ขอบคุณการ์ดและข้อมูล : JMC Johannessburg Meditation Center
การทำงานเผยแผ่ต้องมีทีมงานที่ดี แม้ในพระพุทธศาสนาก็เช่นกัน มาสดับการสร้างบารมีของพระมหาเถระทั้งสองรูปกันครับ
☀️พระสารีบุตร & พระมหาโมคคัลลานะ☀️
เส้นทางสู่พระอัครสาวกเบื้องขวาและเบื้องซ้าย
💐"ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงคบสารีบุตรและโมคคัลลานะเถิด สารีบุตรและโมคคัลลานะเป็นภิกษุฉลาด
เป็นผู้อนุเคราะห์เพื่อนพรหมจารีทั้งหลาย
สารีบุตรเปรียบเหมือนผู้ให้กำเนิด
โมคคัลลานะเปรียบเหมือนผู้บำรุงเลี้ยงทารกที่เกิดแล้ว
สารีบุตรย่อมแนะนำในโสดาปัตติผล
โมคคัลลานะย่อมแนะนำในประโยชน์ที่สูงสุด
สารีบุตรสามารถที่จะบอก แสดงบัญญัติ กำหนด เปิดเผย จำแนก ทำให้ง่ายซึ่งอริยสัจ 4 ได้โดยพิสดาร”💐
(สัจจวิภังคสูตร ว่าด้วยการจำแนกสัจจะ พระไตรปิฎกเล่มที่ 14 พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ 6)
☀️1. ย้อนหลังสู่จุดกำเนิด : กว่าจะเป็นพระสารีบุตรและพระมหาโมคคัลลานะ☀️
เมื่อนับถอยหลังไปหนึ่งอสงไขยกับอีกหนึ่งแสนกัปนับจากภัทรกัปนี้ พระสารีบุตรเถระและพระมหาโมคคัลลานะเถระได้บังเกิดเป็นกุฎุมพีผู้มีเงินตรา ได้แก่ สรทะ และ สิริวัฑฒะ ตามลำดับ ทั้งคู่เป็นสหายรักกัน อยู่ในตระกูลคฤหบดีมหาศาลมั่งคั่งด้วยทรัพย์สิน
ในชาตินั้น สรทะคิดจะออกบรรพชาแสวงหาโมกขธรรมจึงไปชวนสิริวัฑฒะบวชแต่สิริวัฑฒะปฏิเสธ จากนั้นสรทะจึงออกไปบรรพชาเป็นดาบส พร้อมด้วยบริวารเป็นจำนวนมาก ได้สำเร็จอภิญญา 5 และสมาบัติ 8 ประการ
ยุคสมัยนั้นนับเป็นบุญลาภอันประเสริฐที่สุด ที่พระพุทธเจ้าอโนมะทัสสีได้เสด็จอุบัติขึ้นในโลก พระองค์ทรงมีพระชนมายุยืน 1 แสนปี สูง 58 ศอก พระรัศมีแผ่ไป 12 โยชน์ มีภิกษุเป็นบริวารแสนรูป เสด็จจาริกแสดงธรรมโปรดเวไนยสัตว์ไปตามสถานที่ต่างๆ วันหนึ่งทรงทราบด้วยข่ายพระญาณว่า สรทะพร้อมด้วยบริวารมีอุปนิสัยสามารถบรรลุธรรมได้จึงตัดสินพระทัยเสด็จไปโปรด
สรทะมีจิตศรัทธาได้บูชาธรรมแด่พระอโนมทัสสีพุทธเจ้า และตั้งความปรารถนาไว้ในที่เฉพาะพระพักต์เพื่อจะเป็นอัครสาวกเบื้องขวา เมื่อได้รับพุทธพยากรณ์แล้ว พลันหวนนึกถึงสิริวัฑฒะผู้เป็นสหายขึ้นได้ จึงรีบไปที่บ้านพักของสิริวัฑฒะแต่ผู้เดียว และได้ชี้แจงให้ผู้เป็นสหายทราบและให้ปรารถนาตำแหน่งอัครสาวกเบื้องซ้ายในสมัยของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคตเช่นเดียวกับตน
สิริวัฑฒะได้ฟังดังนั้น จึงให้ สรทดาบสไปนิมนต์พระอโนมทัสสีพุทธเจ้ามาที่พักอาศัยและถวายมหาทานและเครื่องมหาสักการบูชามากมายตลอดเจ็ดวัน แล้วก็ประนมมือกราบทูลแทบพระบาทพระะอโนมทัสสีพุทธเจ้าว่า สรทดาบสผู้เป็นสหายของข้าพระองค์ปรารถนาเป็นอัครสาวกเบื้องขวาของพระบรมศาสดาพระองค์หนึ่ง ข้าพระองค์ขอได้เป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายของพระศาสดาพระองค์นั้นด้วยเถิด พระอโนมทัสสีพุทธเจ้าทรงพิจารณาดูอนาคตกาลแล้ว ทรงเห็นว่าความปรารถนาของสิริวัฑฒะจะสำเร็จได้แน่นอน จึงทรงพยากรณ์ว่า
เมื่อเวลาล่วงเลยไปหนึ่งอสงไขยกับอีกหนึ่งแสนกัป นับจากกัปนี้ไป เธอจะได้เป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายของพระสมณโคดมพุทธเจ้า
สิริวัฑฒะรับฟังพระพุทธพยากรณ์นั้นแล้ว มีใจร่าเริงยินดีเป็นที่สุด ราวกับว่าความปรารถนานั้นจะสำเร็จในวันพรุ่งนี้หรือมะรืนนี้ ฉะนั้น พระอโนมทัสสีพุทธเจ้าเสวยพระกระยาหารเสร็จแล้ว เสด็จกลับพระวิหาร พร้อมด้วยพระภิกษุทั้งหลาย ตั้งแต่วันนั้นมา สิริวัฑฒะได้สั่งสมบุญบารมีอยู่เป็นประจำตลอดชีวิต ครั้นเขาสิ้นชีวิตแล้วขึ้นไปเกิดในกามาวจรเทวโลก ในวาระแห่งจิตที่ 2 และกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกในชาติต่อมา และในสมัยพระพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบัน
ส่วนสรทะได้สั่งสมบารมีตลอดชีวิตในชาตินั้นและได้เจริญพรหมวิหาร 4 แล้วบังเกิดในพรหมโลก
สิริวัฑฒะเกิดมาเป็นโกลิตมาณพ ภายหลังคือพระมหาโมคคัลลานะเถระ
สรทะเกิดเป็นอุปติสสมาณพ ภายหลังคือพระสารีบุตรเถระ
.
☀️2.พระสารีบุตรเถระ
พระอัครสาวก : เบื้องขวา
เอตทัคคะ : ผู้มีปัญญามาก
💐บุพกรรมในอดีต
พระสารีบุตรเถระสร้างบุญบารมีควบคู่กับพระมหาโมคคัลลานะเถระมายาวนาน โดยในอดีตกาล ในที่สุดหนึ่งอสงไขยกับแสนกัป ในสมัยพระอโนมทัสสีพุทธเจ้า พระสารีบุตร บังเกิดในตระกูลพราหมณ์มหาศาล มีชื่อว่า สรทมาณพ พระมหาโมคคัลลานะ บังเกิดในตระกูลคหบดีมหาศาล โดยมีชื่อว่า สิริวัฑฒะ
คนทั้งสองเป็นสหายรักกัน เมื่อสรทมาณพ ปรารถนาเป็นอัครสาวก ปฐมอัครสาวก สิริวัฑฒนะ ก็ได้ตั้งความปรารถนา ตำแหน่งทุติยอัครสาวกบ้าง ทั้งสองกระทำกุศลตลอดชั่วอายุ สิริวัฑฒะ บังเกิดในกามาวจรเทวโลก ส่วนสรทมาณพ เจริญพรหมวิหาร 4 แล้วบังเกิดในพรหมโลก
💐ชีวประวัติ
มีนามเดิมว่า “อุปติสสะ” เกิดที่หมู่บ้านอุปติสสะ เมืองนาลันทา ในตระกูลพราหมณ์มหาศาล เมื่อช่วงเป็นหนุ่มน้อย บิดาได้หาเด็กหนุ่มวัยเดียวกันเป็นบริวารถึง 500 คน
วันหนึ่ง หลังจากได้ชมมหรสพดังเช่นทุกปีบนยอดเขาแล้ว กลับมีกิริยาอาการและความรู้สึกที่ไม่เหมือนเก่า คือถึงตอนหัวเราะสนุกสนาน ถึงตอนเศร้าโศกก็ไม่ได้แสดงอาการเศร้าโศก ถึงตอนจะให้รางวัลก็ไม่ให้รางวัล แต่มีความรู้สึกสังเวชสลดใจว่า “ไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจเลย ตัวละครที่กำลังแสดงอยู่นี้ อยู่ได้ไม่ถึง 100 ปี ก็คงตายกันหมด แล้วก็มีตัวละครคนใหม่มาแสดงแทนเราเอง มัวมาหลงดูอยู่ทำไม ไฉนจึงไม่แสวงหาโมกขธรรม (ความหลุดพ้น)” มีความเบื่อหน่ายในชีวิต และได้ออกบวชอยู่ในสำนักของสัญชัยปริพพาชก ก็ไม่ประสบผลสำเร็จตามที่ตนต้องการ เพราะว่าไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ได้
💐การบรรลุพระอรหันต์
เช้าวันหนึ่ง อุปติสสปริพพาชก ได้พบพระอัสสชิเถระ กำลังออกรับบิณฑบาตโปรดสัตว์ด้วยอาการอันสงบสำรวม ก็เกิดความเลื่อมใสว่า “นักบวชแบบนี้เราไม่เคยเห็นมาก่อน ท่านคงจะเป็นพระอรหันต์แน่” จึงเข้าไปถามว่า “ท่านมีอินทริย์ผ่องใส ผิวพรรณบริสุทธิ์ผุดผ่อง ท่านบวชเชิดชูใคร ใครเป็นศาสดาของท่าน ท่านชอบใจธรรมของใคร” จึงได้คำตอบจากพระอัสสชิอย่างถ่อมตนว่า “อาตมาเป็นพระบวชใหม่ เพิ่งมาสู่ธรรมวินัยของพระศาสนดาไม่นานนัก อาตมาจึงไม่สามารถพอที่จะบอกถึงคำสอนของพระศาสดาโดยพิสดารได้” จึงขอกล่าวธรรมโดยย่อว่า
“ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ พระตถาคตตรัสเหตุแห่งธรรมเหล่านั้นไว้และตรัสถึงความดับ(เหตุ)ไว้ด้วย พระสมณะผู้ยิ่งใหญ่มีปรกติตรัสอย่างนี้”
พอกล่าวจบ อุปติสสปริพพาชก ก็บรรลุโสดาปัตติผล แล้วจึงกลับไปบอกเพื่อนโกลิตปริพพาชก ก็บรรลุโสดาบันเช่นเดียวกัน
ทั้งสองจึงชักชวนกันไปพบกับอาจารย์สัญชัยปริพพาชก เพื่อจะไปเฝ้าพระพุทธองค์ แต่ก็ถูกอาจารย์ปฏิเสธอย่างแข็งขันถามว่า “ในโลกนี้คนโง่มากหรือคนฉลาดมาก” ทั้สองตอบว่า “คนโง่มีมาก คนฉลาดมีน้อย”
ถ้าอย่างนั้น “ขอให้คนฉลาดจงไปหาพระสมณโคดม ส่วนคนโง่จงมาหาเรา”
ทั้งสองจึงอำลาอาจารย์ สัญชัยพร้อมด้วยบริวาร 250 คนไปเฝ้าพระพุทธองค์ที่พระเวฬุวัน และขออุปสมบทด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทา จึงมีชื่อใหม่ว่า “สารีบุตร” ครั้นได้ฟังธรรมเทศนาชื่อว่า “เวทนาปริคคหสูตร” ซึ่งพระพุทธองค์แสดงแก่หลานชายชื่อ “ทีฆนขปริพพาชก” ที่ถ้ำสุกรขาตา เขาคิชฌกูฏ ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 สำเร็จเป็นพระอรหันต์ หลังจากบวชได้ 15 วัน และก็ได้รับการยกย่องจากพระพุทธองค์ว่า เป็นเลิศในทางมีปัญญามาก และเป็นอัครสาวกเบื้องขวา
💐การเผยแผ่
ท่านได้เป็นกำลังสำคัญในการประกาศพระศาสนาเป็นอย่างยิ่ง เช่น ได้เป็นพระอุปัชฌาย์บวชให้บรรดาสามเณร มีสามเณรราหุล สามเณรสุข และสามเณรสังกิจจะ เป็นต้น ต่อมาท่านยังได้ชักจูงให้น้องชาย คือ พระจุนทะ เป็นต้น พร้อมทั้งน้องสาวคือนางจาลา เป็นต้น หันมาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาและออกบวช และท่านยังเป็นต้นเหตุให้พระมหากัสสปะประชุมสงฆ์ทำสังคายนา เพราะแนวคิดของท่าน นอกจากนั้น ท่านยังเป็นยอดกตัญญูเป็นพระอุปัชฌาย์บวชให้ราธพราหมณ์ซึ่งเคยใส่บาตรแค่ทัพพีเดียว เป็นต้น
ก่อนจะปรินิพพานเมื่อวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ที่บ้านของท่านเอง ด้วยโรคปักขันทิกาพาธ(ถ่ายจนเป็นเลือด) หลังจากท่านได้เทศนาโปรดมารดาจนได้บรรลุโสดาบันแล้ว จึงเข้านิพพานในที่สุด
💐ข้อมูลน่าสนใจ
ท่านเปรียบเสมือนผู้ให้กำเนิดบุตร คือผู้บวชให้พระภิกษุ
ท่านได้รับนามใหม่อีกว่า “พระธรรมเสนาบดี”
ท่านเป็นพระอัครสาวกเบื้องขวา
ท่านเป็นผู้มีปฏิภาณไหวพริบในการแสดงธรรม
ท่านเป็นพระอุปัชฌาย์รูปแรกที่บวชด้วยญัตติจถุตถกรรมวาจา
.
☀️3.พระมหาโมคคัลลานเถระ
พระอัครสาวก : เบื้องซ้าย
เอตทัคคะ : ผู้มีฤทธิ์มาก
💐บุพกรรมในอดีต คล้ายกับของพระสารีบุตร
💐ชีวประวัติ
เดิมชื่อว่า “โกลิตะ” บ้านเดิมชื่อว่า “โกลิตคาม” อยู่ใกล้เมืองราชคฤห์ บิดาชื่อว่า “โกลิตะ” มารดาชื่อว่า “โมคคัลลี” ฉะนั้น ท่านจึงได้ชื่อว่า “โมคคัลลานะ” มีเพื่อนสนิทชื่อว่า “อุปติสสะ หรือ พระสารีบุตร” นั้นเอง
💐การบรรลุพระอรหันต์
ท่านได้บรรลุโสดาปัตติผล เพราะได้ฟังธรรมจากเพื่อนสนิทที่ชื่อว่า “อุปติสสะ” หลังจากที่ไปพบพระอัสสชิเถระและได้ฟังธรรมจากท่านมาก่อนหน้านี้ไม่นาน จึงได้ชักชวนกันพร้อมทั้งบริวาร คนละ 250 คน ไปขอบวชต่อพระพุทธองค์ ที่วัดเวฬุวัน หลังจากบวชแล้ว ได้ทูลลาพระพุทธองค์ไปบำเพ็ญสมณธรรมอยู่ ณ หมู่บ้านกัลลวาละ แคว้นมคธ ก็เกิดอาการง่วงเหงาหาว นอนอย่างมาก ไม่สามารถที่จะบำเพ็ญธรรมได้เลย ทราบถึงพระพุทธองค์ตลอด 7 วัน ในวันที่ 8 พระพุทธองค์จึงเสด็จไปให้อุบายแก่ง่วงให้ท่านถึง 8 ข้อด้วยกัน ท่านตั้งใจปฏิบัติตามทันที พระพุทธองค์ทรงทราบวาระจิต จึงตรัสสอนเรื่อง “ธาตุกัมมัฏฐาน” คือให้พิจารณาว่าร่างกายนี้เป็นเพียงธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ เท่านั้น ไม่ใช่ตัวเราของเรา ท่านก็ได้บรรลุพระอรหันต์ ภายในวันที่ 8 นั้นเอง
💐การเผยแผ่
ท่านเป็นผู้เลิศในด้านการแสดงฤทธิ์มาก และเป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายและก็ได้เป็นกำลังสำคัญในการประกาศศาสนาโดยเฉพาะ ได้เป็นอาจารย์ประกาศธรรมแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ท่านได้แสดงฤทธิ์ปราบบุคคลผู้เป็นมิจฉาทิฏฐิจำนวนมาก เช่น การแสดงฤทธิ์ปราบเศรษฐีมัจฉริยโกสิยะด้วยวิธีการต่างๆ จนเกิดความกลัว และยอมเฝ้าพระพุทธองค์ ถวายเป็นพุทธบูชาตลอดชีวิต
นอกจากนั้น ท่านยังได้ปราบนาคราชชื่อว่า “นันโทปนันทะ” และอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญมากก็คือท่านพร้อมกับพระสารีบุตรร่วมมือกันช่วยแก้ปัญหา ในคราวที่พระเทวทัตประกาศแยกตัวจากคณะสงฆ์จนสำเร็จด้วยดี
ในตอนปลายชีวิตของท่าน นิพพานเมื่อวันแรม 15 ค่ำ เดือน 12 ณ ถ้ำกาฬศิลา แคว้นมคธ โดยถูกพวกโจรซึ่งรับจ้างมาจากพวกเดียรถีย์ลอบสังหารถึง 3 ครั้ง จนร่างกายแหลกละเอียด หลังจากพระสารีบุตรนิพพานได้ 15 วันนั้นเอง
💐ข้อมูลน่าสนใจ
ท่านเปรียบเสมือนผู้เลี้ยงดูบุตรที่เกิดแล้วคือเป็นผู้เลี้ยงดูสั่งสอนภิกษุ
ท่านถูกโจรทำร้ายจนถึงแก่ชีวิต เพราะอดีตกรรมที่เคยทำร้ายพ่อแม่
พระศาสดาได้บรรจุอัฐิธาตุของท่านไว้ที่ซุ้มประตูวัดเวฬุวัน
ท่านเป็นผู้ควบคุมดูแลการก่อสร้างวัดบุพพารามของนางวิสาขา
ท่านพร้อมทั้งพระสารีบุตรช่วยระงับอธิกรณ์ที่เกิดขึ้นในสังฆมณฑล
ท่านเป็นอัครสาวกเบื้องซ้าย
🔰ที่มา :
- ภิกษุเอตตัคคะ, ประวัติของพระสารีบุตรและพระมหาโมคคัลลานะจากอรรถกถาธรรมบท 84000.org
- สัจจวิภังคสูตร ว่าด้วยการจำแนกสัจจะ พระไตรปิฎกเล่มที่ 14 พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ 6 [ฉบับมหาจุฬาฯ]
- พระสารีบุตรและพระมหาโมคคัลลานะบรรพชา พระไตรปิฎกเล่มที่ 4 โมคคัลลานสูตร, ทีฆนขสูตร [ฉบับหลวง]
เส้นทางสู่การเป็พระอัครสาวกเบื้องขวาและเบื้องซ้าย ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่เพราะความบังเอิญเลย
ขอบคุณการ์ดและข้อมูล : JMC Johannessburg Meditation Center
การทำงานเผยแผ่ต้องมีทีมงานที่ดี แม้ในพระพุทธศาสนาก็เช่นกัน มาสดับการสร้างบารมีของพระมหาเถระทั้งสองรูปกันครับ
☀️พระสารีบุตร & พระมหาโมคคัลลานะ☀️
เส้นทางสู่พระอัครสาวกเบื้องขวาและเบื้องซ้าย
💐"ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงคบสารีบุตรและโมคคัลลานะเถิด สารีบุตรและโมคคัลลานะเป็นภิกษุฉลาด
เป็นผู้อนุเคราะห์เพื่อนพรหมจารีทั้งหลาย
สารีบุตรเปรียบเหมือนผู้ให้กำเนิด
โมคคัลลานะเปรียบเหมือนผู้บำรุงเลี้ยงทารกที่เกิดแล้ว
สารีบุตรย่อมแนะนำในโสดาปัตติผล
โมคคัลลานะย่อมแนะนำในประโยชน์ที่สูงสุด
สารีบุตรสามารถที่จะบอก แสดงบัญญัติ กำหนด เปิดเผย จำแนก ทำให้ง่ายซึ่งอริยสัจ 4 ได้โดยพิสดาร”💐
(สัจจวิภังคสูตร ว่าด้วยการจำแนกสัจจะ พระไตรปิฎกเล่มที่ 14 พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ 6)
☀️1. ย้อนหลังสู่จุดกำเนิด : กว่าจะเป็นพระสารีบุตรและพระมหาโมคคัลลานะ☀️
เมื่อนับถอยหลังไปหนึ่งอสงไขยกับอีกหนึ่งแสนกัปนับจากภัทรกัปนี้ พระสารีบุตรเถระและพระมหาโมคคัลลานะเถระได้บังเกิดเป็นกุฎุมพีผู้มีเงินตรา ได้แก่ สรทะ และ สิริวัฑฒะ ตามลำดับ ทั้งคู่เป็นสหายรักกัน อยู่ในตระกูลคฤหบดีมหาศาลมั่งคั่งด้วยทรัพย์สิน
ในชาตินั้น สรทะคิดจะออกบรรพชาแสวงหาโมกขธรรมจึงไปชวนสิริวัฑฒะบวชแต่สิริวัฑฒะปฏิเสธ จากนั้นสรทะจึงออกไปบรรพชาเป็นดาบส พร้อมด้วยบริวารเป็นจำนวนมาก ได้สำเร็จอภิญญา 5 และสมาบัติ 8 ประการ
ยุคสมัยนั้นนับเป็นบุญลาภอันประเสริฐที่สุด ที่พระพุทธเจ้าอโนมะทัสสีได้เสด็จอุบัติขึ้นในโลก พระองค์ทรงมีพระชนมายุยืน 1 แสนปี สูง 58 ศอก พระรัศมีแผ่ไป 12 โยชน์ มีภิกษุเป็นบริวารแสนรูป เสด็จจาริกแสดงธรรมโปรดเวไนยสัตว์ไปตามสถานที่ต่างๆ วันหนึ่งทรงทราบด้วยข่ายพระญาณว่า สรทะพร้อมด้วยบริวารมีอุปนิสัยสามารถบรรลุธรรมได้จึงตัดสินพระทัยเสด็จไปโปรด
สรทะมีจิตศรัทธาได้บูชาธรรมแด่พระอโนมทัสสีพุทธเจ้า และตั้งความปรารถนาไว้ในที่เฉพาะพระพักต์เพื่อจะเป็นอัครสาวกเบื้องขวา เมื่อได้รับพุทธพยากรณ์แล้ว พลันหวนนึกถึงสิริวัฑฒะผู้เป็นสหายขึ้นได้ จึงรีบไปที่บ้านพักของสิริวัฑฒะแต่ผู้เดียว และได้ชี้แจงให้ผู้เป็นสหายทราบและให้ปรารถนาตำแหน่งอัครสาวกเบื้องซ้ายในสมัยของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคตเช่นเดียวกับตน
สิริวัฑฒะได้ฟังดังนั้น จึงให้ สรทดาบสไปนิมนต์พระอโนมทัสสีพุทธเจ้ามาที่พักอาศัยและถวายมหาทานและเครื่องมหาสักการบูชามากมายตลอดเจ็ดวัน แล้วก็ประนมมือกราบทูลแทบพระบาทพระะอโนมทัสสีพุทธเจ้าว่า สรทดาบสผู้เป็นสหายของข้าพระองค์ปรารถนาเป็นอัครสาวกเบื้องขวาของพระบรมศาสดาพระองค์หนึ่ง ข้าพระองค์ขอได้เป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายของพระศาสดาพระองค์นั้นด้วยเถิด พระอโนมทัสสีพุทธเจ้าทรงพิจารณาดูอนาคตกาลแล้ว ทรงเห็นว่าความปรารถนาของสิริวัฑฒะจะสำเร็จได้แน่นอน จึงทรงพยากรณ์ว่า
เมื่อเวลาล่วงเลยไปหนึ่งอสงไขยกับอีกหนึ่งแสนกัป นับจากกัปนี้ไป เธอจะได้เป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายของพระสมณโคดมพุทธเจ้า
สิริวัฑฒะรับฟังพระพุทธพยากรณ์นั้นแล้ว มีใจร่าเริงยินดีเป็นที่สุด ราวกับว่าความปรารถนานั้นจะสำเร็จในวันพรุ่งนี้หรือมะรืนนี้ ฉะนั้น พระอโนมทัสสีพุทธเจ้าเสวยพระกระยาหารเสร็จแล้ว เสด็จกลับพระวิหาร พร้อมด้วยพระภิกษุทั้งหลาย ตั้งแต่วันนั้นมา สิริวัฑฒะได้สั่งสมบุญบารมีอยู่เป็นประจำตลอดชีวิต ครั้นเขาสิ้นชีวิตแล้วขึ้นไปเกิดในกามาวจรเทวโลก ในวาระแห่งจิตที่ 2 และกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกในชาติต่อมา และในสมัยพระพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบัน
ส่วนสรทะได้สั่งสมบารมีตลอดชีวิตในชาตินั้นและได้เจริญพรหมวิหาร 4 แล้วบังเกิดในพรหมโลก
สิริวัฑฒะเกิดมาเป็นโกลิตมาณพ ภายหลังคือพระมหาโมคคัลลานะเถระ
สรทะเกิดเป็นอุปติสสมาณพ ภายหลังคือพระสารีบุตรเถระ
.
☀️2.พระสารีบุตรเถระ
พระอัครสาวก : เบื้องขวา
เอตทัคคะ : ผู้มีปัญญามาก
💐บุพกรรมในอดีต
พระสารีบุตรเถระสร้างบุญบารมีควบคู่กับพระมหาโมคคัลลานะเถระมายาวนาน โดยในอดีตกาล ในที่สุดหนึ่งอสงไขยกับแสนกัป ในสมัยพระอโนมทัสสีพุทธเจ้า พระสารีบุตร บังเกิดในตระกูลพราหมณ์มหาศาล มีชื่อว่า สรทมาณพ พระมหาโมคคัลลานะ บังเกิดในตระกูลคหบดีมหาศาล โดยมีชื่อว่า สิริวัฑฒะ
คนทั้งสองเป็นสหายรักกัน เมื่อสรทมาณพ ปรารถนาเป็นอัครสาวก ปฐมอัครสาวก สิริวัฑฒนะ ก็ได้ตั้งความปรารถนา ตำแหน่งทุติยอัครสาวกบ้าง ทั้งสองกระทำกุศลตลอดชั่วอายุ สิริวัฑฒะ บังเกิดในกามาวจรเทวโลก ส่วนสรทมาณพ เจริญพรหมวิหาร 4 แล้วบังเกิดในพรหมโลก
💐ชีวประวัติ
มีนามเดิมว่า “อุปติสสะ” เกิดที่หมู่บ้านอุปติสสะ เมืองนาลันทา ในตระกูลพราหมณ์มหาศาล เมื่อช่วงเป็นหนุ่มน้อย บิดาได้หาเด็กหนุ่มวัยเดียวกันเป็นบริวารถึง 500 คน
วันหนึ่ง หลังจากได้ชมมหรสพดังเช่นทุกปีบนยอดเขาแล้ว กลับมีกิริยาอาการและความรู้สึกที่ไม่เหมือนเก่า คือถึงตอนหัวเราะสนุกสนาน ถึงตอนเศร้าโศกก็ไม่ได้แสดงอาการเศร้าโศก ถึงตอนจะให้รางวัลก็ไม่ให้รางวัล แต่มีความรู้สึกสังเวชสลดใจว่า “ไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจเลย ตัวละครที่กำลังแสดงอยู่นี้ อยู่ได้ไม่ถึง 100 ปี ก็คงตายกันหมด แล้วก็มีตัวละครคนใหม่มาแสดงแทนเราเอง มัวมาหลงดูอยู่ทำไม ไฉนจึงไม่แสวงหาโมกขธรรม (ความหลุดพ้น)” มีความเบื่อหน่ายในชีวิต และได้ออกบวชอยู่ในสำนักของสัญชัยปริพพาชก ก็ไม่ประสบผลสำเร็จตามที่ตนต้องการ เพราะว่าไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ได้
💐การบรรลุพระอรหันต์
เช้าวันหนึ่ง อุปติสสปริพพาชก ได้พบพระอัสสชิเถระ กำลังออกรับบิณฑบาตโปรดสัตว์ด้วยอาการอันสงบสำรวม ก็เกิดความเลื่อมใสว่า “นักบวชแบบนี้เราไม่เคยเห็นมาก่อน ท่านคงจะเป็นพระอรหันต์แน่” จึงเข้าไปถามว่า “ท่านมีอินทริย์ผ่องใส ผิวพรรณบริสุทธิ์ผุดผ่อง ท่านบวชเชิดชูใคร ใครเป็นศาสดาของท่าน ท่านชอบใจธรรมของใคร” จึงได้คำตอบจากพระอัสสชิอย่างถ่อมตนว่า “อาตมาเป็นพระบวชใหม่ เพิ่งมาสู่ธรรมวินัยของพระศาสนดาไม่นานนัก อาตมาจึงไม่สามารถพอที่จะบอกถึงคำสอนของพระศาสดาโดยพิสดารได้” จึงขอกล่าวธรรมโดยย่อว่า
“ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ พระตถาคตตรัสเหตุแห่งธรรมเหล่านั้นไว้และตรัสถึงความดับ(เหตุ)ไว้ด้วย พระสมณะผู้ยิ่งใหญ่มีปรกติตรัสอย่างนี้”
พอกล่าวจบ อุปติสสปริพพาชก ก็บรรลุโสดาปัตติผล แล้วจึงกลับไปบอกเพื่อนโกลิตปริพพาชก ก็บรรลุโสดาบันเช่นเดียวกัน
ทั้งสองจึงชักชวนกันไปพบกับอาจารย์สัญชัยปริพพาชก เพื่อจะไปเฝ้าพระพุทธองค์ แต่ก็ถูกอาจารย์ปฏิเสธอย่างแข็งขันถามว่า “ในโลกนี้คนโง่มากหรือคนฉลาดมาก” ทั้สองตอบว่า “คนโง่มีมาก คนฉลาดมีน้อย”
ถ้าอย่างนั้น “ขอให้คนฉลาดจงไปหาพระสมณโคดม ส่วนคนโง่จงมาหาเรา”
ทั้งสองจึงอำลาอาจารย์ สัญชัยพร้อมด้วยบริวาร 250 คนไปเฝ้าพระพุทธองค์ที่พระเวฬุวัน และขออุปสมบทด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทา จึงมีชื่อใหม่ว่า “สารีบุตร” ครั้นได้ฟังธรรมเทศนาชื่อว่า “เวทนาปริคคหสูตร” ซึ่งพระพุทธองค์แสดงแก่หลานชายชื่อ “ทีฆนขปริพพาชก” ที่ถ้ำสุกรขาตา เขาคิชฌกูฏ ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 สำเร็จเป็นพระอรหันต์ หลังจากบวชได้ 15 วัน และก็ได้รับการยกย่องจากพระพุทธองค์ว่า เป็นเลิศในทางมีปัญญามาก และเป็นอัครสาวกเบื้องขวา
💐การเผยแผ่
ท่านได้เป็นกำลังสำคัญในการประกาศพระศาสนาเป็นอย่างยิ่ง เช่น ได้เป็นพระอุปัชฌาย์บวชให้บรรดาสามเณร มีสามเณรราหุล สามเณรสุข และสามเณรสังกิจจะ เป็นต้น ต่อมาท่านยังได้ชักจูงให้น้องชาย คือ พระจุนทะ เป็นต้น พร้อมทั้งน้องสาวคือนางจาลา เป็นต้น หันมาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาและออกบวช และท่านยังเป็นต้นเหตุให้พระมหากัสสปะประชุมสงฆ์ทำสังคายนา เพราะแนวคิดของท่าน นอกจากนั้น ท่านยังเป็นยอดกตัญญูเป็นพระอุปัชฌาย์บวชให้ราธพราหมณ์ซึ่งเคยใส่บาตรแค่ทัพพีเดียว เป็นต้น
ก่อนจะปรินิพพานเมื่อวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ที่บ้านของท่านเอง ด้วยโรคปักขันทิกาพาธ(ถ่ายจนเป็นเลือด) หลังจากท่านได้เทศนาโปรดมารดาจนได้บรรลุโสดาบันแล้ว จึงเข้านิพพานในที่สุด
💐ข้อมูลน่าสนใจ
ท่านเปรียบเสมือนผู้ให้กำเนิดบุตร คือผู้บวชให้พระภิกษุ
ท่านได้รับนามใหม่อีกว่า “พระธรรมเสนาบดี”
ท่านเป็นพระอัครสาวกเบื้องขวา
ท่านเป็นผู้มีปฏิภาณไหวพริบในการแสดงธรรม
ท่านเป็นพระอุปัชฌาย์รูปแรกที่บวชด้วยญัตติจถุตถกรรมวาจา
.
☀️3.พระมหาโมคคัลลานเถระ
พระอัครสาวก : เบื้องซ้าย
เอตทัคคะ : ผู้มีฤทธิ์มาก
💐บุพกรรมในอดีต คล้ายกับของพระสารีบุตร
💐ชีวประวัติ
เดิมชื่อว่า “โกลิตะ” บ้านเดิมชื่อว่า “โกลิตคาม” อยู่ใกล้เมืองราชคฤห์ บิดาชื่อว่า “โกลิตะ” มารดาชื่อว่า “โมคคัลลี” ฉะนั้น ท่านจึงได้ชื่อว่า “โมคคัลลานะ” มีเพื่อนสนิทชื่อว่า “อุปติสสะ หรือ พระสารีบุตร” นั้นเอง
💐การบรรลุพระอรหันต์
ท่านได้บรรลุโสดาปัตติผล เพราะได้ฟังธรรมจากเพื่อนสนิทที่ชื่อว่า “อุปติสสะ” หลังจากที่ไปพบพระอัสสชิเถระและได้ฟังธรรมจากท่านมาก่อนหน้านี้ไม่นาน จึงได้ชักชวนกันพร้อมทั้งบริวาร คนละ 250 คน ไปขอบวชต่อพระพุทธองค์ ที่วัดเวฬุวัน หลังจากบวชแล้ว ได้ทูลลาพระพุทธองค์ไปบำเพ็ญสมณธรรมอยู่ ณ หมู่บ้านกัลลวาละ แคว้นมคธ ก็เกิดอาการง่วงเหงาหาว นอนอย่างมาก ไม่สามารถที่จะบำเพ็ญธรรมได้เลย ทราบถึงพระพุทธองค์ตลอด 7 วัน ในวันที่ 8 พระพุทธองค์จึงเสด็จไปให้อุบายแก่ง่วงให้ท่านถึง 8 ข้อด้วยกัน ท่านตั้งใจปฏิบัติตามทันที พระพุทธองค์ทรงทราบวาระจิต จึงตรัสสอนเรื่อง “ธาตุกัมมัฏฐาน” คือให้พิจารณาว่าร่างกายนี้เป็นเพียงธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ เท่านั้น ไม่ใช่ตัวเราของเรา ท่านก็ได้บรรลุพระอรหันต์ ภายในวันที่ 8 นั้นเอง
💐การเผยแผ่
ท่านเป็นผู้เลิศในด้านการแสดงฤทธิ์มาก และเป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายและก็ได้เป็นกำลังสำคัญในการประกาศศาสนาโดยเฉพาะ ได้เป็นอาจารย์ประกาศธรรมแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ท่านได้แสดงฤทธิ์ปราบบุคคลผู้เป็นมิจฉาทิฏฐิจำนวนมาก เช่น การแสดงฤทธิ์ปราบเศรษฐีมัจฉริยโกสิยะด้วยวิธีการต่างๆ จนเกิดความกลัว และยอมเฝ้าพระพุทธองค์ ถวายเป็นพุทธบูชาตลอดชีวิต
นอกจากนั้น ท่านยังได้ปราบนาคราชชื่อว่า “นันโทปนันทะ” และอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญมากก็คือท่านพร้อมกับพระสารีบุตรร่วมมือกันช่วยแก้ปัญหา ในคราวที่พระเทวทัตประกาศแยกตัวจากคณะสงฆ์จนสำเร็จด้วยดี
ในตอนปลายชีวิตของท่าน นิพพานเมื่อวันแรม 15 ค่ำ เดือน 12 ณ ถ้ำกาฬศิลา แคว้นมคธ โดยถูกพวกโจรซึ่งรับจ้างมาจากพวกเดียรถีย์ลอบสังหารถึง 3 ครั้ง จนร่างกายแหลกละเอียด หลังจากพระสารีบุตรนิพพานได้ 15 วันนั้นเอง
💐ข้อมูลน่าสนใจ
ท่านเปรียบเสมือนผู้เลี้ยงดูบุตรที่เกิดแล้วคือเป็นผู้เลี้ยงดูสั่งสอนภิกษุ
ท่านถูกโจรทำร้ายจนถึงแก่ชีวิต เพราะอดีตกรรมที่เคยทำร้ายพ่อแม่
พระศาสดาได้บรรจุอัฐิธาตุของท่านไว้ที่ซุ้มประตูวัดเวฬุวัน
ท่านเป็นผู้ควบคุมดูแลการก่อสร้างวัดบุพพารามของนางวิสาขา
ท่านพร้อมทั้งพระสารีบุตรช่วยระงับอธิกรณ์ที่เกิดขึ้นในสังฆมณฑล
ท่านเป็นอัครสาวกเบื้องซ้าย
🔰ที่มา :
- ภิกษุเอตตัคคะ, ประวัติของพระสารีบุตรและพระมหาโมคคัลลานะจากอรรถกถาธรรมบท 84000.org
- สัจจวิภังคสูตร ว่าด้วยการจำแนกสัจจะ พระไตรปิฎกเล่มที่ 14 พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ 6 [ฉบับมหาจุฬาฯ]
- พระสารีบุตรและพระมหาโมคคัลลานะบรรพชา พระไตรปิฎกเล่มที่ 4 โมคคัลลานสูตร, ทีฆนขสูตร [ฉบับหลวง]