JJNY : ย้ำไม่ให้ผ่าน พ.ร.ก.อุ้มหาย│"สุทิน-อดิศร"ควง"ตระกูลฉายแสง"ปราศรัย│ทูตรัศม์ชี้การทูตไทยถึงยุคตกต่ำ│สหรัฐจับมือจี7

ฝ่ายค้าน ย้ำไม่ให้ผ่าน พ.ร.ก.อุ้มหาย ดักทางรัฐบาล หากผ่าน ยื่นศาลรธน.ทันที
https://www.khaosod.co.th/politics/news_7529216
 
 
ฝ่ายค้าน พร้อมถก พ.ร.ก.อุ้มหาย เย้ย รัฐบาลมาให้ครบองค์ประชุม ชลน่าน ย้ำจุดยืนไม่ให้ผ่าน ชี้หากซีกรัฐบาลมีท่าทีเห็นชอบ จ่อจะยื่นศาล รธน.ดักทางทันที
 
เมื่อวันที่ 24 ก.พ.2566 ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงพ.ร.ก.แก้ไขเพิ่มเติมพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย หรือพ.ร.ก.อุ้มหายว่า คาดว่าประธานสภาผู้แทนราษฎร จะนัดประชุมสภา เพื่อพิจารณาอนุมัติเรื่องดังกล่าวในวันที่ 28 ก.พ. ที่ครม.ประกาศและบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 20 ก.พ. ยืนยันว่าฝ่ายค้านพร้อมร่วมเป็นองค์ประชุม และรัฐบาลไม่ต้องกังวลว่าฝ่ายค้านจะทำองค์ประชุมล่ม แต่ต้องถามกลับไปยังรัฐบาลเรื่องขององค์ประชุม เพราะเสียงข้างมากอยู่ที่ฝ่ายรัฐบาล
 
นพ.ชลน่าน กล่าวต่อว่า ส่วนการลงมตินั้น พรรคร่วมฝ่ายค้านย้ำจุดยืนชัดเจน คือไม่เห็นด้วยกับพ.ร.ก.ดังกล่าว เพราะการออก พ.ร.ก.นี้ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 172 ที่จะต้องเข้าเงื่อนไข 4 เรื่องคือ ความปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยของสาธารณะ ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ และเรื่องป้องกันภัยพิบัติ แต่รัฐบาลอ้างถึงความไม่พร้อมเรื่องการใช้อุปกรณ์ ทั้งที่ในชั้นกรรมาธิการ (กมธ.) หน่วยงานที่ต้องปฏิบัติยืนยันว่ามีความพร้อม และได้ทิ้งระยะเวลาการบังคับใช้กฎหมาย 120 วัน จึงเห็นได้ว่าพฤติกรรมของรัฐบาลชุดนี้ จงใจใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ
 
ดังนั้น ฝ่ายค้านยืนยันว่าเรามา แต่จะผ่านหนรือไม่ผ่าน แต่ละฝ่ายต้องไปว่ากันในสภา ซึ่งเราจะไม่อนุมัติให้ผ่าน ทั้งนี้ กระบวนการตรากฎหมายต้องส่งให้วุฒิสภาพิจารณา ซึ่งหมดสมัยประชุมแล้ว แต่รัฐธรรมนูญบังคับให้รัฐบาลต้องเปิดวิสามัญเพื่อให้วุฒิสภาพิจารณา ถ้าไม่เปิด ก็สุ่มเสี่ยงต่อการฝ่าฝืนบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มีคนไปร้องแน่ และถ้าส.ว.พิจารณาแล้วเห็นชอบ มีประเด็นแน่นอน เพราะหากสภาไม่เห็นชอบ แต่วุฒิสภาเห็นชอบ ต้องนำเรื่องกลับมาให้สภายืนยัน ถ้าเรายืนยันด้วยคะแนน 2 ใน 3 ว่าไม่เห็นชอบ พ.ร.ก.ฉบับนี้ตก การบังคับใช้กฎหมายในวันที่เราพิจารณาก็ต้องยุติ
 
หาก ส.ส.ซีกรัฐบาลมีทีท่าจะผ่านความเห็นชอบร่าง พ.ร.ก.ฉบับนี้ พรรคร่วมฝ่ายค้านจะรวมรายชื่อ 85 คน ยื่นต่อประธานสภา ให้ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยทันทีหากรัฐบาลผ่านกฎหมายฉบับนี้ หากศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องแล้ววินิจฉัยว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย การใดที่ทำมาตั้งแต่ต้นถือว่าใช้ไม่ได้หมด


 
"สุทิน-อดิศร" ควง "ตระกูลฉายแสง" ปราศรัยเวทีฉะเชิงเทรา ชี้ความล้มเหลวรัฐบาลประยุทธ์ 8 ปีมีแต่หนี้ อ้อนขอคะแนนเลือก "เพื่อไทย" ทั้ง 2 ใบ
https://siamrath.co.th/n/426046

เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 66 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พรรคเพื่อไทยนำโดย นายสุทิน คลังแสง รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วย นายจาตุรนต์ ฉายแสง คณะกรรมการยุทธศาสตร์และทิศทางการเมือง พรรคเพื่อไทย  นายวุฒิพงศ์ ฉายแสง  อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี  และผู้ประสงค์ลงสมัครรับการเลือกตั้ง ส.สจังหวัดฉะเชิงเทรา และ นายอดิศร เพียงเกษ โฆษกผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ขึ้นเวทีปราศรัยกับพี่น้องชาวบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทราโดยมีพี่น้องมารับฟังอย่างอบอุ่น 
 
นายจาตุรนต์  กล่าวว่าพรรคเพื่อไทยเป็นพรรคที่มีความผูกพันและยึดโยงกับพี่น้องมายาวนานเพราะนโยบายพรรคเพื่อไทยทำให้คนทั่วประเทศเห็นว่าประชาธิปไตยกินได้เป็นอย่างไร เรามีนโยบายกองทุนหมู่บ้าน นโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรคและอีกทุกนโยบายที่เริ่มทำทันที่ตั้งแต่ปีแรกและสำเร็จทั้งหมดใน 4 ปี นโยบายของเพื่อไทยเป็นประโยชน์กับทุกคน ไม่ใช่แค่คนอีสาน แต่สำหรับคนทั่วประเทศ โดยเฉพาะกับพี่น้องที่ลำบากยากจน คนรากหญ้า ไม่ใช่เพื่อนายทุน วันนี้ถ้าเราอยากให้นโยบายพรรคเพื่อไทยกลับมาสร้างอนาคต สร้างความกินดีอยู่ดี คนฉะเชิงเทราอยากลืมตาอ้าปากด้วยนโยบายประชาธิปไตยกินได้ต้องเลือกพรรคเพื่อไทย กาทั้งคนทั้งพรรค เพื่อให้ฉะเชิงเทราแลนด์สไลด์ร่วมไปกับพี่น้องเราทั้งแผ่นดิน 
 
นายสุทิน  กล่าวว่า สิ่งที่น่ากังวลวันนี้คือคำประกาศของพล.อ.ประยุทธ์ ว่า “ทำแล้ว ทำอยู่ ทำต่อ” ทำให้เห็นว่าพล.อ.ประยุทธ์ มั่นใจในการทำงานของตนที่ผ่านมาว่าดีเพียงพอ และหลายโครงการเป็นแค่การกู้เงินมาแจกให้ประชาชน ไม่ได้เป็นการบริหารงานสร้างรายได้ ถ้าพลเอกประยุทธ์เป็นต่อ จะมีแต่นโยบายที่ผิดพลาดและสร้างหนี้สินให้ประชาชนมากขึ้น  

พรรคเพื่อไทย เราคิดแต่จะสร้างรายได้เข้าประเทศ สร้างเงินให้พี่น้อง หาค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาทต่อวัน รายได้ปริญญาตรีเริ่มต้น 25,000 บาท รวมถึงเบี้ยผู้สูงอายุ และจะหาทางลดรายจ่าย ปลดหนี้ให้พี่น้อง เราไม่ได้คิดแต่เอาบัตรมาแจกพี่น้องกินไปวันวัน กู้มาแจกเรื่อยๆ แบบนี้เราไม่ทำ” รองหัวหน้าพรรค กล่าว
 
นายวุฒิพงศ์  กล่าวว่าด้วยความที่คุณพ่อเป็นอดีต ส.ส. พ่อปลูกฝังผมเสมอมาว่า ผู้แทนที่ดีต้องอุทิศตนให้ประชาชน เวลามีคนเดือดร้อนมาขอความช่วยเหลือ เราจึงพยายามหาทางช่วยเหลือเขาในทุกวิถีทาง หลายครั้งหลายเรื่องที่บางครั้งเราอาจช่วยเขาไม่ได้เราก็พลอยไม่สบายใจ เพราะบางเรื่องเป็นเรื่องนโยบาย เรื่องระดับประเทศ เราต้องใช้พรรคการเมือง ใช้รัฐบาลและสภาผู้แทนราษฎรแก้ปัญหาระดับโครงสร้าง  
 
การเลือกตั้งที่จะถึงนี้ จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งที่จะต้องเลือกให้ฝ่ายประชาธิปไตยชนะให้ขาด ต้องไม่ทำให้คะแนนเสียงทุกเสียงตกน้ำ จากการเลือกแบบเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic voting) ตนเชื่อว่าพรรคเพื่อไทย ทำได้ทุกนโยบาย ทำสำเร็จ และเชื่อมั่นว่าจะได้รับความไว้วางใจจากพี่น้องประชาชนอีกครั้ง” นายวุฒิพงศ์ กล่าว
 

 
ทูตรัศม์ ชี้ 1 ปีสงครามยูเครน ภาพสะท้อน การทูตไทย ถึงยุคตกต่ำ ไร้ชั้นเชิง
https://www.matichon.co.th/politics/news_3842326

ทูตรัศม์ ชี้ 1 ปีสงครามยูเครน ภาพสะท้อน การทูตไทย ถึงยุคตกต่ำ ไร้ชั้นเชิง
 
เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ นายรัศม์ ชาลีจันทร์ อดีตเอกอัครราชทูต และเจ้าของเพจ “ทูตนอกแถว The Alternative Ambassador Returns” ได้โพสต์ข้อเขียน “ครบรอบหนึ่งปีสงครามยูเครน กับการตอกย้ำยุคตกต่ำของการต่างประเทศไทย” ผ่านเฟซบุ๊ก โดยมีเนื้อหาดังนี้

วันนี้ครบรอบหนึ่งปีสงครามยูเครน ที่นับเป็นสงครามที่หักปากกาเซียนทั้งทางการทูตและการทหาร ที่ในตอนแรกหลายฝ่ายไม่คิดว่ารัสเซียจะบุกจริงๆ และคาดกันว่า ถ้าบุกจริงยูเครนคงจะพ่ายแพ้ภายในไม่กี่ชั่วโมงหรือไม่กี่วัน แต่กลายมาเป็นสงครามที่ลากยาวจนเป็นปี และมีส่วนเปลี่ยนแปลงการจัดระเบียบโลกที่ส่งผลกระทบต่อทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมืองและความมั่นคง ที่ไทยเองก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
 
ในขณะที่สงครามนี้ถือเป็นวิกฤตของโลก ในช่วงปีที่ผ่านมาการดำเนินนโยบายต่างประเทศของไทยต่อเรื่องนี้ กลับดูเหมือนไม่อยู่กับร่องกับรอย วันหนึ่งพูดอย่างอีกวันทำอีกอย่าง ซึ่งสร้างผลเสียหายให้กับประเทศ ไม่เฉพาะแค่ต่อเกียรติภูมิและความน่าเชื่อถือเท่านั้น แต่ยังส่งผลถึงความมั่นคง รวมทั้งอาจมีผลต่อทางเศรษฐกิจด้วย
 
แม้ไทยจะเคยออกเสียงสนับสนุนมติสหประชาชาติในการคัดค้านการรุกรานดังกล่าวในช่วงแรก แต่การไปเยือนรัสเซียแบบลับๆ ของรัฐมนตรีต่างประเทศไทยเมื่อเดือนกันยายน และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่ไทยงดออกเสียงมติการประณามการผนวกดินแดนยูเครนโดยรัสเซียของสหประชาชาติในเดือนตุลาคมของปีที่แล้ว ทำให้ไทยถูกตั้งคำถามในสายตาประชาคมโลกว่าเราจะอยู่ข้างไหนแน่
 
ถ้าหากมองกันในแง่ผลประโยชน์ของชาติเป็นที่ตั้ง ในปัจจุบันนั้นรัสเซียแทบไม่สามารถตอบสนองอะไรไทยได้เลย ไม่ว่าจะด้านเศรษฐกิจ ที่รัสเซียเองมีขนาดเล็กกว่าเกาหลีใต้แถมถูกบอยคอต ในด้านความมั่นคงและการทหาร ทุกวันนี้รัสเซียยังแทบเอาตัวไม่รอดจากสงครามนี้ จึงไม่มีศักยภาพที่จะมาช่วยใครด้านนี้อีก
 
ส่วนในทางการเมืองระหว่างประเทศยิ่งแล้วใหญ่กลายเป็นหมาหัวเน่าที่โลกรังเกียจ ดังนั้นการพาตัวเองไปใกล้ชิดกับรัสเซีย ไทยจึงไม่ได้อะไร มีแต่จะเสีย
ก็ต้องถามคนกำหนดนโยบายว่าคิดอะไร หรือคิดไม่ได้ หรือแค่เพราะเขาเป็นพวกเผด็จการ อำนาจนิยมเหมือนรัฐบาลตนเอง เลยมีสัญญาใจกัน?
ส่วนประเทศชาติเสียหายเท่าไหร่ ช่างมัน?
 
บางคนชอบพูดเรื่องความเป็นกลาง ก็ต้องบอกว่าอันที่จริงไทยแทบไม่เคยเป็นกลาง ไม่ว่าสงครามโลกครั้งที่หนึ่งหรือสอง รวมทั้งสงครามเย็นด้วย ซึ่งไทยเลือกข้างชัดเจน เพื่อความอยู่รอดของเรา
 
ความเป็นกลางนั้นอาจดีในทางทฤษฎี แต่ในทางปฏิบัติมันอาจใช้ไม่ได้เสมอไป เช่น นอร์เวย์ก็เคยเป็นกลางตอนสงครามโลกครั้งสองแล้วก็ถูกนาซีเยอรมันบุกอยู่ดี จนปัจจุบันเขาเป็นสมาชิกแข็งขันของนาโตไปนานแล้ว
 
เช่นเดียวกับสวีเดนและฟินแลนด์ที่เคยเป็นกลาง บัดนี้ก็ตัดสินใจขอเข้าร่วมนาโต
เพราะเราต้องเข้าใจว่าความเป็นกลางนั้นมันใช้ได้เฉพาะกับคนที่เคารพกติกา กฎหมายระหว่างประเทศ แต่ถ้ากับคนที่ไม่เคารพสิ่งนี้ เช่นที่รัสเซียกำลังทำอยู่ ความเป็นกลางก็ช่วยปกป้องอะไรไม่ได้
(คนที่พร่ำแต่เป็นกลางๆ จึงควรหาประวัติศาสตร์ทั้งไทยและโลกอ่านมากกว่านี้)
 
และต้องเข้าใจว่า การเลือกเป็นกลางระหว่างผู้รุกรานกับผู้ถูกกระทำ นั่นคือการเลือกเข้าข้างความอยุติธรรม และอยู่ฝ่ายผู้รุกราน ซึ่งไม่ได้เป็นกลางจริงในทางปฏิบัติ
 
สิ่งที่ไทยทำลงไปอันได้แก่การงดออกเสียงประณามการผนวกดินแดนยูเครนโดยรัสเซีย ในทางปฏิบัติก็คือเราเลือกข้างรัสเซีย และมันมีผลเสียหายต่อประเทศที่เท่ากับยอมรับว่าสิ่งนี้ทำได้ ถ้าวันข้างหน้ามีใครที่เขามีกำลังมากกว่าทำแบบนี้กับเรา
 
การดำเนินนโยบายต่างประเทศของไทยในกรณีนี้จึงเป็นการสร้างความเสียหายให้ทั้งด้านความมั่นคง ด้านการเมืองระหว่างประเทศ รวมทั้งอาจส่งผลต่อโอกาสทางเศรษฐกิจ เมื่อวันข้างหน้าที่ยูเครนเขาลุกขึ้นมาบูรณะประเทศโดยความช่วยเหลือมหาศาลจากสหภาพยุโรป
 
แม้ล่าสุดไทยจะเลือกออกเสียงสนับสนุนมติสหประชาชาติให้ยุติการทำสงครามรุกรานยูเครนก็ตาม แต่ทว่าความเสียหายมันได้เกิดขึ้นแล้ว และแม้การออกเสียงสนับสนุนล่าสุดจะเป็นสิ่งถูกต้อง แต่ยิ่งเท่ากับตอกย้ำให้เห็นถึงความไร้เหตุผล ไร้บรรทัดฐานของการงดออกเสียงก่อนหน้าตามที่เคยให้คำชี้แจงเอาไว้
 
ซึ่งมันคือภาพสะท้อนของความไม่เอาไหน ไร้ความรับผิดชอบ ไร้ชั้นเชิงทางการทูต (ที่แม้แต่กัมพูชายังฉลาดกว่า)
และก็คือภาพสะท้อนความตกต่ำของการทูตไทยในยุคปัจจุบัน ชนิดที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนนั่นเอง

https://www.facebook.com/photo?fbid=213289964531770&set=a.177311224796311
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่