สวัสดีครับ วันนี้ผมจะมารีวิว เรื่อง The House that jack built ภาพยนตร์ดราม่า อาชญากรรม สยองขวัญที่ออกฉายไปเมื่อปี 2018 แต่ที่ไทยไม่ได้นำเข้าฉาย เพราะ มีฉากติดเรท 18+ เยอะมาก ซึ่ง 18+ ในที่นี้ ไม่ใช่ฉากเซ็กส์ แต่เป็นฉากฆ่ากันนี่แหล่ะ บางฉากรุนแรงเกินกว่าที่เด็กเล็กลูกแดงจะรับชมได้ คือ อาจจะดูได้แหล่ะ แต่ต้องมีผู้ใหญ่ช่วยชี้แนะประกอบตามด้วย แถมคำวิจารณ์ถูกแบ่งออกเป็น 2 ฝั่ง ถ้าคนไม่ชอบก็เกลียดกันเลย แต่ผมดันอยู่อีกฝั่งคือชอบมาก คือ ก่อนจะดูเรื่องนี้ มีการทำการบ้านมากก่อน ทั้งดูภาพโปสเตอร์หนังที่ออกแบบแหวกแนวดี โดยเฉพาะโปสเตอร์แต่ละตัวละครที่โคตรจะประหลาดเกินกว่าจะเข้าใจอารมณ์เหมือนเดินดูภาพศิลปะตามแกลลอรี่ที่มีรูปมากมาย ดูตัวอย่างหนังที่นำเสนอมาค่อนข้างดี แล้วที่หายากที่สุด คือ การหาดูหนังแบบซับไทย ค้นหาอยู่นานมากทุกเว็บก็ไม่มีซับไทยเลย จนมาเจอเว็บนึงจำชื่อไม่ได้แล้ว มีเรื่องนี้ และ มีซับไทยด้วย ผมก็ดีใจสิ ไม่รอช้าคลิกเข้าไปดูเลย
ตลอดเวลา 2 ชั่วโมง 35 นาที ที่เราสามารถทนนั่งดูผลงานที่ปรุงแต่งด้วยความโรคจิต ซาดิสม์ วิตถารในรูปแบบศิลปะที่รังสรรค์นำเสนอให้ผู้ชมอย่างเรารู้สึกกระอักกระอ่วน และ หดหู่ออกมาได้ง่าย ซึ่งก็สมควรแล้วที่ถูกแบนจากหลายประเทศ รวมทั้งพี่ไทยด้วย เพราะ ผู้กำกับชาวเดนมาร์กอย่าง Lars Von trier คนนี้มันโคตรบ้าของแท้ โรคจิตของจริง เห็นได้จากผลงานแต่ละเรื่องของแก อาทิ Antichrist (2009) , Melancholia (2011) ล้วนแสดงถึงความไม่ปกติของมนุษย์ทั้งนั้นโดยเฉพาะจิตใจที่ลึกเกินจะตรัสรู้ของมนุษย์ อย่างที่ผมดูล่าสุด เรื่อง Nymphomaniac Vol.1-2 (2013) นี้ ประเคนการจูบกระหน่ำ บริการเซ็กซ์กระจาย เอากันทั้งเรื่อง แต่กับเรื่องนี้เปลี่ยนจากบ้าเซ็กซ์มาเป็นบ้าเลือด เสพย์ติดการฆ่าคนแทน แต่ทั้ง 2 นี้มันแฝงประเด็นทางสังคมโดยใช้ศิลปะเป็นสื่อนัยยะไว้แยบยลดีเช่นกัน
สำหรับผม ผมชอบการเล่าเรื่องแบบแบ่งเป็น Chapter นี้ดีนะ เพราะเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งในการเล่าเรื่องที่น่าสนใจและเรียบเรียงเรื่องเข้าใจง่ายขึ้น โดยแต่ละ Chapter นี้เป็นเรื่องราวผ่านตัว Jack ฆาตกรหนุ่มที่เจอกับเหยื่อแต่ละคน การฆ่าของเขานั้นจะมีการพัฒนา Skill ผ่านระบบการคิด มุมมอง วิธีการโหดจากระดับเบสิค ค่อย ๆไต่ระดับไปเรื่อย ๆ การลงมือสังหารเหยื่อแต่ละคนนั้นโหดสาหัสกันคนละแบบ คำนวณตามหลักการของ Jack ทั้งนั้น การฆ่าจึงเปรียบเหมือนกับการสร้างบ้าน ต้องมีการร่างโครง ส่วนประกอบต่าง ๆ การใช้วัสดุ เครื่องมือที่เหมาะสม เพื่อให้งานดี มีคุณภาพ สะอาดหมดจด ไร้ริ้วรอย เห็นแล้วเจ็บแทนทุกราย แต่การลงมือสังหารเหยื่อล้วนถูกเป็นเครื่องมือในการตอบสนองตัณหา ต่อผลงานทางศิลปะของตัวเอกที่หลงใหลจนกู่ไม่กลับ รวมถึงมองว่าเพศหญิงเปรียบเสมือนผู้อ่อนแอ เป็นผู้ถูกล่าย่อมตกเป็นเหยื่อของผู้ล่า เป็นวัฎจักรของธรรมชาติทั้งสิ้น
ดารานักแสดงในเรื่องรวมดารารุ่นเก่า รุ่นใหม่มากฝีมือรวมกัน อาทิ Matt Dillon จาก There’s something about mary (1998) และ Crash (2004 ) , Uma Thurman จาก Kill Bill No.1-2 (2003-2004) , Bruno Ganz จาก Unknown (2011) , Riley keough จาก Mad Max : Fury Road (2015) เป็นต้น ผมว่าตัวพระเอกนี้ที่รับบทโดย Matt Dillion เค้าแคสได้ถูกคนมาก เหมือนคนนี้มันแสดงท่าทาง แววตา อากัปกิริยาท่าทางเหมือนเป็นฆาตกรโรคจิตจริง ๆ มีอารมณ์ศิลปิน ฉลาดแกมโกง พูดเก่งหว่านล้อมจนสาว ๆ หรือ ใครก็ตามที่เจอหน้านี้หลงเคลิ้มไปกับเสน่ห์เชื่อได้อย่างเห็นได้ชัดประหนึ่งว่าเป็นตัวแทนขายประกันก็ว่าได้ ขณะเดียวกันก็ส่งกลิ่นอายความน่ากลัวปกคลุมทั่วรัศมีให้รู้สึกกลัวเช่นกัน ส่วนนักแสดงท่านอื่นที่ได้กล่าวชื่อมา ไม่ว่าจะเป็น สาว ๆ ที่เป็นเหยื่อทั้ง Uma Thurman และ Riey Keough รวมทั้งหลวงพ่อผู้ลึกลับที่แสดงโดย Bruno Ganz จาก Wings of Desire (1987) ต่างทำหน้าที่ตนเองได้ยอดเยี่ยมเช่นกัน แม้ว่าช่วงเวลาของแต่ละคนจะมีเวลาจำกัดก็ตาม
ที่ขัดใจเลยก็คือเหยื่อแต่ละคนนี้ตรรกะอ่อนแอมาก ไม่รักตัวเอง คนนึงหาเรื่องใส่ตัวเอง คนนึงก็ไม่เฉลียวใจ คนนึงก็ใสซื่อ และ อีกคนก็มีโอกาสแต่ก็ไม่ใช้ให้เป็นประโยชน์ คือ โผล่มาเพื่อโดนฆ่าโดยเฉพาะ แล้วที่หนักกว่าคือ ตำรวจ แทบไม่มีบทบาทหน้าที่เลย สงสัยว่าทำอะไรอยู่ คนถูกฆ่าตายไปตั้งเยอะแล้ว แต่กลับไม่รู้เรื่องซะงั้นว่าเกิดอะไรขึ้น คือก็เข้าใจแหล่ะว่า ในเรื่องเกิดขึ้นยุค 70 เทคโนโลยีเอย การสื่อสารเอย ยังไม่ก้าวหน้าจนถึงปัจจุบัน การสืบสวน สอบสวนหาหลักฐานเพื่อสาวถึงคนร้ายนี้ใช้เวลานานแถมลำบากด้วย สิ่งที่พึ่งได้ก็มีแค่บุคคลที่อยู่ในเหตุการณ์เป็นพยานสำคัญเท่านั้น ที่เป็นเบาะแสหลักที่พึ่งพาหาหลักฐานสำคัญในพยานแวดล้อมที่มีข้อมูลสำคัญตกอยู่ในที่เกิดเหตุ และ ด้วยความที่บุคลิกลักษณะของตัว Jack ที่เป็นคนย้ำคิดย้ำทำ ช่างสังเกต ละเอียดรอบคอบอีก การลงมือจัดการเหยื่อแต่ละคนนี้จึงต้องมีความละเอียดมากกว่าเดิมอยู่แน่นอน จึงเป็นข้อได้เปรียบในส่วนตรงนี้ไป หวานหมูเลยงานนี้
บางช่วงหนังดำเนินเนิบ เอื่อยเฉื่อยไปบ้างเป็นระยะตามสไตล์หนังยุโรปแหล่ะ ด้วยตัวหนังมีความยาวกว่า 2 ชั่วโมงครึ่งนิด ๆ ทำให้รายละเอียดของตัวหนังที่จะเล่ามีเยอะเช่นกัน แถมยังปะปนในส่วนของงานภาพ การใส่ฉากหนังเรื่องนี้ของผู้กำกับแกที่ชอบยัดเข้าไปมากจนไม่ลื่นไหลต่อในการเดินเรื่องที่ควรจะเป็นจุดขายของแนวนี้ แต่ยังดีที่มีปมวัยเด็กของตัว Jack ใส่เข้ามาทำให้ดูมีน้ำหนักขึ้นมาหน่อยนึง พอรองรับเหตุผลว่าทำไมเขาถึงกลายเป็นคนอย่างนี้ แต่ใส่มาแปปเดียว มันก็แสดงให้เห็นว่าตัว Jack มันก็ยังเป็นมนุษย์อยู่ แม้จิตวิญญาณจะมาไกลจากความเป็นคนจนกู่ไม่กลับไปแล้วก็ตาม ยิ่งช่วงองค์สุดท้ายนี้มาแบบหลุดโลกเวอร์วังอลังการ ซึ่งผมไม่ชอบเลย ส่วนฉากการฆ่าบางฉากที่ดูแล้วว่าโหดแน่ แต่ก็ตัดฉากไปเลย มันทำให้ลดความน่ากลัวลงไปเลย เ
อีกอย่างที่เสียดายคือช่วงท้ายไม่รู้ว่าตัวผู้กำกับคิดยังไงถึงเลือกสรุปไปแบบนั้น ผลงที่ได้คือมันออกไปแนวแฟนตาซี เทพนิยายปรัมปราไปจนงงว่าจะใส่เข้ามาทำไม พอดูไปแล้วความงงในงานอาร์ทสวย ๆ แล้วก็เข้าใจว่ามันเป็นน่าจะเป็นใจความสำคัญที่เป็นบทสรุปในเรื่องราวจากการกระทำทั้งหมดที่เชื่อมโยงในหลักเหตุและผลของกรรมนั่นแหล่ะ ซึ่งผมว่าฉากสุดท้ายนี้ถ้าตัดภาพความฟุ้มเฟื่อยของศิลปะออกไปนี้มันคือหนังสยองขวัญที่น่ากลัวอีกเรื่องนึงเลยเสียดายแทน เนื่องจากหนังเรื่องนี้ถูกแบนแล้ว แถมยังถูกแบ่งแยกจากผู้วิจารณ์ออกเป็น 2 ฝั่ง คนที่ชอบเรื่องนี้จะได้รับความโหด เลือดสาดคุ้มเกินคุ้ม แถมได้รับความงามเพ้อฝันในงานศิลปะเป็นของแถม แต่ถ้าคนไม่ชอบนี้คือเกลียดไปเลย แล้วย้อนถามตัวเองกลับว่ากูมาดูหนังอะไรวะ ไม่เห็นจะมีสาระอะไรนอกจากฆ่า ๆ กันอย่างเดียว ทั้งนี้แล้วแต่ความชอบของแต่ละคนครับ
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like กด Share ได้ที่เพจ True id Intrend ของผมชื่อ EMCONCEPT เพื่อเป็นกำลังใจในการรีวิวครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
[CR] No.3 The House That Jack Built : ทุกคนต้องเคยเป็นผู้ร้ายในเรื่องเล่าของคนอื่นเสมอ
สวัสดีครับ วันนี้ผมจะมารีวิว เรื่อง The House that jack built ภาพยนตร์ดราม่า อาชญากรรม สยองขวัญที่ออกฉายไปเมื่อปี 2018 แต่ที่ไทยไม่ได้นำเข้าฉาย เพราะ มีฉากติดเรท 18+ เยอะมาก ซึ่ง 18+ ในที่นี้ ไม่ใช่ฉากเซ็กส์ แต่เป็นฉากฆ่ากันนี่แหล่ะ บางฉากรุนแรงเกินกว่าที่เด็กเล็กลูกแดงจะรับชมได้ คือ อาจจะดูได้แหล่ะ แต่ต้องมีผู้ใหญ่ช่วยชี้แนะประกอบตามด้วย แถมคำวิจารณ์ถูกแบ่งออกเป็น 2 ฝั่ง ถ้าคนไม่ชอบก็เกลียดกันเลย แต่ผมดันอยู่อีกฝั่งคือชอบมาก คือ ก่อนจะดูเรื่องนี้ มีการทำการบ้านมากก่อน ทั้งดูภาพโปสเตอร์หนังที่ออกแบบแหวกแนวดี โดยเฉพาะโปสเตอร์แต่ละตัวละครที่โคตรจะประหลาดเกินกว่าจะเข้าใจอารมณ์เหมือนเดินดูภาพศิลปะตามแกลลอรี่ที่มีรูปมากมาย ดูตัวอย่างหนังที่นำเสนอมาค่อนข้างดี แล้วที่หายากที่สุด คือ การหาดูหนังแบบซับไทย ค้นหาอยู่นานมากทุกเว็บก็ไม่มีซับไทยเลย จนมาเจอเว็บนึงจำชื่อไม่ได้แล้ว มีเรื่องนี้ และ มีซับไทยด้วย ผมก็ดีใจสิ ไม่รอช้าคลิกเข้าไปดูเลย
ตลอดเวลา 2 ชั่วโมง 35 นาที ที่เราสามารถทนนั่งดูผลงานที่ปรุงแต่งด้วยความโรคจิต ซาดิสม์ วิตถารในรูปแบบศิลปะที่รังสรรค์นำเสนอให้ผู้ชมอย่างเรารู้สึกกระอักกระอ่วน และ หดหู่ออกมาได้ง่าย ซึ่งก็สมควรแล้วที่ถูกแบนจากหลายประเทศ รวมทั้งพี่ไทยด้วย เพราะ ผู้กำกับชาวเดนมาร์กอย่าง Lars Von trier คนนี้มันโคตรบ้าของแท้ โรคจิตของจริง เห็นได้จากผลงานแต่ละเรื่องของแก อาทิ Antichrist (2009) , Melancholia (2011) ล้วนแสดงถึงความไม่ปกติของมนุษย์ทั้งนั้นโดยเฉพาะจิตใจที่ลึกเกินจะตรัสรู้ของมนุษย์ อย่างที่ผมดูล่าสุด เรื่อง Nymphomaniac Vol.1-2 (2013) นี้ ประเคนการจูบกระหน่ำ บริการเซ็กซ์กระจาย เอากันทั้งเรื่อง แต่กับเรื่องนี้เปลี่ยนจากบ้าเซ็กซ์มาเป็นบ้าเลือด เสพย์ติดการฆ่าคนแทน แต่ทั้ง 2 นี้มันแฝงประเด็นทางสังคมโดยใช้ศิลปะเป็นสื่อนัยยะไว้แยบยลดีเช่นกัน
สำหรับผม ผมชอบการเล่าเรื่องแบบแบ่งเป็น Chapter นี้ดีนะ เพราะเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งในการเล่าเรื่องที่น่าสนใจและเรียบเรียงเรื่องเข้าใจง่ายขึ้น โดยแต่ละ Chapter นี้เป็นเรื่องราวผ่านตัว Jack ฆาตกรหนุ่มที่เจอกับเหยื่อแต่ละคน การฆ่าของเขานั้นจะมีการพัฒนา Skill ผ่านระบบการคิด มุมมอง วิธีการโหดจากระดับเบสิค ค่อย ๆไต่ระดับไปเรื่อย ๆ การลงมือสังหารเหยื่อแต่ละคนนั้นโหดสาหัสกันคนละแบบ คำนวณตามหลักการของ Jack ทั้งนั้น การฆ่าจึงเปรียบเหมือนกับการสร้างบ้าน ต้องมีการร่างโครง ส่วนประกอบต่าง ๆ การใช้วัสดุ เครื่องมือที่เหมาะสม เพื่อให้งานดี มีคุณภาพ สะอาดหมดจด ไร้ริ้วรอย เห็นแล้วเจ็บแทนทุกราย แต่การลงมือสังหารเหยื่อล้วนถูกเป็นเครื่องมือในการตอบสนองตัณหา ต่อผลงานทางศิลปะของตัวเอกที่หลงใหลจนกู่ไม่กลับ รวมถึงมองว่าเพศหญิงเปรียบเสมือนผู้อ่อนแอ เป็นผู้ถูกล่าย่อมตกเป็นเหยื่อของผู้ล่า เป็นวัฎจักรของธรรมชาติทั้งสิ้น
ดารานักแสดงในเรื่องรวมดารารุ่นเก่า รุ่นใหม่มากฝีมือรวมกัน อาทิ Matt Dillon จาก There’s something about mary (1998) และ Crash (2004 ) , Uma Thurman จาก Kill Bill No.1-2 (2003-2004) , Bruno Ganz จาก Unknown (2011) , Riley keough จาก Mad Max : Fury Road (2015) เป็นต้น ผมว่าตัวพระเอกนี้ที่รับบทโดย Matt Dillion เค้าแคสได้ถูกคนมาก เหมือนคนนี้มันแสดงท่าทาง แววตา อากัปกิริยาท่าทางเหมือนเป็นฆาตกรโรคจิตจริง ๆ มีอารมณ์ศิลปิน ฉลาดแกมโกง พูดเก่งหว่านล้อมจนสาว ๆ หรือ ใครก็ตามที่เจอหน้านี้หลงเคลิ้มไปกับเสน่ห์เชื่อได้อย่างเห็นได้ชัดประหนึ่งว่าเป็นตัวแทนขายประกันก็ว่าได้ ขณะเดียวกันก็ส่งกลิ่นอายความน่ากลัวปกคลุมทั่วรัศมีให้รู้สึกกลัวเช่นกัน ส่วนนักแสดงท่านอื่นที่ได้กล่าวชื่อมา ไม่ว่าจะเป็น สาว ๆ ที่เป็นเหยื่อทั้ง Uma Thurman และ Riey Keough รวมทั้งหลวงพ่อผู้ลึกลับที่แสดงโดย Bruno Ganz จาก Wings of Desire (1987) ต่างทำหน้าที่ตนเองได้ยอดเยี่ยมเช่นกัน แม้ว่าช่วงเวลาของแต่ละคนจะมีเวลาจำกัดก็ตาม
ที่ขัดใจเลยก็คือเหยื่อแต่ละคนนี้ตรรกะอ่อนแอมาก ไม่รักตัวเอง คนนึงหาเรื่องใส่ตัวเอง คนนึงก็ไม่เฉลียวใจ คนนึงก็ใสซื่อ และ อีกคนก็มีโอกาสแต่ก็ไม่ใช้ให้เป็นประโยชน์ คือ โผล่มาเพื่อโดนฆ่าโดยเฉพาะ แล้วที่หนักกว่าคือ ตำรวจ แทบไม่มีบทบาทหน้าที่เลย สงสัยว่าทำอะไรอยู่ คนถูกฆ่าตายไปตั้งเยอะแล้ว แต่กลับไม่รู้เรื่องซะงั้นว่าเกิดอะไรขึ้น คือก็เข้าใจแหล่ะว่า ในเรื่องเกิดขึ้นยุค 70 เทคโนโลยีเอย การสื่อสารเอย ยังไม่ก้าวหน้าจนถึงปัจจุบัน การสืบสวน สอบสวนหาหลักฐานเพื่อสาวถึงคนร้ายนี้ใช้เวลานานแถมลำบากด้วย สิ่งที่พึ่งได้ก็มีแค่บุคคลที่อยู่ในเหตุการณ์เป็นพยานสำคัญเท่านั้น ที่เป็นเบาะแสหลักที่พึ่งพาหาหลักฐานสำคัญในพยานแวดล้อมที่มีข้อมูลสำคัญตกอยู่ในที่เกิดเหตุ และ ด้วยความที่บุคลิกลักษณะของตัว Jack ที่เป็นคนย้ำคิดย้ำทำ ช่างสังเกต ละเอียดรอบคอบอีก การลงมือจัดการเหยื่อแต่ละคนนี้จึงต้องมีความละเอียดมากกว่าเดิมอยู่แน่นอน จึงเป็นข้อได้เปรียบในส่วนตรงนี้ไป หวานหมูเลยงานนี้
บางช่วงหนังดำเนินเนิบ เอื่อยเฉื่อยไปบ้างเป็นระยะตามสไตล์หนังยุโรปแหล่ะ ด้วยตัวหนังมีความยาวกว่า 2 ชั่วโมงครึ่งนิด ๆ ทำให้รายละเอียดของตัวหนังที่จะเล่ามีเยอะเช่นกัน แถมยังปะปนในส่วนของงานภาพ การใส่ฉากหนังเรื่องนี้ของผู้กำกับแกที่ชอบยัดเข้าไปมากจนไม่ลื่นไหลต่อในการเดินเรื่องที่ควรจะเป็นจุดขายของแนวนี้ แต่ยังดีที่มีปมวัยเด็กของตัว Jack ใส่เข้ามาทำให้ดูมีน้ำหนักขึ้นมาหน่อยนึง พอรองรับเหตุผลว่าทำไมเขาถึงกลายเป็นคนอย่างนี้ แต่ใส่มาแปปเดียว มันก็แสดงให้เห็นว่าตัว Jack มันก็ยังเป็นมนุษย์อยู่ แม้จิตวิญญาณจะมาไกลจากความเป็นคนจนกู่ไม่กลับไปแล้วก็ตาม ยิ่งช่วงองค์สุดท้ายนี้มาแบบหลุดโลกเวอร์วังอลังการ ซึ่งผมไม่ชอบเลย ส่วนฉากการฆ่าบางฉากที่ดูแล้วว่าโหดแน่ แต่ก็ตัดฉากไปเลย มันทำให้ลดความน่ากลัวลงไปเลย เ
อีกอย่างที่เสียดายคือช่วงท้ายไม่รู้ว่าตัวผู้กำกับคิดยังไงถึงเลือกสรุปไปแบบนั้น ผลงที่ได้คือมันออกไปแนวแฟนตาซี เทพนิยายปรัมปราไปจนงงว่าจะใส่เข้ามาทำไม พอดูไปแล้วความงงในงานอาร์ทสวย ๆ แล้วก็เข้าใจว่ามันเป็นน่าจะเป็นใจความสำคัญที่เป็นบทสรุปในเรื่องราวจากการกระทำทั้งหมดที่เชื่อมโยงในหลักเหตุและผลของกรรมนั่นแหล่ะ ซึ่งผมว่าฉากสุดท้ายนี้ถ้าตัดภาพความฟุ้มเฟื่อยของศิลปะออกไปนี้มันคือหนังสยองขวัญที่น่ากลัวอีกเรื่องนึงเลยเสียดายแทน เนื่องจากหนังเรื่องนี้ถูกแบนแล้ว แถมยังถูกแบ่งแยกจากผู้วิจารณ์ออกเป็น 2 ฝั่ง คนที่ชอบเรื่องนี้จะได้รับความโหด เลือดสาดคุ้มเกินคุ้ม แถมได้รับความงามเพ้อฝันในงานศิลปะเป็นของแถม แต่ถ้าคนไม่ชอบนี้คือเกลียดไปเลย แล้วย้อนถามตัวเองกลับว่ากูมาดูหนังอะไรวะ ไม่เห็นจะมีสาระอะไรนอกจากฆ่า ๆ กันอย่างเดียว ทั้งนี้แล้วแต่ความชอบของแต่ละคนครับ
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like กด Share ได้ที่เพจ True id Intrend ของผมชื่อ EMCONCEPT เพื่อเป็นกำลังใจในการรีวิวครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้