จากความเห็น 2, 2-1 ใน
https://ppantip.com/topic/41898208/comment2-1
ทำให้นึกขึ้นมาว่า อ๋อ หลายคนคงคิดว่ารถคันที่สองควรเป็น BEV
ผมคำนวณมาแล้วไม่เห็นอย่างนั้นเลยครับ BEV เหมาะเป็นรถที่ต้องขับเยอะ ๆ ถึงคุ้มส่วนต่างค่าน้ำมัน ดังจะระบุชัดเจนด้านล่าง
ถ้าซื้อคันเดียว หรือ คันที่สอง (เฉลี่ยสองคันขับ แต่ละคันระยะขับยิ่งน้อย) กลับเห็นว่า PHEV ตอบโจทย์ เผลอ ๆ คันที่สองซื้อ ICE ยังคุ้มกว่าซื้อ BEV
เพราะ BEV ซื้อมาแล้วขับน้อย เหมือนเสียเงินค่า 'แบตเตอรี' ไปโดยเปล่า ยิ่งถ้าเทียบกับ ICE ที่ใช้ก๊าซแล้ว ยิ่งไม่คุ้ม
อย่างกรณีอุดมคติ ของคนขับ PHEV คือ วันละ 100 กม. สัปดาห์ละหกวัน เที่ยวต่างจังหวัดทุกเดือนวิ่งไกลกว่า 100 กม.บ้างอะไรบ้าง เมื่อใช้รถไป 16 ปีโดยแปดปีแรกเปลี่ยนแบตฟรี ตอนปีที่ 16 จะประหยัดกว่ารถน้ำมันล้วน เป็นเงิน
2.5(เงินที่ประหยัดต่อ 1 กม.เมื่อเทียบกับรถน้ำมันล้วน)*100(กม.ต่อวัน)*6(วันต่อสัปดาห์)50(สัปดาห์ต่อปี)*16(ปี) = 1,200,000 บาท
เมื่อจ่ายค่าแบตปีที่ 16 ไป 400,000 บาท จะเสมือนเหลือเงิน 800,000 บาทมากกว่ารถน้ำมันล้วน ซึ่งเงินจำนวนนี้ครอบคลุมค่าบำรุงรักษาตลอด 16 ปีที่ผ่านมา หลังจากนั้นใช้รถอีก 8 ปีจน หมดสภาพรถปีที่ 24 เป็นต้น ครับ
หัวเทียนเสีย สายพานขาด คันที่ใช้อยู่ซึ่งสันดาปภายในขับหน้า มอเตอร์ขับหลัง แผ่นพับบอกว่า สามารถเลือกโหมดขับหลังด้วยมอเตอร์ไปศูนย์ได้ตามปกติ เสียค่าซ่อมหลักพันบาท ซึ่งนานกว่าจะเสีย
ส่วนของเหลวก็เปลี่ยนที่ BOSCH ปีไม่กี่พัน
บางคนมองว่านี่คือส่วนเกินของ PHEV ที่มากกว่า BEV ผมมองอีกแง่ครับ คือ ประกัน PHEV ผมได้ถูกกว่า BEV ประมาณหมื่นนีง-หลายหมื่น ที่อัตราเร่ง 0-100 ใกล้เคียงเดียวกัน เอาค่าส่วนต่างประกันไปเปลี่ยนถ่ายของเหลวต่อปี รวมหัวเทียนและสายพาน ยังเหลือเงินเก็บมากกว่า
รถ PHEV จะหมดสภาพรถก่อนตัวขับหลักหมดสภาพ กล่าวคือ ไม่ต้องคิดถึงการเสียเงินเปลี่ยนเกียร์ / เครื่อง / มอเตอร์ เลย สองระบบแบ่งกันขับ ระยะต่อระบบน้อย อย่างผมขับปีละ 1x,xxx กม. คลัชจับไประบบละประมาณ 7,000 กม. กว่าจะครบ 350,000 กม.ที่ต้องเปลี่ยนเกียร์ รถหมดสภาพก่อนไปเป็นสิบ ๆ ปีแล้ว; ส่วนอีกคันที่ใช้อยู่ซึ่งขับระบบเดียว ขับไปอีกซักพักก็อาจต้องมีเปลี่ยนชุดขับ ไม่งั้นคงขับไม่ดี
นอกจากนี้ PHEV ขับด้วยมอเตอร์น้อยกว่า BEV ด้วย โอกาสเปลี่ยนมอเตอร์ระยะยาวของ PHEV ยิ่งต่ำกว่าของ BEV
ส่วนค่าบำรุงรักษาระบบเลี้ยว เบรก ส่งต่อพลังงาน ช่วงล่าง ล้อ ยาง ปัดน้ำฝน หูช้าง กระจก ฟิล์ม (กรอบ)ประตู ไฟ เครื่องเสียง แอร์ กันชน ตัวถัง ฯลฯ BEV / ICE / PHEV จ่ายพอ ๆ กัน
ถึงไม่ได้เปลี่ยนแบตฟรี ก็สี่แสน คุ้มเมื่อเทียบระยะวิ่งเร็วกว่า BEV กล่าวคือ PHEV วิ่งไป 160,000 กม. แล้วเสียเงินค่าแบตเอง ก็เท่าทุนเมื่อเทียบรถน้ำมันล้วนที่ราคารถเท่ากันแล้ว ดังคำนวณข้างต้น ส่วน BEV ต้องวิ่ง 300,000 กม. ถึงคุ้มทุนดังกล่าว เพราะหนึ่งกม. ประหยัดกว่ารถน้ำมัน 3 บาท ครับ
ดังนั้น การวิ่งไม่ถึง 300,000 กม. แล้วเปลี่ยนแบต เท่ากับ ที่ผ่านมา ซื้อ ICE / PHEV กลับคุ้มกว่า ไม่ต้องพูดถึงคันที่ติดแก๊สเลย ICE ติดแก๊สค่าชุดเก็บพลังงาน+ค่าพลังงานถูกกว่า BEV
นอกจากนี้ ศูนย์รถ PHEV ที่ผมซื้อ ตอบมาแล้วว่า อนาคต สเปคแบตอาจดีขึ้น กล่าวคือ ขับด้วยไฟฟ้าได้เท่าไหร่ในวันนี้ พอเปลี่ยนแบตในอนาคต จะขับด้วยไฟฟ้าได้ไกลขึ้น / ชาร์จไวขึ้น ครับ
ใครรักโลก ผมแนะนำว่าซื้อ PHEV ที่ระยะแบตไกลหน่อย ก็ลองดูแต่ละคนนะครับ
ใครขับเยอะกว่าเดือนละ 3,000 กม. ไป BEV คุ้มครับ
ทำไม PHEV คุ้ม และเป็นรถที่ซื้อมาแล้วทิ้งอย่างแท้จริงยิ่งกว่า BEV แต่ทิ้งอย่างคุ้มค่า
ทำให้นึกขึ้นมาว่า อ๋อ หลายคนคงคิดว่ารถคันที่สองควรเป็น BEV
ผมคำนวณมาแล้วไม่เห็นอย่างนั้นเลยครับ BEV เหมาะเป็นรถที่ต้องขับเยอะ ๆ ถึงคุ้มส่วนต่างค่าน้ำมัน ดังจะระบุชัดเจนด้านล่าง
ถ้าซื้อคันเดียว หรือ คันที่สอง (เฉลี่ยสองคันขับ แต่ละคันระยะขับยิ่งน้อย) กลับเห็นว่า PHEV ตอบโจทย์ เผลอ ๆ คันที่สองซื้อ ICE ยังคุ้มกว่าซื้อ BEV
เพราะ BEV ซื้อมาแล้วขับน้อย เหมือนเสียเงินค่า 'แบตเตอรี' ไปโดยเปล่า ยิ่งถ้าเทียบกับ ICE ที่ใช้ก๊าซแล้ว ยิ่งไม่คุ้ม
อย่างกรณีอุดมคติ ของคนขับ PHEV คือ วันละ 100 กม. สัปดาห์ละหกวัน เที่ยวต่างจังหวัดทุกเดือนวิ่งไกลกว่า 100 กม.บ้างอะไรบ้าง เมื่อใช้รถไป 16 ปีโดยแปดปีแรกเปลี่ยนแบตฟรี ตอนปีที่ 16 จะประหยัดกว่ารถน้ำมันล้วน เป็นเงิน
2.5(เงินที่ประหยัดต่อ 1 กม.เมื่อเทียบกับรถน้ำมันล้วน)*100(กม.ต่อวัน)*6(วันต่อสัปดาห์)50(สัปดาห์ต่อปี)*16(ปี) = 1,200,000 บาท
เมื่อจ่ายค่าแบตปีที่ 16 ไป 400,000 บาท จะเสมือนเหลือเงิน 800,000 บาทมากกว่ารถน้ำมันล้วน ซึ่งเงินจำนวนนี้ครอบคลุมค่าบำรุงรักษาตลอด 16 ปีที่ผ่านมา หลังจากนั้นใช้รถอีก 8 ปีจน หมดสภาพรถปีที่ 24 เป็นต้น ครับ
หัวเทียนเสีย สายพานขาด คันที่ใช้อยู่ซึ่งสันดาปภายในขับหน้า มอเตอร์ขับหลัง แผ่นพับบอกว่า สามารถเลือกโหมดขับหลังด้วยมอเตอร์ไปศูนย์ได้ตามปกติ เสียค่าซ่อมหลักพันบาท ซึ่งนานกว่าจะเสีย
ส่วนของเหลวก็เปลี่ยนที่ BOSCH ปีไม่กี่พัน
บางคนมองว่านี่คือส่วนเกินของ PHEV ที่มากกว่า BEV ผมมองอีกแง่ครับ คือ ประกัน PHEV ผมได้ถูกกว่า BEV ประมาณหมื่นนีง-หลายหมื่น ที่อัตราเร่ง 0-100 ใกล้เคียงเดียวกัน เอาค่าส่วนต่างประกันไปเปลี่ยนถ่ายของเหลวต่อปี รวมหัวเทียนและสายพาน ยังเหลือเงินเก็บมากกว่า
รถ PHEV จะหมดสภาพรถก่อนตัวขับหลักหมดสภาพ กล่าวคือ ไม่ต้องคิดถึงการเสียเงินเปลี่ยนเกียร์ / เครื่อง / มอเตอร์ เลย สองระบบแบ่งกันขับ ระยะต่อระบบน้อย อย่างผมขับปีละ 1x,xxx กม. คลัชจับไประบบละประมาณ 7,000 กม. กว่าจะครบ 350,000 กม.ที่ต้องเปลี่ยนเกียร์ รถหมดสภาพก่อนไปเป็นสิบ ๆ ปีแล้ว; ส่วนอีกคันที่ใช้อยู่ซึ่งขับระบบเดียว ขับไปอีกซักพักก็อาจต้องมีเปลี่ยนชุดขับ ไม่งั้นคงขับไม่ดี
นอกจากนี้ PHEV ขับด้วยมอเตอร์น้อยกว่า BEV ด้วย โอกาสเปลี่ยนมอเตอร์ระยะยาวของ PHEV ยิ่งต่ำกว่าของ BEV
ส่วนค่าบำรุงรักษาระบบเลี้ยว เบรก ส่งต่อพลังงาน ช่วงล่าง ล้อ ยาง ปัดน้ำฝน หูช้าง กระจก ฟิล์ม (กรอบ)ประตู ไฟ เครื่องเสียง แอร์ กันชน ตัวถัง ฯลฯ BEV / ICE / PHEV จ่ายพอ ๆ กัน
ถึงไม่ได้เปลี่ยนแบตฟรี ก็สี่แสน คุ้มเมื่อเทียบระยะวิ่งเร็วกว่า BEV กล่าวคือ PHEV วิ่งไป 160,000 กม. แล้วเสียเงินค่าแบตเอง ก็เท่าทุนเมื่อเทียบรถน้ำมันล้วนที่ราคารถเท่ากันแล้ว ดังคำนวณข้างต้น ส่วน BEV ต้องวิ่ง 300,000 กม. ถึงคุ้มทุนดังกล่าว เพราะหนึ่งกม. ประหยัดกว่ารถน้ำมัน 3 บาท ครับ
ดังนั้น การวิ่งไม่ถึง 300,000 กม. แล้วเปลี่ยนแบต เท่ากับ ที่ผ่านมา ซื้อ ICE / PHEV กลับคุ้มกว่า ไม่ต้องพูดถึงคันที่ติดแก๊สเลย ICE ติดแก๊สค่าชุดเก็บพลังงาน+ค่าพลังงานถูกกว่า BEV
นอกจากนี้ ศูนย์รถ PHEV ที่ผมซื้อ ตอบมาแล้วว่า อนาคต สเปคแบตอาจดีขึ้น กล่าวคือ ขับด้วยไฟฟ้าได้เท่าไหร่ในวันนี้ พอเปลี่ยนแบตในอนาคต จะขับด้วยไฟฟ้าได้ไกลขึ้น / ชาร์จไวขึ้น ครับ
ใครรักโลก ผมแนะนำว่าซื้อ PHEV ที่ระยะแบตไกลหน่อย ก็ลองดูแต่ละคนนะครับ
ใครขับเยอะกว่าเดือนละ 3,000 กม. ไป BEV คุ้มครับ