เมื่อผมต้องกลับมาสานต่อกิจการเล็กๆของที่บ้านครับ...

สวัสดีครับพี่ๆน้องๆชาวพันทิปทุกท่าน...

ต้องบอกก่อนว่ากิจการของที่บ้านที่ผมกลับมาทำต่อนั้นไม่ใช่กิจการใหญ่โตอะไรมากมายขนาดนั้น
เป็นเพียง ร้านขายขนมไทย ที่เป็นขนมโบราณมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว นั้นคือ ขนมไข่หงส์หรือขนม(ไข่ ยิ้ม) ขนมอีตุย  ขนมวง  ยิ้มฟัพ
และก็มีอีกหลายอย่างแล้วแต่วันไหนแม่นึกอยากทำ  ก็จะทำออกมาขายเสริม 

ปัญหาไม่ใช่ตัวขนมหรือสินค้าอะไรที่ขายในร้าน ปกติมันขายดีอยู่แล้วจริงๆนะครับ
เพราะขายมาตั้งแต่รุ่นคุณยาย ต่อมาเป็นรุ่นป้ากับแม่ แล้วกำลังจะเริ่มที่รุ่นของผม รุ่นหลานแล้ว.... ผมเห็นกระบวนการทำขนมๆ แล้วก็ได้ช่วยทำงานมาตั้งแต่เริ่มจำความได้ " ยายเคยพูด... ให้เรียนรู้หัดไว้อีกหน่อยจะได้มีอาชีพติดตัวไว้ทำมาหากิน "  อย่าไปดูถูกมันนะอาชีพค้าขายเนี่ย มันก็เป็นอาชีพที่มั่นคงเลี้ยงลูกเลี้ยงหลานได้เหมือนกัน 
คือตอนนั้นในใจหัวเด็ดตีนขาดยังไง ก็ไม่เอาไม่ทำแน่นอนปล่อยหยุดที่รุ่นยายกับป้าเถอะ... 
แม่ผมทำงานอยู่กรุงเทพมา20กว่าปีแกยังไม่มีความคิดที่จะกลับมาอยู่บ้านที่ต่างจังหวัด แต่ยายป่วยช่วยเหลือตัวเองไม่ได้
ต้องกลับมาช่วยป้าดูแลยายด้วย ดูร้านขนมที่ยายขายด้วย  ถึงแม้ตอนนั้นจะเป็นกระท่อมเล็กๆ
แต่มันขายดีมากด้วยที่รสชาติเป็นเอกลักษณ์ลูกค้าบอกกินเจ้าไหนก็ไม่เหมือนขนมของยาย... บางคนขับรถมาจากตัวเมือง จากต่างหวัด ระดับตั้งแต่ข้าราชการต่างๆ หมอพยาบาล นักการเมือง ดารา ชาวบ้าน เด็กนักเรียน มีทุกกลุ่มครับ 

เข้าเรื่องกันดีกว่าครับออกทะเลไปไกลล่ะ   ทำไมผู้ใหญ่ไม่ค่อยเปิดรับความคิดใหม่ๆ  ของคนรุ่นใหม่ครับ  ถ้าหากเราอยากจะพัฒนาในสิ่งที่ทำอยู่ให้มันเป็นมาตรฐานขึ้น ชอบยึดติดกับอะไรที่มันเดิมๆ ไม่ใช่ว่ามันไม่ดีนะครับ บางอย่างก็ใช่มีเหตุอยู่แต่เรายังไม่ได้ลองทำหรือเริ่มหรือพอจะทำก็ขัดทำให้เราไม่กล้าหรือมั่นใจจะทำมัน  อย่างปัญหาของผมตอนนี้มันก็หลายอย่างนะครับ เช่น ทุกวันนี้ที่ร้านขายขนมทุกวันไม่มีวันหยุดเลย 365 วัน ไม่มีวันหยุดเลย เสนอเดือนหนึ่งพวกเราหยุดสัก 2 วันไหม ...ไม่หยุดเสียดายลูกค้าหยุดแล้วไม่รู้จะทำอะไรขายขนมดีกว่าได้ตังค์ด้วย เอ้า? ก็ชวนไปเที่ยวไหนก็ไม่ไปห่วงแต่ขายขนม  ขายดีทุกวันแต่กำไรแทบไม่เหลือ บอกปรับราขึ้นไหมเพราะเราใช้วัสถุดิบที่คุณภาพทั้งนั้นนะอีกอย่างของก็แพงขึ้นแก๊สจะห้าแล้วนะ เราแบกต้นไว้เยอะเหมือนกันนะแม่  ไม่เอาไม่ขึ้นสงสารลูกค้า ทำไมแม่ไม่สงสารพวกเราบ้าง?555  ปกติแกไม่ได้รายรับรายจ่าย จนเราทำว่ารายรับเท่านี้  รายจ่ายเท่านี้  ทุหักไปเหลือกำไรเท่านี้  ให้แกเห็นเป็นภาพชัดเจน  ได้ข้อสรุปที่ดีใจมากขึ้นก็ได้ ปกติ ขายลูกละ 2 บาท เพิ่มราคามา 50สต. คู่ ละ 5 บาทดี เพี้ยนเสียงสูงเพี้ยนเสียงสูงเพี้ยนหืมเพี้ยนหืมถึงจะสรุปว่าราคาขึ้นมาไม่มากแต่...ที่บ้านก็ยอมทำตามแล้ว  ยิ้มมม ///
ด้วยความที่เราอยากให้ร้านมันดูดีขึ้น มีการตลาดที่ดีขึ้น เสนออะไรก็ไม่เอาไม่ให้ทำ บอกสิ้นเปลือง
ขนมมันขายดีอยู่แล้ว ขอแค่รักษารสชาติให้เหมือนเดิมก็พอ อันนี้พอเข้าใจ แล้วทำตาม บางทีเราก็อยากปรับบ้างให้มันเข้าถึง
กลุ่มลูกค้าในตลาดที่มีโชเชียลเข้ามามีบทบาทและอิธิพลขึ้นมากในยุคสมัยตอนนี้  ผมเข้าใจนะอะไรเดิมมันก็ดีในรูปของมันหากเราพัฒนาต่อยอดละ 
มันอาจจะทำให้ขนมร้านผมเป็นที่รู้จักมากขึ้น มีลูกค้ามากขึ้น  ไม่ได้ขายหรือดังแค่ในจังหวัดที่อาศัยอยู่แค่นั้น  
ผมมีความคิดหนึ่งที่ไม่รู้ว่าพี่ๆน้องในพันทิปคิดยังไง?  แต่ที่บ้าผมบอกว่าจะสร้างความยุ่งยากขึ้นมาทำไม...  ผมเสนอไอเดียให้ที่บ้านซื้อเครื่องเจาะน้ำตาล และก็เครื่องวัดความดัน มาไว้ที่ร้าน แล้วให้จากพยาบาลวิชชาชีพ มาทำการเจาะเลือดวัดความดันให้ลูกค้า  เดือนละ1 ครั้ง
ลุกค้าของที่ร้านส่วนใหญ่จะมีตั้งแต่อายุเด็กเล็ก จน ผู้สุงอายุเลย แต่มากอยุ่ในวัย 30 - 60 ขึ้นไป ลูกค้าบางคนซื้อเรากินทุกวัน แต่ก็บ่นนะว่าเป็นหวาน ความดัน แต่มันอยากกินอ่ะ  พอจะไปหาหมอก็หายไป แล้วกลับมาซื้อใหม่ น่ารักนะลูกค้า คือใจเป็นห่วงลูกค้านะครับไม่ได้อยากจะขายอย่างเดียว ถ้ามันมีบริเช็คแบบนี้  เราก็ตั้งว่า ซื้อ ขนมในราคา 50 บาท ขึ้นไป ตรวจเช็คค่าน้ำตาลในเลือดฟรี วัดความดันให้ด้วย เรามีพยาบาลให้คำแนะด้วย
ลูกค้าจะได้นำก็ข้อมูลที่พยาบาลแนะนำไปปรับใช้กับชีวิตประจำวันได้  สรุปไม่ผ่านในครอบครัวไม่เข้าใจว่าผมทำไปทำไมเพื่ออะไร 
มันก็เหมือนคืนกำไรให้กับลูกด้วย สร้างจุดเด่นให้ร้านเราด้วยว่าเราห่วงลูกค้าเหมือนกันนะ เพิ่มยอดขายด้วยในวันนั้น จากปกติลูกค้าอาจซื้อขนม 20 บาท แต่วันนี้มีตรวจฟรี ถ้าซื้อ 50 บาท นี้ผมก้มีโอกาสขายได้มากขึ้น แต่อีกมุมหนึ่งอาจจะทำให้ลดลงก็ได้ ยังไงไม่เวิกก็สุดท้ายเค้าอยากกินจริงๆเขาก็ซื้อเหมือนเดิม ผมอธิบายจนเหนื่อย หลายอย่างที่ผมเสนอไปมันก็ไม่โอเคเลย  จนมีข้อสรุป ให้กูตายไปก่อนค่อยทำ เอ้าแล้วจะเรียกผมมาสืบทอดกิจการทำไม คุยกันเรื่องนี้ทีไรมันละเอียดอ่อนมาก หรือผมมีความคิดที่ไม่เหมือนชาวบ้านเกินไปควรยึดหลักเศษฐกิจพอเพียงตามในหลวงรัชกาล9 อย่างที่ครอบครัวผมพยามให้ผมคิดแบบนี้  ...แต่ผมอยากรวยขึ้นครับอยากมีเงินมากขึ้นอยากทำอะไรให้เป็นมาตรฐานอยากสร้างแบรนด์อยากต่อยอดให้มันไปไกล เลี้ยงตัวผมได้จริงๆด้วยที่มันไม่ต้องตื่นมาจัดของ ปั้นขนม  ทอด  ขาย ทำเสร็จ  เตรียมของ วนเวียนอยู่แบบนี้ 
....

สูตรขนมของที่บ้านเป็นอะไรที่หวงมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
คนมาขอซื้อสูตรบางคนก็ให้ราคายิ้มต่ำไป2000-3000 บาท ทีสูตรกาแฟ เบเกอรี่เรียนเป็นหมื่นๆ ยอมเสีย ยอมเรียนได้
แต่ขนมที่ร้านผมรับรองคุณได้เรียนรู้ไปมันจะอาชีพที่เลี้ยงตัวคุณไปจนวันตาย เอาจริงๆเงินหลักพันหากหักลบต้นทุนมันก็พอจะเหลือนะครับ 
ถ้าคุณไม่ได้เช่าที่อะไร อุปกรณ์ของใช้ก็หาซื้อได้เอง การตลาดคนเยอะๆคนสัญจรไปมาก็ขายได้  แล้วทำรสชาติ ไส้ ตัวแป้ง ไม่ผิดจากที่สอนไป 
ยังไงก็ขายได้ครับ 
ใช่ครับ  ผมมีความคิดจะขายสูตร 55555  ตอนนี้ไม่มีแล้วโดนด่าแทบจำทางกลับบ้านไม่ได้ 
อย่าทุบหม้อข้าวตัวเอง  ก็จริงนะครับ ผมเคยเอาสูตรขนมวิธีการทำทุกขั้นตอน แอบที่บ้านไปสอนรุ่นพี่
เพราะสงสารเขาอยากให้เขามีอาชีพติดตัว
สุดท้ายแล้วแกทำออกไม่ดี อาจจะเป็นเพราะแกไม่เรียนรู้วิธีการแก้ปัญหาของตัวขนมด้วย ไฟขนาดไหนเอาขนมลง แป้งต้องผสมขนาดนี้ อะไรยิบย่อยอยู่ครับ  พอทำออกมาตามใจฉันแล้วมาอ้างว่าเป็นสูตรเดียวกับขนมร้าน สุดท้ายความแตกผมโดนด่าแบบบชิปปป....เลย

ที่ร้านไม่จ้างลูกจ้างครับกลัวเขาจำสูตร5555555555 ผมเลยเหนื่อยและเหนื่อยมากกว่าปกติ 
แน่นอนเคยตั้งราคาว่าแสนหนึ่งถึงจะสอน พอมีคนยอมจ่าย  ไม่เอาไม่สอน 5555  ผมนิ งงมาก บ้านผมเค้าคิดอะไรอยู่กันแน่

ขอบคุณที่อ่านมาจนจบครับ  สุดท้ายผมคงทำได้แค่ค่อยๆปรับค่อยๆบอกทำอย่างละนิดให้พวกท่านเข้าใจ
ผมไม่ได้รั้นกับอะไรเดิมยังชอบอะไรเดิมๆเหมือนกัน  แต่ครอบครัวผมเขาไม่ได้เปิดใจขนาดนั้น  ผมไม่รู้จะยังไงเลยมาบ่นในพันทิปเนี่ยละครับ 

ขอบคุณมากครับ Facepalm
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่