ฝ่ายค้าน ย้ำไม่ให้ผ่าน พ.ร.ก.อุ้มหาย ดักทางรัฐบาล หากผ่าน ยื่นศาลรธน.ทันที
https://www.khaosod.co.th/politics/news_7529216
ฝ่ายค้าน พร้อมถก พ.ร.ก.อุ้มหาย เย้ย รัฐบาลมาให้ครบองค์ประชุม ชลน่าน ย้ำจุดยืนไม่ให้ผ่าน ชี้หากซีกรัฐบาลมีท่าทีเห็นชอบ จ่อจะยื่นศาล รธน.ดักทางทันที
เมื่อวันที่ 24 ก.พ.2566 ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นพ.
ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงพ.ร.ก.แก้ไขเพิ่มเติมพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย หรือพ.ร.ก.อุ้มหายว่า คาดว่าประธานสภาผู้แทนราษฎร จะนัดประชุมสภา เพื่อพิจารณาอนุมัติเรื่องดังกล่าวในวันที่ 28 ก.พ. ที่ครม.ประกาศและบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 20 ก.พ. ยืนยันว่าฝ่ายค้านพร้อมร่วมเป็นองค์ประชุม และรัฐบาลไม่ต้องกังวลว่าฝ่ายค้านจะทำองค์ประชุมล่ม แต่ต้องถามกลับไปยังรัฐบาลเรื่องขององค์ประชุม เพราะเสียงข้างมากอยู่ที่ฝ่ายรัฐบาล
นพ.
ชลน่าน กล่าวต่อว่า ส่วนการลงมตินั้น พรรคร่วมฝ่ายค้านย้ำจุดยืนชัดเจน คือไม่เห็นด้วยกับพ.ร.ก.ดังกล่าว เพราะการออก พ.ร.ก.นี้ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 172 ที่จะต้องเข้าเงื่อนไข 4 เรื่องคือ ความปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยของสาธารณะ ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ และเรื่องป้องกันภัยพิบัติ แต่รัฐบาลอ้างถึงความไม่พร้อมเรื่องการใช้อุปกรณ์ ทั้งที่ในชั้นกรรมาธิการ (กมธ.) หน่วยงานที่ต้องปฏิบัติยืนยันว่ามีความพร้อม และได้ทิ้งระยะเวลาการบังคับใช้กฎหมาย 120 วัน จึงเห็นได้ว่าพฤติกรรมของรัฐบาลชุดนี้ จงใจใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ
ดังนั้น ฝ่ายค้านยืนยันว่าเรามา แต่จะผ่านหนรือไม่ผ่าน แต่ละฝ่ายต้องไปว่ากันในสภา ซึ่งเราจะไม่อนุมัติให้ผ่าน ทั้งนี้ กระบวนการตรากฎหมายต้องส่งให้วุฒิสภาพิจารณา ซึ่งหมดสมัยประชุมแล้ว แต่รัฐธรรมนูญบังคับให้รัฐบาลต้องเปิดวิสามัญเพื่อให้วุฒิสภาพิจารณา ถ้าไม่เปิด ก็สุ่มเสี่ยงต่อการฝ่าฝืนบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มีคนไปร้องแน่ และถ้าส.ว.พิจารณาแล้วเห็นชอบ มีประเด็นแน่นอน เพราะหากสภาไม่เห็นชอบ แต่วุฒิสภาเห็นชอบ ต้องนำเรื่องกลับมาให้สภายืนยัน ถ้าเรายืนยันด้วยคะแนน 2 ใน 3 ว่าไม่เห็นชอบ พ.ร.ก.ฉบับนี้ตก การบังคับใช้กฎหมายในวันที่เราพิจารณาก็ต้องยุติ
หาก ส.ส.ซีกรัฐบาลมีทีท่าจะผ่านความเห็นชอบร่าง พ.ร.ก.ฉบับนี้ พรรคร่วมฝ่ายค้านจะรวมรายชื่อ 85 คน ยื่นต่อประธานสภา ให้ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยทันทีหากรัฐบาลผ่านกฎหมายฉบับนี้ หากศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องแล้ววินิจฉัยว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย การใดที่ทำมาตั้งแต่ต้นถือว่าใช้ไม่ได้หมด
"สุทิน-อดิศร" ควง "ตระกูลฉายแสง" ปราศรัยเวทีฉะเชิงเทรา ชี้ความล้มเหลวรัฐบาลประยุทธ์ 8 ปีมีแต่หนี้ อ้อนขอคะแนนเลือก "เพื่อไทย" ทั้ง 2 ใบ
https://siamrath.co.th/n/426046
เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 66 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พรรคเพื่อไทยนำโดย นาย
สุทิน คลังแสง รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วย นาย
จาตุรนต์ ฉายแสง คณะกรรมการยุทธศาสตร์และทิศทางการเมือง พรรคเพื่อไทย นาย
วุฒิพงศ์ ฉายแสง อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และผู้ประสงค์ลงสมัครรับการเลือกตั้ง ส.สจังหวัดฉะเชิงเทรา และ นาย
อดิศร เพียงเกษ โฆษกผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ขึ้นเวทีปราศรัยกับพี่น้องชาวบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทราโดยมีพี่น้องมารับฟังอย่างอบอุ่น
นาย
จาตุรนต์ กล่าวว่าพรรคเพื่อไทยเป็นพรรคที่มีความผูกพันและยึดโยงกับพี่น้องมายาวนานเพราะนโยบายพรรคเพื่อไทยทำให้คนทั่วประเทศเห็นว่าประชาธิปไตยกินได้เป็นอย่างไร เรามีนโยบายกองทุนหมู่บ้าน นโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรคและอีกทุกนโยบายที่เริ่มทำทันที่ตั้งแต่ปีแรกและสำเร็จทั้งหมดใน 4 ปี นโยบายของเพื่อไทยเป็นประโยชน์กับทุกคน ไม่ใช่แค่คนอีสาน แต่สำหรับคนทั่วประเทศ โดยเฉพาะกับพี่น้องที่ลำบากยากจน คนรากหญ้า ไม่ใช่เพื่อนายทุน วันนี้ถ้าเราอยากให้นโยบายพรรคเพื่อไทยกลับมาสร้างอนาคต สร้างความกินดีอยู่ดี คนฉะเชิงเทราอยากลืมตาอ้าปากด้วยนโยบายประชาธิปไตยกินได้ต้องเลือกพรรคเพื่อไทย กาทั้งคนทั้งพรรค เพื่อให้ฉะเชิงเทราแลนด์สไลด์ร่วมไปกับพี่น้องเราทั้งแผ่นดิน
นาย
สุทิน กล่าวว่า สิ่งที่น่ากังวลวันนี้คือคำประกาศของพล.อ.
ประยุทธ์ ว่า “
ทำแล้ว ทำอยู่ ทำต่อ” ทำให้เห็นว่าพล.อ.
ประยุทธ์ มั่นใจในการทำงานของตนที่ผ่านมาว่าดีเพียงพอ และหลายโครงการเป็นแค่การกู้เงินมาแจกให้ประชาชน ไม่ได้เป็นการบริหารงานสร้างรายได้ ถ้าพลเอกประยุทธ์เป็นต่อ จะมีแต่นโยบายที่ผิดพลาดและสร้างหนี้สินให้ประชาชนมากขึ้น
“
พรรคเพื่อไทย เราคิดแต่จะสร้างรายได้เข้าประเทศ สร้างเงินให้พี่น้อง หาค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาทต่อวัน รายได้ปริญญาตรีเริ่มต้น 25,000 บาท รวมถึงเบี้ยผู้สูงอายุ และจะหาทางลดรายจ่าย ปลดหนี้ให้พี่น้อง เราไม่ได้คิดแต่เอาบัตรมาแจกพี่น้องกินไปวันวัน กู้มาแจกเรื่อยๆ แบบนี้เราไม่ทำ” รองหัวหน้าพรรค กล่าว
นาย
วุฒิพงศ์ กล่าวว่าด้วยความที่คุณพ่อเป็นอดีต ส.ส. พ่อปลูกฝังผมเสมอมาว่า ผู้แทนที่ดีต้องอุทิศตนให้ประชาชน เวลามีคนเดือดร้อนมาขอความช่วยเหลือ เราจึงพยายามหาทางช่วยเหลือเขาในทุกวิถีทาง หลายครั้งหลายเรื่องที่บางครั้งเราอาจช่วยเขาไม่ได้เราก็พลอยไม่สบายใจ เพราะบางเรื่องเป็นเรื่องนโยบาย เรื่องระดับประเทศ เราต้องใช้พรรคการเมือง ใช้รัฐบาลและสภาผู้แทนราษฎรแก้ปัญหาระดับโครงสร้าง
“
การเลือกตั้งที่จะถึงนี้ จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งที่จะต้องเลือกให้ฝ่ายประชาธิปไตยชนะให้ขาด ต้องไม่ทำให้คะแนนเสียงทุกเสียงตกน้ำ จากการเลือกแบบเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic voting) ตนเชื่อว่าพรรคเพื่อไทย ทำได้ทุกนโยบาย ทำสำเร็จ และเชื่อมั่นว่าจะได้รับความไว้วางใจจากพี่น้องประชาชนอีกครั้ง” นาย
วุฒิพงศ์ กล่าว
ทูตรัศม์ ชี้ 1 ปีสงครามยูเครน ภาพสะท้อน การทูตไทย ถึงยุคตกต่ำ ไร้ชั้นเชิง
https://www.matichon.co.th/politics/news_3842326
ทูตรัศม์ ชี้ 1 ปีสงครามยูเครน ภาพสะท้อน การทูตไทย ถึงยุคตกต่ำ ไร้ชั้นเชิง
เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ นาย
รัศม์ ชาลีจันทร์ อดีตเอกอัครราชทูต และเจ้าของเพจ “
ทูตนอกแถว The Alternative Ambassador Returns” ได้โพสต์ข้อเขียน
“ครบรอบหนึ่งปีสงครามยูเครน กับการตอกย้ำยุคตกต่ำของการต่างประเทศไทย” ผ่านเฟซบุ๊ก โดยมีเนื้อหาดังนี้
วันนี้ครบรอบหนึ่งปีสงครามยูเครน ที่นับเป็นสงครามที่หักปากกาเซียนทั้งทางการทูตและการทหาร ที่ในตอนแรกหลายฝ่ายไม่คิดว่ารัสเซียจะบุกจริงๆ และคาดกันว่า ถ้าบุกจริงยูเครนคงจะพ่ายแพ้ภายในไม่กี่ชั่วโมงหรือไม่กี่วัน แต่กลายมาเป็นสงครามที่ลากยาวจนเป็นปี และมีส่วนเปลี่ยนแปลงการจัดระเบียบโลกที่ส่งผลกระทบต่อทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมืองและความมั่นคง ที่ไทยเองก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
ในขณะที่สงครามนี้ถือเป็นวิกฤตของโลก ในช่วงปีที่ผ่านมาการดำเนินนโยบายต่างประเทศของไทยต่อเรื่องนี้ กลับดูเหมือนไม่อยู่กับร่องกับรอย วันหนึ่งพูดอย่างอีกวันทำอีกอย่าง ซึ่งสร้างผลเสียหายให้กับประเทศ ไม่เฉพาะแค่ต่อเกียรติภูมิและความน่าเชื่อถือเท่านั้น แต่ยังส่งผลถึงความมั่นคง รวมทั้งอาจมีผลต่อทางเศรษฐกิจด้วย
แม้ไทยจะเคยออกเสียงสนับสนุนมติสหประชาชาติในการคัดค้านการรุกรานดังกล่าวในช่วงแรก แต่การไปเยือนรัสเซียแบบลับๆ ของรัฐมนตรีต่างประเทศไทยเมื่อเดือนกันยายน และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่ไทยงดออกเสียงมติการประณามการผนวกดินแดนยูเครนโดยรัสเซียของสหประชาชาติในเดือนตุลาคมของปีที่แล้ว ทำให้ไทยถูกตั้งคำถามในสายตาประชาคมโลกว่าเราจะอยู่ข้างไหนแน่
ถ้าหากมองกันในแง่ผลประโยชน์ของชาติเป็นที่ตั้ง ในปัจจุบันนั้นรัสเซียแทบไม่สามารถตอบสนองอะไรไทยได้เลย ไม่ว่าจะด้านเศรษฐกิจ ที่รัสเซียเองมีขนาดเล็กกว่าเกาหลีใต้แถมถูกบอยคอต ในด้านความมั่นคงและการทหาร ทุกวันนี้รัสเซียยังแทบเอาตัวไม่รอดจากสงครามนี้ จึงไม่มีศักยภาพที่จะมาช่วยใครด้านนี้อีก
ส่วนในทางการเมืองระหว่างประเทศยิ่งแล้วใหญ่กลายเป็นหมาหัวเน่าที่โลกรังเกียจ ดังนั้นการพาตัวเองไปใกล้ชิดกับรัสเซีย ไทยจึงไม่ได้อะไร มีแต่จะเสีย
ก็ต้องถามคนกำหนดนโยบายว่าคิดอะไร หรือคิดไม่ได้ หรือแค่เพราะเขาเป็นพวกเผด็จการ อำนาจนิยมเหมือนรัฐบาลตนเอง เลยมีสัญญาใจกัน?
ส่วนประเทศชาติเสียหายเท่าไหร่ ช่างมัน?
บางคนชอบพูดเรื่องความเป็นกลาง ก็ต้องบอกว่าอันที่จริงไทยแทบไม่เคยเป็นกลาง ไม่ว่าสงครามโลกครั้งที่หนึ่งหรือสอง รวมทั้งสงครามเย็นด้วย ซึ่งไทยเลือกข้างชัดเจน เพื่อความอยู่รอดของเรา
ความเป็นกลางนั้นอาจดีในทางทฤษฎี แต่ในทางปฏิบัติมันอาจใช้ไม่ได้เสมอไป เช่น นอร์เวย์ก็เคยเป็นกลางตอนสงครามโลกครั้งสองแล้วก็ถูกนาซีเยอรมันบุกอยู่ดี จนปัจจุบันเขาเป็นสมาชิกแข็งขันของนาโตไปนานแล้ว
เช่นเดียวกับสวีเดนและฟินแลนด์ที่เคยเป็นกลาง บัดนี้ก็ตัดสินใจขอเข้าร่วมนาโต
เพราะเราต้องเข้าใจว่าความเป็นกลางนั้นมันใช้ได้เฉพาะกับคนที่เคารพกติกา กฎหมายระหว่างประเทศ แต่ถ้ากับคนที่ไม่เคารพสิ่งนี้ เช่นที่รัสเซียกำลังทำอยู่ ความเป็นกลางก็ช่วยปกป้องอะไรไม่ได้
(คนที่พร่ำแต่เป็นกลางๆ จึงควรหาประวัติศาสตร์ทั้งไทยและโลกอ่านมากกว่านี้)
และต้องเข้าใจว่า การเลือกเป็นกลางระหว่างผู้รุกรานกับผู้ถูกกระทำ นั่นคือการเลือกเข้าข้างความอยุติธรรม และอยู่ฝ่ายผู้รุกราน ซึ่งไม่ได้เป็นกลางจริงในทางปฏิบัติ
สิ่งที่ไทยทำลงไปอันได้แก่การงดออกเสียงประณามการผนวกดินแดนยูเครนโดยรัสเซีย ในทางปฏิบัติก็คือเราเลือกข้างรัสเซีย และมันมีผลเสียหายต่อประเทศที่เท่ากับยอมรับว่าสิ่งนี้ทำได้ ถ้าวันข้างหน้ามีใครที่เขามีกำลังมากกว่าทำแบบนี้กับเรา
การดำเนินนโยบายต่างประเทศของไทยในกรณีนี้จึงเป็นการสร้างความเสียหายให้ทั้งด้านความมั่นคง ด้านการเมืองระหว่างประเทศ รวมทั้งอาจส่งผลต่อโอกาสทางเศรษฐกิจ เมื่อวันข้างหน้าที่ยูเครนเขาลุกขึ้นมาบูรณะประเทศโดยความช่วยเหลือมหาศาลจากสหภาพยุโรป
แม้ล่าสุดไทยจะเลือกออกเสียงสนับสนุนมติสหประชาชาติให้ยุติการทำสงครามรุกรานยูเครนก็ตาม แต่ทว่าความเสียหายมันได้เกิดขึ้นแล้ว และแม้การออกเสียงสนับสนุนล่าสุดจะเป็นสิ่งถูกต้อง แต่ยิ่งเท่ากับตอกย้ำให้เห็นถึงความไร้เหตุผล ไร้บรรทัดฐานของการงดออกเสียงก่อนหน้าตามที่เคยให้คำชี้แจงเอาไว้
ซึ่งมันคือภาพสะท้อนของความไม่เอาไหน ไร้ความรับผิดชอบ ไร้ชั้นเชิงทางการทูต (ที่แม้แต่กัมพูชายังฉลาดกว่า)
และก็คือภาพสะท้อนความตกต่ำของการทูตไทยในยุคปัจจุบัน ชนิดที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนนั่นเอง
https://www.facebook.com/photo?fbid=213289964531770&set=a.177311224796311
JJNY : ย้ำไม่ให้ผ่าน พ.ร.ก.อุ้มหาย│"สุทิน-อดิศร"ควง"ตระกูลฉายแสง"ปราศรัย│ทูตรัศม์ชี้การทูตไทยถึงยุคตกต่ำ│สหรัฐจับมือจี7
https://www.khaosod.co.th/politics/news_7529216
ฝ่ายค้าน พร้อมถก พ.ร.ก.อุ้มหาย เย้ย รัฐบาลมาให้ครบองค์ประชุม ชลน่าน ย้ำจุดยืนไม่ให้ผ่าน ชี้หากซีกรัฐบาลมีท่าทีเห็นชอบ จ่อจะยื่นศาล รธน.ดักทางทันที
เมื่อวันที่ 24 ก.พ.2566 ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงพ.ร.ก.แก้ไขเพิ่มเติมพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย หรือพ.ร.ก.อุ้มหายว่า คาดว่าประธานสภาผู้แทนราษฎร จะนัดประชุมสภา เพื่อพิจารณาอนุมัติเรื่องดังกล่าวในวันที่ 28 ก.พ. ที่ครม.ประกาศและบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 20 ก.พ. ยืนยันว่าฝ่ายค้านพร้อมร่วมเป็นองค์ประชุม และรัฐบาลไม่ต้องกังวลว่าฝ่ายค้านจะทำองค์ประชุมล่ม แต่ต้องถามกลับไปยังรัฐบาลเรื่องขององค์ประชุม เพราะเสียงข้างมากอยู่ที่ฝ่ายรัฐบาล
นพ.ชลน่าน กล่าวต่อว่า ส่วนการลงมตินั้น พรรคร่วมฝ่ายค้านย้ำจุดยืนชัดเจน คือไม่เห็นด้วยกับพ.ร.ก.ดังกล่าว เพราะการออก พ.ร.ก.นี้ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 172 ที่จะต้องเข้าเงื่อนไข 4 เรื่องคือ ความปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยของสาธารณะ ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ และเรื่องป้องกันภัยพิบัติ แต่รัฐบาลอ้างถึงความไม่พร้อมเรื่องการใช้อุปกรณ์ ทั้งที่ในชั้นกรรมาธิการ (กมธ.) หน่วยงานที่ต้องปฏิบัติยืนยันว่ามีความพร้อม และได้ทิ้งระยะเวลาการบังคับใช้กฎหมาย 120 วัน จึงเห็นได้ว่าพฤติกรรมของรัฐบาลชุดนี้ จงใจใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ
ดังนั้น ฝ่ายค้านยืนยันว่าเรามา แต่จะผ่านหนรือไม่ผ่าน แต่ละฝ่ายต้องไปว่ากันในสภา ซึ่งเราจะไม่อนุมัติให้ผ่าน ทั้งนี้ กระบวนการตรากฎหมายต้องส่งให้วุฒิสภาพิจารณา ซึ่งหมดสมัยประชุมแล้ว แต่รัฐธรรมนูญบังคับให้รัฐบาลต้องเปิดวิสามัญเพื่อให้วุฒิสภาพิจารณา ถ้าไม่เปิด ก็สุ่มเสี่ยงต่อการฝ่าฝืนบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มีคนไปร้องแน่ และถ้าส.ว.พิจารณาแล้วเห็นชอบ มีประเด็นแน่นอน เพราะหากสภาไม่เห็นชอบ แต่วุฒิสภาเห็นชอบ ต้องนำเรื่องกลับมาให้สภายืนยัน ถ้าเรายืนยันด้วยคะแนน 2 ใน 3 ว่าไม่เห็นชอบ พ.ร.ก.ฉบับนี้ตก การบังคับใช้กฎหมายในวันที่เราพิจารณาก็ต้องยุติ
หาก ส.ส.ซีกรัฐบาลมีทีท่าจะผ่านความเห็นชอบร่าง พ.ร.ก.ฉบับนี้ พรรคร่วมฝ่ายค้านจะรวมรายชื่อ 85 คน ยื่นต่อประธานสภา ให้ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยทันทีหากรัฐบาลผ่านกฎหมายฉบับนี้ หากศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องแล้ววินิจฉัยว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย การใดที่ทำมาตั้งแต่ต้นถือว่าใช้ไม่ได้หมด
"สุทิน-อดิศร" ควง "ตระกูลฉายแสง" ปราศรัยเวทีฉะเชิงเทรา ชี้ความล้มเหลวรัฐบาลประยุทธ์ 8 ปีมีแต่หนี้ อ้อนขอคะแนนเลือก "เพื่อไทย" ทั้ง 2 ใบ
https://siamrath.co.th/n/426046
เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 66 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พรรคเพื่อไทยนำโดย นายสุทิน คลังแสง รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วย นายจาตุรนต์ ฉายแสง คณะกรรมการยุทธศาสตร์และทิศทางการเมือง พรรคเพื่อไทย นายวุฒิพงศ์ ฉายแสง อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และผู้ประสงค์ลงสมัครรับการเลือกตั้ง ส.สจังหวัดฉะเชิงเทรา และ นายอดิศร เพียงเกษ โฆษกผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ขึ้นเวทีปราศรัยกับพี่น้องชาวบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทราโดยมีพี่น้องมารับฟังอย่างอบอุ่น
นายจาตุรนต์ กล่าวว่าพรรคเพื่อไทยเป็นพรรคที่มีความผูกพันและยึดโยงกับพี่น้องมายาวนานเพราะนโยบายพรรคเพื่อไทยทำให้คนทั่วประเทศเห็นว่าประชาธิปไตยกินได้เป็นอย่างไร เรามีนโยบายกองทุนหมู่บ้าน นโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรคและอีกทุกนโยบายที่เริ่มทำทันที่ตั้งแต่ปีแรกและสำเร็จทั้งหมดใน 4 ปี นโยบายของเพื่อไทยเป็นประโยชน์กับทุกคน ไม่ใช่แค่คนอีสาน แต่สำหรับคนทั่วประเทศ โดยเฉพาะกับพี่น้องที่ลำบากยากจน คนรากหญ้า ไม่ใช่เพื่อนายทุน วันนี้ถ้าเราอยากให้นโยบายพรรคเพื่อไทยกลับมาสร้างอนาคต สร้างความกินดีอยู่ดี คนฉะเชิงเทราอยากลืมตาอ้าปากด้วยนโยบายประชาธิปไตยกินได้ต้องเลือกพรรคเพื่อไทย กาทั้งคนทั้งพรรค เพื่อให้ฉะเชิงเทราแลนด์สไลด์ร่วมไปกับพี่น้องเราทั้งแผ่นดิน
นายสุทิน กล่าวว่า สิ่งที่น่ากังวลวันนี้คือคำประกาศของพล.อ.ประยุทธ์ ว่า “ทำแล้ว ทำอยู่ ทำต่อ” ทำให้เห็นว่าพล.อ.ประยุทธ์ มั่นใจในการทำงานของตนที่ผ่านมาว่าดีเพียงพอ และหลายโครงการเป็นแค่การกู้เงินมาแจกให้ประชาชน ไม่ได้เป็นการบริหารงานสร้างรายได้ ถ้าพลเอกประยุทธ์เป็นต่อ จะมีแต่นโยบายที่ผิดพลาดและสร้างหนี้สินให้ประชาชนมากขึ้น
“พรรคเพื่อไทย เราคิดแต่จะสร้างรายได้เข้าประเทศ สร้างเงินให้พี่น้อง หาค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาทต่อวัน รายได้ปริญญาตรีเริ่มต้น 25,000 บาท รวมถึงเบี้ยผู้สูงอายุ และจะหาทางลดรายจ่าย ปลดหนี้ให้พี่น้อง เราไม่ได้คิดแต่เอาบัตรมาแจกพี่น้องกินไปวันวัน กู้มาแจกเรื่อยๆ แบบนี้เราไม่ทำ” รองหัวหน้าพรรค กล่าว
นายวุฒิพงศ์ กล่าวว่าด้วยความที่คุณพ่อเป็นอดีต ส.ส. พ่อปลูกฝังผมเสมอมาว่า ผู้แทนที่ดีต้องอุทิศตนให้ประชาชน เวลามีคนเดือดร้อนมาขอความช่วยเหลือ เราจึงพยายามหาทางช่วยเหลือเขาในทุกวิถีทาง หลายครั้งหลายเรื่องที่บางครั้งเราอาจช่วยเขาไม่ได้เราก็พลอยไม่สบายใจ เพราะบางเรื่องเป็นเรื่องนโยบาย เรื่องระดับประเทศ เราต้องใช้พรรคการเมือง ใช้รัฐบาลและสภาผู้แทนราษฎรแก้ปัญหาระดับโครงสร้าง
“การเลือกตั้งที่จะถึงนี้ จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งที่จะต้องเลือกให้ฝ่ายประชาธิปไตยชนะให้ขาด ต้องไม่ทำให้คะแนนเสียงทุกเสียงตกน้ำ จากการเลือกแบบเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic voting) ตนเชื่อว่าพรรคเพื่อไทย ทำได้ทุกนโยบาย ทำสำเร็จ และเชื่อมั่นว่าจะได้รับความไว้วางใจจากพี่น้องประชาชนอีกครั้ง” นายวุฒิพงศ์ กล่าว
ทูตรัศม์ ชี้ 1 ปีสงครามยูเครน ภาพสะท้อน การทูตไทย ถึงยุคตกต่ำ ไร้ชั้นเชิง
https://www.matichon.co.th/politics/news_3842326
ทูตรัศม์ ชี้ 1 ปีสงครามยูเครน ภาพสะท้อน การทูตไทย ถึงยุคตกต่ำ ไร้ชั้นเชิง
เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ นายรัศม์ ชาลีจันทร์ อดีตเอกอัครราชทูต และเจ้าของเพจ “ทูตนอกแถว The Alternative Ambassador Returns” ได้โพสต์ข้อเขียน “ครบรอบหนึ่งปีสงครามยูเครน กับการตอกย้ำยุคตกต่ำของการต่างประเทศไทย” ผ่านเฟซบุ๊ก โดยมีเนื้อหาดังนี้
วันนี้ครบรอบหนึ่งปีสงครามยูเครน ที่นับเป็นสงครามที่หักปากกาเซียนทั้งทางการทูตและการทหาร ที่ในตอนแรกหลายฝ่ายไม่คิดว่ารัสเซียจะบุกจริงๆ และคาดกันว่า ถ้าบุกจริงยูเครนคงจะพ่ายแพ้ภายในไม่กี่ชั่วโมงหรือไม่กี่วัน แต่กลายมาเป็นสงครามที่ลากยาวจนเป็นปี และมีส่วนเปลี่ยนแปลงการจัดระเบียบโลกที่ส่งผลกระทบต่อทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมืองและความมั่นคง ที่ไทยเองก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
ในขณะที่สงครามนี้ถือเป็นวิกฤตของโลก ในช่วงปีที่ผ่านมาการดำเนินนโยบายต่างประเทศของไทยต่อเรื่องนี้ กลับดูเหมือนไม่อยู่กับร่องกับรอย วันหนึ่งพูดอย่างอีกวันทำอีกอย่าง ซึ่งสร้างผลเสียหายให้กับประเทศ ไม่เฉพาะแค่ต่อเกียรติภูมิและความน่าเชื่อถือเท่านั้น แต่ยังส่งผลถึงความมั่นคง รวมทั้งอาจมีผลต่อทางเศรษฐกิจด้วย
แม้ไทยจะเคยออกเสียงสนับสนุนมติสหประชาชาติในการคัดค้านการรุกรานดังกล่าวในช่วงแรก แต่การไปเยือนรัสเซียแบบลับๆ ของรัฐมนตรีต่างประเทศไทยเมื่อเดือนกันยายน และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่ไทยงดออกเสียงมติการประณามการผนวกดินแดนยูเครนโดยรัสเซียของสหประชาชาติในเดือนตุลาคมของปีที่แล้ว ทำให้ไทยถูกตั้งคำถามในสายตาประชาคมโลกว่าเราจะอยู่ข้างไหนแน่
ถ้าหากมองกันในแง่ผลประโยชน์ของชาติเป็นที่ตั้ง ในปัจจุบันนั้นรัสเซียแทบไม่สามารถตอบสนองอะไรไทยได้เลย ไม่ว่าจะด้านเศรษฐกิจ ที่รัสเซียเองมีขนาดเล็กกว่าเกาหลีใต้แถมถูกบอยคอต ในด้านความมั่นคงและการทหาร ทุกวันนี้รัสเซียยังแทบเอาตัวไม่รอดจากสงครามนี้ จึงไม่มีศักยภาพที่จะมาช่วยใครด้านนี้อีก
ส่วนในทางการเมืองระหว่างประเทศยิ่งแล้วใหญ่กลายเป็นหมาหัวเน่าที่โลกรังเกียจ ดังนั้นการพาตัวเองไปใกล้ชิดกับรัสเซีย ไทยจึงไม่ได้อะไร มีแต่จะเสีย
ก็ต้องถามคนกำหนดนโยบายว่าคิดอะไร หรือคิดไม่ได้ หรือแค่เพราะเขาเป็นพวกเผด็จการ อำนาจนิยมเหมือนรัฐบาลตนเอง เลยมีสัญญาใจกัน?
ส่วนประเทศชาติเสียหายเท่าไหร่ ช่างมัน?
บางคนชอบพูดเรื่องความเป็นกลาง ก็ต้องบอกว่าอันที่จริงไทยแทบไม่เคยเป็นกลาง ไม่ว่าสงครามโลกครั้งที่หนึ่งหรือสอง รวมทั้งสงครามเย็นด้วย ซึ่งไทยเลือกข้างชัดเจน เพื่อความอยู่รอดของเรา
ความเป็นกลางนั้นอาจดีในทางทฤษฎี แต่ในทางปฏิบัติมันอาจใช้ไม่ได้เสมอไป เช่น นอร์เวย์ก็เคยเป็นกลางตอนสงครามโลกครั้งสองแล้วก็ถูกนาซีเยอรมันบุกอยู่ดี จนปัจจุบันเขาเป็นสมาชิกแข็งขันของนาโตไปนานแล้ว
เช่นเดียวกับสวีเดนและฟินแลนด์ที่เคยเป็นกลาง บัดนี้ก็ตัดสินใจขอเข้าร่วมนาโต
เพราะเราต้องเข้าใจว่าความเป็นกลางนั้นมันใช้ได้เฉพาะกับคนที่เคารพกติกา กฎหมายระหว่างประเทศ แต่ถ้ากับคนที่ไม่เคารพสิ่งนี้ เช่นที่รัสเซียกำลังทำอยู่ ความเป็นกลางก็ช่วยปกป้องอะไรไม่ได้
(คนที่พร่ำแต่เป็นกลางๆ จึงควรหาประวัติศาสตร์ทั้งไทยและโลกอ่านมากกว่านี้)
และต้องเข้าใจว่า การเลือกเป็นกลางระหว่างผู้รุกรานกับผู้ถูกกระทำ นั่นคือการเลือกเข้าข้างความอยุติธรรม และอยู่ฝ่ายผู้รุกราน ซึ่งไม่ได้เป็นกลางจริงในทางปฏิบัติ
สิ่งที่ไทยทำลงไปอันได้แก่การงดออกเสียงประณามการผนวกดินแดนยูเครนโดยรัสเซีย ในทางปฏิบัติก็คือเราเลือกข้างรัสเซีย และมันมีผลเสียหายต่อประเทศที่เท่ากับยอมรับว่าสิ่งนี้ทำได้ ถ้าวันข้างหน้ามีใครที่เขามีกำลังมากกว่าทำแบบนี้กับเรา
การดำเนินนโยบายต่างประเทศของไทยในกรณีนี้จึงเป็นการสร้างความเสียหายให้ทั้งด้านความมั่นคง ด้านการเมืองระหว่างประเทศ รวมทั้งอาจส่งผลต่อโอกาสทางเศรษฐกิจ เมื่อวันข้างหน้าที่ยูเครนเขาลุกขึ้นมาบูรณะประเทศโดยความช่วยเหลือมหาศาลจากสหภาพยุโรป
แม้ล่าสุดไทยจะเลือกออกเสียงสนับสนุนมติสหประชาชาติให้ยุติการทำสงครามรุกรานยูเครนก็ตาม แต่ทว่าความเสียหายมันได้เกิดขึ้นแล้ว และแม้การออกเสียงสนับสนุนล่าสุดจะเป็นสิ่งถูกต้อง แต่ยิ่งเท่ากับตอกย้ำให้เห็นถึงความไร้เหตุผล ไร้บรรทัดฐานของการงดออกเสียงก่อนหน้าตามที่เคยให้คำชี้แจงเอาไว้
ซึ่งมันคือภาพสะท้อนของความไม่เอาไหน ไร้ความรับผิดชอบ ไร้ชั้นเชิงทางการทูต (ที่แม้แต่กัมพูชายังฉลาดกว่า)
และก็คือภาพสะท้อนความตกต่ำของการทูตไทยในยุคปัจจุบัน ชนิดที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนนั่นเอง
https://www.facebook.com/photo?fbid=213289964531770&set=a.177311224796311