สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 15
ถ้าผมต้องรับคนเข้าทำงาน ผมไม่รับคนแบบนี้ครับ ต่อให้เก่งแค่ไหนก็อยู่กับเราไม่ทน
ทำงานแค่ไม่กี่เดือนก็เปลี่ยนงานแล้ว สอนงานไปหมด ยังไม่ได้ทำงานให้เราเลย
เหมือนกับแค่เข้ามาเรียนรู้งานเพื่อพัฒนาความสามารถของตัวเองเท่านั้น
เห็นแก่ตัวเกินไป เป็นภาระแก่ผู้สอนงานและผู้ร่วมงานคนอื่นด้วย
แต่ถ้าแบบทำงานที่ละ 2-3 ปีแล้วเปลี่ยนบ่อย อันนี้ผมรับพิจารณาครับ
ทำงานแค่ไม่กี่เดือนก็เปลี่ยนงานแล้ว สอนงานไปหมด ยังไม่ได้ทำงานให้เราเลย
เหมือนกับแค่เข้ามาเรียนรู้งานเพื่อพัฒนาความสามารถของตัวเองเท่านั้น
เห็นแก่ตัวเกินไป เป็นภาระแก่ผู้สอนงานและผู้ร่วมงานคนอื่นด้วย
แต่ถ้าแบบทำงานที่ละ 2-3 ปีแล้วเปลี่ยนบ่อย อันนี้ผมรับพิจารณาครับ
ความคิดเห็นที่ 12
ถ้าสะดวกทำแบบนี้ ก็ไม่มีอะไรผิดครับ แต่ในฐานะผู้บริหารองค์กร ถ้าผมเจอ CV แบบนี้มาอยู่ตรงหน้า ผมโยนทิ้งทันที่โดยไม่ต้องอ่านอะไรเพิ่มครับ เพราะ คุณไม่ได้มีความรู้หรือความชำนาญตรงไหนมาเติมให้กับองค์กรใดๆทั้งสิ้น กว่าบริษัทจะต้องเสียเวลาเสียเงินรับเข้ามา สอนงาน ยังไม่ทันไรไม่ทันเป็นงานด้วยซ้ำก็ออกแล้ว เสียเวลาผมครับ
ความคิดเห็นที่ 6
การจะเป็นพวกสายบ้าย้ายงาน มันไม่ได้เกี่ยวกับทนไม่ทนเพียงอย่างเดียว
เขาไม่ศรัทธากับองค์ความรู้ที่คุณมีครับ คุณอาจจะเป็นพวกโง่ๆบ้าๆ ที่ไปหลงเชื่อว่า การย้ายงานมันต้องอัพเงินเดือนดิวะ ไอเดียเนี้ยขายดี แต่ก่อนจะขายต้องประเมินประสิทธิภาพตัวเองก่อนจะย้ายเสมอครับว่า เพียงพอจะไปหรือยัง ไม่ใช่แบบย้ายโง่ๆ ความรู้ไม่ถึง
ดังนั้นการย้ายงานบ่อยไม่ได้การันตีหลอกนะว่า เงินเดือนคุณจะเพิ่ม เพราะเมื่อคุณเข้าไปแล้วทำงานไม่ได้คุณก็แค่โดนประเมินแย่ยัดหน้าแค่นั้นครับแล้วมันจะติดเป็นคดีติดตัว ซึ่งมันเป็นอะไรที่แย่มาก ถ้า HR บริษัทใหม่โทรไปเช็คกับบริษัทเก่าเพื่อขอโปรไฟล์ในการทำงานของคุณ คุณคิดว่าการที่คุณโดดดึ๋งๆ บ่อยๆ แล้วโดนสักที่ดิสเครดิตมาแค่ที่เดียว ชีวิตคุณก็อาจจะเสียโอกาศตลอดชีวิตเลยได้นะ
มันมีพวกนี้ขายไอเดีย แต่ผมอะเป็นคนที่ไม่อดทนหลอก แต่ผมอาศัยความขี้เกียจที่มีเป็นทุนตั้งต้น เพราะขี้เกียจสัมภาษณ์งานบ่อยๆ จะอยู่สักที่จนกว่าความรู้ผมจะอิ่ม
ผมเรียกเสต็บการเดินนี้ว่า เขย่ง ก้าว และ กระโดด ผมย้ายงาน สองครั้ง ผมแซงพวกที่ย้ายงาน ไม่ต่ำกว่า 4-6 ครั้ง คุณคิดว่าผมทำได้ไง
ผมรู้จักคำว่า การเรียนรู้ทั้งในตำรา และ นอกตำรา และ การคิดนอกกรอบ และ การเข้าใจโลกตามความเป็นจริง ดังนั้นผมจะคิดเยอะกว่าคนปกติ คิดหลายมิติกว่า
เพราะเวลาเราพร้อมสำหรับการทำงานอย่างเต็มที่คือมันตันแล้วจริงๆอะ แปลว่าพื้นฐานคุณแน่นมากๆแล้ว ขาคุณมีแรงมากพอที่จะกระโดดได้ไปแบบโคตรไกล แทนที่จะมาซอยขาบิดตูดนุ้งนิ้ง
มัวแต่ไปวิ่งๆ กระโดดตบดึ๋งๆ บางทีขาก็อาจจะหมดแรง เพราะกระโดดบ่อยเกินไปก็ได้ครับ ย้ายบอนั้นก็ไม่พอใจ อันนี้ก็ไม่ได้ โอ๊ยอันนี้ก็ไม่เอา สรุปคือหมดใจ คุณก็มีโอกาศไปก่อนพวกเลย
เพราะผมอะรู้ว่าถ้ามุ่งการงานมาสุดในสาย ยังไงสักวันผมก็ต้องตัน เพราะแค่จุดเริ่มต้นผมก็อยู่สะเกือบกลางทางแล้ว career path หลังจากนี้มันแทบจะไม่มีอะไรให้ย้ายงาน แล้วเขาไม่กล้าจ่ายเงินเดือนมากกว่าที่เราได้ในปัจจุบันแล้วครับ นั่นก็เรียกว่าจุดที่ตันแล้ว เราต้องมองหาผลประโยชน์ในรูปแบบอื่นจากบริษัทมากกว่า
ก็เงินเดือนเกือบแสนอะครับ ใครกล้าจ่ายบ้างอะ เพราะจ่ายต่ำกว่าก็ไม่ย้ายอยู๋แล้ว ถ้าไม่จ่ายสูงกว่าเพื่อซื้อตัว จ่ายเกิน 100K -> 150K บริษัทก็มีจุกครับ อนาคตมันเลยต้องมองผลประโยชน์ด้านอื่นแทนเช่น หุ้นส่วน ปันผล ชื่อเสียง ความมั่นคง
แค่ปรับความคิดเราจะเห็นว่า มันมีทั้งข้อดีและไม่ดีนั่นแหละ แล้วแบบไหนก็ไปถึงปลายทางเหมือนๆกันได้หมด แค่เล่นท่ายาก หรือ จะเล่นตีลังกาก็เอาเลย ผมมีทุกแผนในหัวแล้วอะหลังจากใช้เวลาศึกษา ผมไม่ใช่คนที่จะวิ่งเข้าบวก ผมจะเชิงดูอะไรหลายๆอย่าง แบบเงียบๆ สงบๆ ด้วยสติก่อน
เขาไม่ศรัทธากับองค์ความรู้ที่คุณมีครับ คุณอาจจะเป็นพวกโง่ๆบ้าๆ ที่ไปหลงเชื่อว่า การย้ายงานมันต้องอัพเงินเดือนดิวะ ไอเดียเนี้ยขายดี แต่ก่อนจะขายต้องประเมินประสิทธิภาพตัวเองก่อนจะย้ายเสมอครับว่า เพียงพอจะไปหรือยัง ไม่ใช่แบบย้ายโง่ๆ ความรู้ไม่ถึง
ดังนั้นการย้ายงานบ่อยไม่ได้การันตีหลอกนะว่า เงินเดือนคุณจะเพิ่ม เพราะเมื่อคุณเข้าไปแล้วทำงานไม่ได้คุณก็แค่โดนประเมินแย่ยัดหน้าแค่นั้นครับแล้วมันจะติดเป็นคดีติดตัว ซึ่งมันเป็นอะไรที่แย่มาก ถ้า HR บริษัทใหม่โทรไปเช็คกับบริษัทเก่าเพื่อขอโปรไฟล์ในการทำงานของคุณ คุณคิดว่าการที่คุณโดดดึ๋งๆ บ่อยๆ แล้วโดนสักที่ดิสเครดิตมาแค่ที่เดียว ชีวิตคุณก็อาจจะเสียโอกาศตลอดชีวิตเลยได้นะ
มันมีพวกนี้ขายไอเดีย แต่ผมอะเป็นคนที่ไม่อดทนหลอก แต่ผมอาศัยความขี้เกียจที่มีเป็นทุนตั้งต้น เพราะขี้เกียจสัมภาษณ์งานบ่อยๆ จะอยู่สักที่จนกว่าความรู้ผมจะอิ่ม
ผมเรียกเสต็บการเดินนี้ว่า เขย่ง ก้าว และ กระโดด ผมย้ายงาน สองครั้ง ผมแซงพวกที่ย้ายงาน ไม่ต่ำกว่า 4-6 ครั้ง คุณคิดว่าผมทำได้ไง
ผมรู้จักคำว่า การเรียนรู้ทั้งในตำรา และ นอกตำรา และ การคิดนอกกรอบ และ การเข้าใจโลกตามความเป็นจริง ดังนั้นผมจะคิดเยอะกว่าคนปกติ คิดหลายมิติกว่า
เพราะเวลาเราพร้อมสำหรับการทำงานอย่างเต็มที่คือมันตันแล้วจริงๆอะ แปลว่าพื้นฐานคุณแน่นมากๆแล้ว ขาคุณมีแรงมากพอที่จะกระโดดได้ไปแบบโคตรไกล แทนที่จะมาซอยขาบิดตูดนุ้งนิ้ง
มัวแต่ไปวิ่งๆ กระโดดตบดึ๋งๆ บางทีขาก็อาจจะหมดแรง เพราะกระโดดบ่อยเกินไปก็ได้ครับ ย้ายบอนั้นก็ไม่พอใจ อันนี้ก็ไม่ได้ โอ๊ยอันนี้ก็ไม่เอา สรุปคือหมดใจ คุณก็มีโอกาศไปก่อนพวกเลย
เพราะผมอะรู้ว่าถ้ามุ่งการงานมาสุดในสาย ยังไงสักวันผมก็ต้องตัน เพราะแค่จุดเริ่มต้นผมก็อยู่สะเกือบกลางทางแล้ว career path หลังจากนี้มันแทบจะไม่มีอะไรให้ย้ายงาน แล้วเขาไม่กล้าจ่ายเงินเดือนมากกว่าที่เราได้ในปัจจุบันแล้วครับ นั่นก็เรียกว่าจุดที่ตันแล้ว เราต้องมองหาผลประโยชน์ในรูปแบบอื่นจากบริษัทมากกว่า
ก็เงินเดือนเกือบแสนอะครับ ใครกล้าจ่ายบ้างอะ เพราะจ่ายต่ำกว่าก็ไม่ย้ายอยู๋แล้ว ถ้าไม่จ่ายสูงกว่าเพื่อซื้อตัว จ่ายเกิน 100K -> 150K บริษัทก็มีจุกครับ อนาคตมันเลยต้องมองผลประโยชน์ด้านอื่นแทนเช่น หุ้นส่วน ปันผล ชื่อเสียง ความมั่นคง
แค่ปรับความคิดเราจะเห็นว่า มันมีทั้งข้อดีและไม่ดีนั่นแหละ แล้วแบบไหนก็ไปถึงปลายทางเหมือนๆกันได้หมด แค่เล่นท่ายาก หรือ จะเล่นตีลังกาก็เอาเลย ผมมีทุกแผนในหัวแล้วอะหลังจากใช้เวลาศึกษา ผมไม่ใช่คนที่จะวิ่งเข้าบวก ผมจะเชิงดูอะไรหลายๆอย่าง แบบเงียบๆ สงบๆ ด้วยสติก่อน
แสดงความคิดเห็น
เปลี่ยงานถี่ ซึ่งทุกครั้งที่เปลี่ยนเงินเดือนเพิ่ม แต่ถูกมองว่าทำงานไม่ทน
ที่แรก 3 ปี
ที่ 2 6เดือน
ที่ 3 5เดือน
ซึ่งเงินเดือนอัพขึ้นทุกสเต็ปนะคะ ที่ที่4ก็เงินเดือนอัพไปอีก แต่จะมีคนรู้จักบางคน เขามองว่าจขกท.ทำงานไม่ทน
เลยคิดอยู่ว่าคิดถูกมั้ยที่เปลี่ยนงานเพราะอัพเงินแบบนี้
จขกท.เดินผิดทางอยู่รึเปล่าคะ
หรือควรทำสัก 1-2 ปีค่อยเปลี่ยนคะ