว
แกรก..แกรก...
แกรก..แกรก...
เสียงใครบางคนกำลังพยายามจับลูกบิดประตูหมุนจากภายนอก ฉันสะดุ้งสุดตัว หัวใจเต้นแรง ลุกขึ้นมานั่งจ้องมองไปยังบานประตูอย่างหวาดกลัวทำอะไรไม่ถูก มีคนอยู่ข้างนอกจริง ๆ และใครคนนั้นกำลังพยายามเข้ามาในห้อง
ฉันล็อกประตูกับมือ ฉันแน่ใจ...
แต่ประตูกำลังเปิดออกอย่างช้า ๆ
สิ่งที่ยื่นเข้ามาก่อนมองเห็นอย่างชัดเจน มันเป็นขวานเล่มหนึ่ง และคมขวานเต็มไปด้วยเลือด เหมือนเพิ่งผ่านการสับหั่นผู้คนใหม่ ๆ ในความรู้สึกราวกับว่าขวานเล่มนั้นเป็นสิ่งเดียวในจักรวาล มันดูขยายใหญ่มากขึ้นทุกทีในประสาทการรับรู้อันเหลือน้อยนิด ฉันกำลังจะถูกฆ่าด้วยขวานเหมือนอีกหลายๆคนในเมืองนี้
ฉันกรีดร้องสุดเสียง.......
ใครบางคนเขย่าตัวฉันไปมา ฉันหลับหูหลับตากรีดร้องอยู่พักหนึ่งก่อนจะเริ่มได้สติ
“คุณแม่..” ฉันอุทานอย่างมึนงง เมื่อเห็นว่าคนที่เขย่าตัวฉันอยู่สายตาเต็มไปด้วยความห่วงใย คือคุณแม่นั่นเอง ไม่มี 'เงาขวาน' อันชั่วร้ายน่ากลัวอยู่ในห้อง
“ลูกคงฝันร้าย..” น้ำเสียงของคุณแม่เต็มไปด้วยความกังวล ฉันผวากอดท่านเอาไว้แน่น
“หนูฝันร้ายที่สุดเลยคุณแม่”
ฉันบอกได้แค่นี้จริงๆ ความตกใจกลัวทำให้ไม่สามารถเล่ารายละเอียดของความฝันน่ากลัวออกมาได้
“ไม่เป็นไร...มันเป็นแค่ความฝัน ไม่ต้องกลัว” ท่านลูบหัวฉันอย่างปลอบโยน พลางรับปากว่าคืนนี้จะนอนเป็นเพื่อนทำให้ฉันอุ่นใจขึ้น คุณแม่รักและดูแลฉันอย่างดีเสมอมา คือสิ่งดี ๆ ที่ได้จากครอบครัวของเรา
ตอนนี้คุณแม่นอนอยู่ข้าง ๆ ฉันเริ่มทบทวนความคิด ขวานเล่มนั้นคุ้นหน้าคุ้นตามากเหลือเกิน ในที่สุดฉันก็นึกออกว่าเคยเห็นมันที่ไหน มันเป็นขวานที่คุณพ่อใช้ผ่าฟืนเป็นประจำ ฉันเองยังเคยยกขวานด้ามนั้นเล่น และพยายามผ่าฟืนดูบ้างตามอย่างที่คุณพ่อทำ แต่ถึงจะยกขวานได้แต่การผ่าฟืนด้วยความแม่นยำแบบคุณพ่อทำ ไม่ใช่งานที่ฉันถนัด แต่ในที่สุดท่านก็ฝึกฉันจนชำนาญ
หรือคุณพ่อจะเป็นฆาตกร...
พอคิดแบบนี้ทำให้ใจสั่น หรือคุณพ่อจะหาเหยื่อไม่ได้ เลยมองมาที่ฉันแทน มันเป็นไปไม่ได้.!! ตั้งแต่จำความได้ คุณพ่อไม่เคยแม้แต่จะตีฉันเลยสักครั้ง ท่านรักฉันมากเพราะเป็นลูกสาวคนเดียว ไม่มีทางที่คุณพ่อจะฆ่าฉัน แค่คิดก็ละอายใจแล้ว
คนที่ท่านอยากฆ่าจริง ๆ คือคุณแม่ต่างหาก ให้ตายเถอะ ทำไมฉันเพิ่งนึกได้
ท่านเคยจับได้ว่าคุณแม่ แอบไปมีอะไร กับเด็กหนุ่มคนหนึ่งในย่านใกล้เคียง ข่าวซุบซิบของชาวบ้านทำให้คุณพ่อเครียด และกลายเป็นคนติดเหล้า การทะเลาะเบาะแว้งระหว่างคนทั้งสองมีมากขึ้นตามวันเวลา
และคืนวันหนึ่ง คุณแม่ก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
ตำรวจมาที่บ้านเราหลายครั้งแต่ดูเหมือนว่าพวกเขายังหาหลักฐานอะไรไม่ได้ พวกเราตกเป็นข่าวซุบซิบอีกตามเคย ฉันไม่มีวันเชื่อหรอก
ฉันไม่มีวันเชื่อว่าคุณพ่อจะไม่ฆ่าคุณแม่ ท่านเป็นคนละเอียดรอบคอบ ถ้าจะคิดปกปิดหรือซ่อนอะไรบางอย่าง อย่าคิดเลยว่าจะมีคนค้นเจอ.. และในคืนที่คุณแม่หายตัวไป ฉันเห็นเงาขวานเล่มนี้ ตอนที่คุณพ่อถือมันเข้าไปในห้องนอนของคุณแม่
ทันใดนั้นเองฉันก็เริ่มคิดได้ คุณแม่ตายไปแล้ว....!!
แต่ทำไมตอนนี้มานอนอยู่ข้าง ๆ ฉันได้ นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน ความหนาวเย็นจับจิตพุ่งวูบเข้ามาเกาะไขสันหลังจนตัวเย็นเฉียบ ความหวาดกลัวอันประมาณไม่ได้ ปะทุล้นขึ้นมาอย่างรวดเร็วยิ่งกว่าทำนบกั้นน้ำพัง คนนอนอยู่ข้าง ๆ ฉันเป็นคุณแม่จริง ๆ หรือ ฉันแน่ใจว่าท่านตายไปแล้ว นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน..
มันต้องเป็นฝันร้าย ฉันภาวนาว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง แต่ถ้าเป็นฝันร้ายทำไมไม่ยอมตื่นเสียที ได้โปรด ให้ฉันตื่นจากความฝันอันน่าสะพรึงกลัวนี้เสียดี ฉันพยายามกัดฟันสุดชีวิต ไม่ยอมให้เสียงสะอื้นหลุดออกมา นอนตัวแข็งทื่อ อยู่กับความรู้สึกที่ว่ากำลังนอนอยู่ข้าง ๆ กับคนตาย นอนเตียงเดียวกับคนที่ตายไปแล้ว
ใครไม่เจอจะไม่มีวันเข้าใจความรู้สึกหวาดกลัวแทบคลั่งแบบฉันได้เลย
ดูเหมือนว่าคุณแม่จะรู้สึกถึงความผิดปกติ ท่านพลิกตัวหันมาจ้องมองและถามด้วยเสียงห่วงใยว่า
“นอนไม่หลับเหรอลูก”
น้ำเสียงยังคงอบอุ่น เป็นเสียงของคุณแม่อย่างไม่ต้องสงสัย สายตายังคงเปี่ยมแววกังวล แต่ใบหน้าของท่านดูขาวซีด จนขอบตาดูเป็นสีเขียวคล้ำ ใบหน้าแบบนั้นเป็นใบหน้าของคนตายชัด ๆ
ไม่นะแม่....ฉันหลับตา กรีดร้องสุดเสียง
ใครบางคนเขย่าตัวของฉันไปมาและมีเสียงร้องเรียกชื่อดังข้างหูหลายครั้ง ฉันยังคงร้องเสียงดังอยู่นานกว่าจะเริ่มตั้งสติได้ และรู้ว่าคนที่กำลังเขย่าตัวเรียกฉันอยู่ คือคุณพ่อนั่นเอง
“ลูกฝันร้าย...ลูกกำลังฝันร้าย ตื่น ๆ”
เป็นคุณพ่อจริงๆ สีหน้าท่าทางของท่านกังวลห่วงใยอย่างเห็นได้ชัด
“หนูฝันเห็นแม่....”
ฉันรวบรวมสติ กัดฟันบอกเล่าให้คุณพ่อรับรู้ บอกได้แค่นั้นจริง ๆ สภาพจิตใจยังไม่พร้อม ในการอธิบายรายละเอียดของความฝันอันชัดเจนราวความจริง บอกตามตรงว่าจนทุกวันนี้ฉันยังไม่แน่ใจเลยว่าเรื่องทั้งหมดเป็นเพียงฝันร้าย ฉันไม่อยากจะเชื่อเลย
.....
.
เงา......ขวาน (เรืองสั้นรีไรท์ ตอนเดียวจบ)
เรื่องสั้นรีไรท์ กับคมขวานและคาวเลือดวิปลาส แต่ประกัน ไม่มีเรื่องความรุนแรงทางเพศ
ไม่เหมาะกับคนหลงในโลกแห่งความเป็นจริงตลอดเวลา ไม่ควรอ่าน
.......
ฉันสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก บางทีอาจจะเป็นเพราะอยากเข้าห้องน้ำก็เป็นได้ แต่ความจริงมันไม่ใช่ มีบางอย่างมากกว่านั้น
ในห้องแคบ ๆ ของฉันไม่มีอะไรเป็นพิเศษมากไปกว่า โต๊ะ เตียงนอน แบบเรียบง่ายใหญ่ เกินพอที่จะบรรจุตัวฉันเอาไว้โดยไม่ตกหล่น แสงไฟซีดสลัวบนเพดาน ยังพอทำให้มองเห็นบนโต๊ะ ว่างพอจะวางสมุดหนังสือ กระจกบานเล็ก ที่ส่องให้เห็นใบหน้า เด็กสาวอายุสิบสี่ปี ...ใช่...มันควรจะเป็นใบหน้าของฉัน... ถ้าไม่มีอะไรนอกเหนือจากที่ว่ามา
ใบหน้าแบบทรุดโทรมเกินกว่าควรจะเป็นอย่างฉัน ใช่ฉันแน่หรือ ให้ตาย...
ปากกาสำหรับเขียนอะไรซึ่งอยากจะเขียน อยากระบาย ในวันเวลาเวิ้งว้างเคว้งคว้างไร้จุดหมาย อย่างเช่นตอนนี้ ฉันรู้ว่าตัวเองเป็นคนแปลกแยก
มี และไม่มี...อะไรไม่เหมือนคนอื่น หรือจะบอกว่าคนอื่นไม่ค่อยเหมือนฉันก็ว่าได้ ประตูห้องไม่ถูกเปิดบ่อยนักจนบางครั้งฉันคร้านที่จะใส่ใจ เพราะฉันหลบหนีโลกภายนอก เข้ามาอยู่ในห้อง ให้ตาย....ฉันนึกถึง มดลูก ของ ผู้เป็นแม่ ถ้าท่านยังอยู่กับฉันนะ...
เวลากลางวันมองออกทางหน้าต่างเห็นทางเดิน สนามหญ้าและผู้คนขังตัวเองอยู่ในเสื้อผ้าหลากสีหลายแบบ ใช่ พวกเขาขังตัวเองอยู่ในเสื้อผ้า ถูกจองจำกับคำว่า แฟชั่น ค่านิยม....ฉันพยายามสะกดเสียงหัวเราะ อย่างน้อยฉันก็มีมรรยาทพอละน่า.... คืนวันผ่านไปมา ฉันเฝ้ามองอย่างเงียบ ๆ และใคร่ครวญพิจารณาถึงความสามารถของแต่ละคน ในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างร่างกายและวิญญาณให้เข้าด้วยกัน
แต่ฉันก็ไม่รู้อะไรมากไปกว่าสิ่งที่ฉันคิดว่า กลางคืนเป็นช่วงเวลาแห่งความน่ากลัว ความมืดคือความน่าสะพรึง
ฉันเคยได้ยินมาว่า ความมืดเป็นสิ่งมีชีวิต ซึ่งฉันเองก็เริ่มเชื่อเช่นนั้นเหมือนกัน ถึงจะฟังดูบ้าบอคอแตกก็ตาม เพียงแต่ชีวิตของความมืดเป็นสิ่งอยู่เหนือสามัญสำนึกของคนทั่วไป ฉันมีความคิดที่ว่าแก่นแท้ของจักรวาลเป็นอมตะคือความมืด แสงสว่างเป็นเพียงปรากฏการณ์จอมปลอม ในที่สุดทุกอย่างจะกลับไปสู่ความมืดสนิทกระทั่งไม่เหลือสิ่งใด
ความมืดคอยเฝ้ารอ...แฝงตัว อยู่ทุกหนทุกแห่ง แม้ว่าจะเป็นเวลากลางวัน อยู่ในห้องใต้ดิน อยู่ในตู้เสื้อผ้า อยู่ใต้เตียง อยู่ทุกซอกทุกมุมที่แสงสว่างคืบคลานไปไม่ถึง จ้องมองอย่างมุ่งร้าย รอทั้งโอกาสและเวลาที่เหมาะสม แต่ละวันมีผู้คนมากมายหลายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย บางคนอาจถูกฆาตกรรม แต่ไม่ว่าอย่างไรจะต้องเกี่ยวข้องกับ เจ้าความมืด ที่ว่าไม่มากก็น้อย
ความมืดเล่นงานผู้คนทั้งทางตรงและทางอ้อม มันสามารถทำให้จินตนาการก่อรูปก่อร่างขึ้นมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ ถ้ามีความกลัวมาเสริม
เวลากลางคืน ถึงเพดานห้องจะมีแสงไฟส่องสลัว แต่ใต้เตียง ในเงามืด ฉันรู้ว่ามันนอนรอคอยอยู่ เจ้าความมืดมันใจเย็นพอที่จะรอคอยโอกาสของมัน รอคอยความคิดของฉันอย่างเงียบ ๆ ความคิดแบบนี้ทำให้ฉันรู้สึกกลัว เมื่อรู้ว่าบางอย่างเฝ้ามองขึ้นมาจากใต้เตียง ผ่านแผ่นไม้ปูเตียง ผ่านที่นอนอันอ่อนนุ่ม บางครั้งฉันได้ยินเหมือนเสียงหายใจแผ่วเบาเป็นจังหวะ บางครั้งรู้สึกเหมือนเห็นรอยยิ้มแบบชั่วร้าย แน่นอนว่าความมืดไม่ได้มีจมูก ไม่มีปอด ไม่มีอวัยวะใดทั้งสิ้น แต่.....มันสามารถสร้างรูปลักษณ์ขึ้นมาได้ภายในจิตใจของเรา มันสามารถสร้างภาพ ผู้หญิงใบหน้าซีดเผือด ยิ่งกว่าซากศพ เส้นผมยาวสยายแผ่ออกมาจากใต้เตียงอย่างช้า ๆ แล้วค่อยใช้มือเหนี่ยวกายขึ้นมาจ้องมองจากขอบเตียง
ใช่...ฉันเคยตกใจตื่น และกรีดร้อง
แต่...ไม่ใช่ทุกคืน
เวลากลางวันไม่เท่าไรกับสิ่งที่มันสร้างขึ้นมา แต่กลางคืนเป็นช่วงที่พลังอำนาจของมันทวีมากขึ้นหลายเท่า โดยเฉพาะกับคนซึ่งอยู่คนเดียว...นอนคนเดียว..ในค่ำคืนอันเงียบเชียบวังเวงจนน่ากลัว ภูตผีปีศาจจะกระโดดออกมาจากจินตนาการและความคิดอย่างยากต่อการควบคุม เป็นฝีมือของความมืด
ฉันได้ยินเสียงเหมือนใครบางคนลากสิ่งของบางอย่างไปกับพื้นอย่างช้าๆ เสียงนั้นแผ่วเบาแต่เพราะความเงียบของยามค่ำคืนทำให้ได้ยินชัดเจน มันเป็นเสียงที่เคยได้ยินแทบทุกคืน
ใช่แล้ว.. ฉันเพิ่งนึกออกถึงสาเหตุในการสะดุ้งตื่นมากลางดึก ก็เพื่อได้ยินเจ้าเสียงประหลาดนี้ ถ้าคุณฟังเสียงมันบ่อย ๆ คุณจะรำคาญ ปนหวาดกลัว ...ซ้ำซากเหมือนฉัน คุณเองก็จะรู้ว่าไม่ยากที่จะจะจินตนาการ ถึง 'ที่มาที่ไป' ของเสียงได้ มันเดินอยู่ในความมืด ในจิตใจ เป็นเสียงฝีเท้าของผู้ชายอย่างแน่นอนฉันแน่ใจ และสิ่งที่เขาลากมาตามพื้นจะต้องเป็น ขวานตัดไม้ เล่มใหญ่ คมขวานขูดขีดพื้นเกิดรอยและเสียงน่าสยดสยอง ทิ้งรอยเลือดรอยลาก เป็นระยะตามทางเดิน
เขาคนนั้นเดินผ่านหน้าห้องของฉันแทบทุกคืน และทำให้ต้องตื่นขึ้นมารับรู้ถึงการมาของเขา
ฉันเคยได้ข่าวว่ามีหลายคนในเมืองถูกฆ่าตายกลางดึก เหยื่อมักเป็นคนกลางคืน เช่นคนจรจัด คนเมา ผู้หญิงหากิน ที่สภาพการใช้งานยาวนานจนต้องหลบเลี่ยงจากร้านอาหารมาทำมาหากินตามตรอกซอกซอย แต่พวกเธอไม่ผิด ไม่ควรจะมาถูกฆ่าตาย พวกเธอแค่หาเลี้ยงชีพ เท่านั้น...ฉันเข้าใจพวกเธอว่าไม่สมควรตาย...
ยังมี เหยื่อ ที่เป็นเด็ก หนีออกจากบ้านมาเที่ยว ฆาตกรไม่เลือกเหยื่อของมัน ขอให้มีโอกาสฆ่าเท่านั้น มันสับเหยื่อออกเป็นชิ้น ๆ ด้วยคมขวาน ตำรวจยังจับคนร้ายไม่ได้ แต่ฉันรู้ว่าเพราะอะไร ก็เจ้าความมืดนั่นล่ะอยู่เบื้องหลัง ความมืดยืมมือของใครบางคนเพื่อลงมือฆาตกรรม
แน่นอนว่าคุณเองก็คงอยากรู้ว่าทำไม แต่บางครั้งจิตใจของคน ทำความเลวร้ายมืดดำเกินกว่าจะรู้ว่าทำไม..หรือเพราะอะไรกันแน่
เสียงฝีเท้า เสียงลากคมขวาน ดังวนเวียนอยู่หน้าห้อง มันทำให้ฉันนอนลืมตาโพลงอยู่บนเตียง เหงื่อแตกพลั่กทั้งที่อากาศไม่ได้ร้อน ทำไมมันต้องมาวนเวียนอยู่แถวนี้ด้วย สองหูพยายามจับการเคลื่อนไหวนอกห้องด้วยหัวใจเต้นระทึก ฉันแน่ใจว่าประตูห้องล็อกเรียบร้อยแล้ว
แกรก..แกรก...
แกรก..แกรก...
เสียงใครบางคนกำลังพยายามจับลูกบิดประตูหมุนจากภายนอก ฉันสะดุ้งสุดตัว หัวใจเต้นแรง ลุกขึ้นมานั่งจ้องมองไปยังบานประตูอย่างหวาดกลัวทำอะไรไม่ถูก มีคนอยู่ข้างนอกจริง ๆ และใครคนนั้นกำลังพยายามเข้ามาในห้อง
ฉันล็อกประตูกับมือ ฉันแน่ใจ...
แต่ประตูกำลังเปิดออกอย่างช้า ๆ
สิ่งที่ยื่นเข้ามาก่อนมองเห็นอย่างชัดเจน มันเป็นขวานเล่มหนึ่ง และคมขวานเต็มไปด้วยเลือด เหมือนเพิ่งผ่านการสับหั่นผู้คนใหม่ ๆ ในความรู้สึกราวกับว่าขวานเล่มนั้นเป็นสิ่งเดียวในจักรวาล มันดูขยายใหญ่มากขึ้นทุกทีในประสาทการรับรู้อันเหลือน้อยนิด ฉันกำลังจะถูกฆ่าด้วยขวานเหมือนอีกหลายๆคนในเมืองนี้
ฉันกรีดร้องสุดเสียง.......
ใครบางคนเขย่าตัวฉันไปมา ฉันหลับหูหลับตากรีดร้องอยู่พักหนึ่งก่อนจะเริ่มได้สติ
“คุณแม่..” ฉันอุทานอย่างมึนงง เมื่อเห็นว่าคนที่เขย่าตัวฉันอยู่สายตาเต็มไปด้วยความห่วงใย คือคุณแม่นั่นเอง ไม่มี 'เงาขวาน' อันชั่วร้ายน่ากลัวอยู่ในห้อง
“ลูกคงฝันร้าย..” น้ำเสียงของคุณแม่เต็มไปด้วยความกังวล ฉันผวากอดท่านเอาไว้แน่น
“หนูฝันร้ายที่สุดเลยคุณแม่”
ฉันบอกได้แค่นี้จริงๆ ความตกใจกลัวทำให้ไม่สามารถเล่ารายละเอียดของความฝันน่ากลัวออกมาได้
“ไม่เป็นไร...มันเป็นแค่ความฝัน ไม่ต้องกลัว” ท่านลูบหัวฉันอย่างปลอบโยน พลางรับปากว่าคืนนี้จะนอนเป็นเพื่อนทำให้ฉันอุ่นใจขึ้น คุณแม่รักและดูแลฉันอย่างดีเสมอมา คือสิ่งดี ๆ ที่ได้จากครอบครัวของเรา
ตอนนี้คุณแม่นอนอยู่ข้าง ๆ ฉันเริ่มทบทวนความคิด ขวานเล่มนั้นคุ้นหน้าคุ้นตามากเหลือเกิน ในที่สุดฉันก็นึกออกว่าเคยเห็นมันที่ไหน มันเป็นขวานที่คุณพ่อใช้ผ่าฟืนเป็นประจำ ฉันเองยังเคยยกขวานด้ามนั้นเล่น และพยายามผ่าฟืนดูบ้างตามอย่างที่คุณพ่อทำ แต่ถึงจะยกขวานได้แต่การผ่าฟืนด้วยความแม่นยำแบบคุณพ่อทำ ไม่ใช่งานที่ฉันถนัด แต่ในที่สุดท่านก็ฝึกฉันจนชำนาญ
หรือคุณพ่อจะเป็นฆาตกร...
พอคิดแบบนี้ทำให้ใจสั่น หรือคุณพ่อจะหาเหยื่อไม่ได้ เลยมองมาที่ฉันแทน มันเป็นไปไม่ได้.!! ตั้งแต่จำความได้ คุณพ่อไม่เคยแม้แต่จะตีฉันเลยสักครั้ง ท่านรักฉันมากเพราะเป็นลูกสาวคนเดียว ไม่มีทางที่คุณพ่อจะฆ่าฉัน แค่คิดก็ละอายใจแล้ว
คนที่ท่านอยากฆ่าจริง ๆ คือคุณแม่ต่างหาก ให้ตายเถอะ ทำไมฉันเพิ่งนึกได้
ท่านเคยจับได้ว่าคุณแม่ แอบไปมีอะไร กับเด็กหนุ่มคนหนึ่งในย่านใกล้เคียง ข่าวซุบซิบของชาวบ้านทำให้คุณพ่อเครียด และกลายเป็นคนติดเหล้า การทะเลาะเบาะแว้งระหว่างคนทั้งสองมีมากขึ้นตามวันเวลา
และคืนวันหนึ่ง คุณแม่ก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
ตำรวจมาที่บ้านเราหลายครั้งแต่ดูเหมือนว่าพวกเขายังหาหลักฐานอะไรไม่ได้ พวกเราตกเป็นข่าวซุบซิบอีกตามเคย ฉันไม่มีวันเชื่อหรอก
ฉันไม่มีวันเชื่อว่าคุณพ่อจะไม่ฆ่าคุณแม่ ท่านเป็นคนละเอียดรอบคอบ ถ้าจะคิดปกปิดหรือซ่อนอะไรบางอย่าง อย่าคิดเลยว่าจะมีคนค้นเจอ.. และในคืนที่คุณแม่หายตัวไป ฉันเห็นเงาขวานเล่มนี้ ตอนที่คุณพ่อถือมันเข้าไปในห้องนอนของคุณแม่
ทันใดนั้นเองฉันก็เริ่มคิดได้ คุณแม่ตายไปแล้ว....!!
แต่ทำไมตอนนี้มานอนอยู่ข้าง ๆ ฉันได้ นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน ความหนาวเย็นจับจิตพุ่งวูบเข้ามาเกาะไขสันหลังจนตัวเย็นเฉียบ ความหวาดกลัวอันประมาณไม่ได้ ปะทุล้นขึ้นมาอย่างรวดเร็วยิ่งกว่าทำนบกั้นน้ำพัง คนนอนอยู่ข้าง ๆ ฉันเป็นคุณแม่จริง ๆ หรือ ฉันแน่ใจว่าท่านตายไปแล้ว นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน..
มันต้องเป็นฝันร้าย ฉันภาวนาว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง แต่ถ้าเป็นฝันร้ายทำไมไม่ยอมตื่นเสียที ได้โปรด ให้ฉันตื่นจากความฝันอันน่าสะพรึงกลัวนี้เสียดี ฉันพยายามกัดฟันสุดชีวิต ไม่ยอมให้เสียงสะอื้นหลุดออกมา นอนตัวแข็งทื่อ อยู่กับความรู้สึกที่ว่ากำลังนอนอยู่ข้าง ๆ กับคนตาย นอนเตียงเดียวกับคนที่ตายไปแล้ว
ใครไม่เจอจะไม่มีวันเข้าใจความรู้สึกหวาดกลัวแทบคลั่งแบบฉันได้เลย
ดูเหมือนว่าคุณแม่จะรู้สึกถึงความผิดปกติ ท่านพลิกตัวหันมาจ้องมองและถามด้วยเสียงห่วงใยว่า
“นอนไม่หลับเหรอลูก”
น้ำเสียงยังคงอบอุ่น เป็นเสียงของคุณแม่อย่างไม่ต้องสงสัย สายตายังคงเปี่ยมแววกังวล แต่ใบหน้าของท่านดูขาวซีด จนขอบตาดูเป็นสีเขียวคล้ำ ใบหน้าแบบนั้นเป็นใบหน้าของคนตายชัด ๆ
ไม่นะแม่....ฉันหลับตา กรีดร้องสุดเสียง
ใครบางคนเขย่าตัวของฉันไปมาและมีเสียงร้องเรียกชื่อดังข้างหูหลายครั้ง ฉันยังคงร้องเสียงดังอยู่นานกว่าจะเริ่มตั้งสติได้ และรู้ว่าคนที่กำลังเขย่าตัวเรียกฉันอยู่ คือคุณพ่อนั่นเอง
“ลูกฝันร้าย...ลูกกำลังฝันร้าย ตื่น ๆ”
เป็นคุณพ่อจริงๆ สีหน้าท่าทางของท่านกังวลห่วงใยอย่างเห็นได้ชัด
“หนูฝันเห็นแม่....”
ฉันรวบรวมสติ กัดฟันบอกเล่าให้คุณพ่อรับรู้ บอกได้แค่นั้นจริง ๆ สภาพจิตใจยังไม่พร้อม ในการอธิบายรายละเอียดของความฝันอันชัดเจนราวความจริง บอกตามตรงว่าจนทุกวันนี้ฉันยังไม่แน่ใจเลยว่าเรื่องทั้งหมดเป็นเพียงฝันร้าย ฉันไม่อยากจะเชื่อเลย
.....
.