สวัสดีครับ นี่คือการรีวิวภาพยนตร์ครั้งแรกของผมครับ ผมชื่อ EM Pascal กิจกรรมที่ชื่อชอบมากที่สุด คือ การดูหนัง โดยส่วนตัวของผมดูภาพยนตร์ทุกแนวอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นแนวแอ็คชั่น สืบสวน สยองขวัญ วิทยาศาสตร์ แต่ที่สนใจเป็นพิเศษ คือ แนวอินดี้ นอกกระแส สายรางวัลรวมไปถึงใต้ดิน เพราะ เป็นหนังที่มีเสนห์มีเอกลักษณ์ของตัวเอง และ ไม่ค่อยมีคนพูดถึงมากนัก มาเข้าเรื่องกันเลยครับ เรื่องที่ผมรีวิวครั้งแรกนี้ก็คือเรื่อง Burning หนังดราม่า-ระทึกขวัญ สัญชาติเกาหลี ที่ออกฉายไปเมื่อปี 2018 คือ ตอนแรกผมไม่รู้จักหนังเรื่องนี้เลยว่าเนื้อเรื่องเป็นยังไง ใครแสดงบ้าง หรือ ใครกำกับ แต่พอเห็นว่าทางค่าย Documentary Club ที่ผมเป็นแฟนคลับขาประจำอยู่แล้วนำมาจัดฉายให้ชม ผมจึงตัดสินใจไปดูทันที
ดูจบแล้วรู้สึกสมองชาไปหมด คือ จะหัวเราะก็ไม่ออก จะเศร้าก็ไม่เศร้า อารมณ์คลุมเครือไปหมด มีเพียงแต่ความเย็นชาที่มันครอบงำทั้งโสตประสาทสัมผัส และ ภาพโมเมนต์ยังติดอยู่ในห้วงคำนึง ความคิดในสมองไปอย่างล่องลอย หม่นใจตลอด ซึ่งดูจากหน้าฉากจะเป็นเรื่องราวของคนสามคนที่มีความรัก ความผูกพันเข้ามาเกี่ยวข้องกันธรรมดาราวกับเราสองสามคนฉันรักเธอ แต่ที่จริงแล้วเบื้องหน้าที่สวยหรูเหล่านั้นกลับแฝงไปด้วยความลึกลับ ความสงสัย ตัณหาราคะ ซ่อนเร้นอยู่ทุกอณุของหัวใจอย่างเลือดเย็น ตัวหนังว่าด้วยพล็อตที่ดูธรรมดาสามัญชนทั่วไป แต่การดำเนินเรื่องไม่ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ เพราะ การดำเนินเรื่องจะดำเนินเรื่องไปแบบนิ่งๆ เรื่อยๆ แล้วจะค่อยๆไต่ระดับความระทึกทีละขั้น เล่นจิตใจคนดูเล่นๆ สอดแทรกนัยยะสำคัญแฝงไว้อย่างแยบยล สกอร์ดนตรีประกอบจังหวะมีนิดเดียว แต่โผล่เสียงแต่ละฉากเข้ากันกับบรรยากาศความเงียบเรียบ ๆ เอื่อย ๆ บวกกับพฤติกรรมของตัวละครที่ดูปกติแต่ก็ไม่ปกติซะเท่าไหร่ก็ช่วยสร้างบรรยากาศความผวา ระแวงกลัวได้วังเวงดีเหมือนกัน
ประเด็นของหนังที่สื่อแข็งแรงมาก สามารถสะท้อนถึงวิถีชีวิตคนในสังคมที่ชอบหน้าไหว้หลังหลอกกันตรง ๆ แถมจิกกัดความเน่าเฟะของความโลกสวยในสังคมปัจจุบันได้น่าขยะแขยง เช่น ความไม่เท่าเทียมกันทางฐานะชนชั้น การศึกษา อาชีพการงาน อาหารการกิน การแต่งกาย และ การอยู่ร่วมกันทางสังคม ที่เปรียบดั่งสุภาษิตไทยว่า สวยแต่รูป จูบไม่หอม คือมองว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเห็นบนโลกนี้นั้นล้วนแต่อนิจจัง ไม่เที่ยงแท้ สิ่งที่เห็นอาจไม่ใช่สิ่งที่เป็นจริงก็ได้ ซึ่งมันชัดเจนที่ว่าทำไมถึงตอกย้ำความจริงกันแบบไม่แยแสความรู้สึก ไม่มีความเห็นอกเห็นใจกันจริง ๆ มันเหมือนโดนแท่งเหล็กค่อยๆเสียบเข้าไปในร่างกายเราอย่างช้าๆ มันเจ็บถึงหัวใจมาก ไม่มีความโลกสวยในโลกแห่งความจริงสุดโหดร้ายหรอก
ขณะเดียวกันหนังก็ได้สอนให้เราได้เรียนรู้ถึงการยอมรับ เข้าใจ การหลุดพ้นจากบ่วงบาป ด้วยการให้อภัยแก่ทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วปล่อยวางไปในเมื่อทุกอย่างรอบตัวเรามันเลวร้าย เราก็แค่จัดการที่ตัวของเรานั้นเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่สามารถตอบโจทย์ในประเด็นของบริบทความแตกต่างในสังคมออกมาเป็นรูปธรรม และ นามธรรมท่ามกลางความขัดแย้งทางศีลธรรมในใจได้ยอดเยี่ยม แต่บางจุดในหนังไม่เคลียร์ในบางสาเหตุ หลายประเด็นที่ยังคงค้างคาใจ เช่น ที่อยู่ๆตัวละครนั้นโผล่มาตั้งแต่เริ่มเรื่อง ก็หายไปเฉย ซึ่งเป็นตัวแปรสำคัญในเรื่องด้วย ไปไม่ลา มาไม่ไหว้ ไลน์ไม่ตอบซะงั้น สร้างความงงงวยพร้อมกับพระเอกที่ปล่อยให้เป็นปริศนาธรรมกันต่อไป บางช่วงเนือบนาบบ้าง ถึงเกือบวูบหลับไป
ความที่ตัวหนังยาวถึง 2 ชั่วโมง 28 นาที ที่มีรายละเอียดค่อนข้างลึกที่ต้องใช้เวลาเก็บข้อมูลเชิงลึก ดีที่ช่วงหลังมีฉากลุ้นระทึกที่ช่วยฉุดรั้งสติจากความง่วงได้บ้าง ไม่มีฉากที่พีคที่กระชากอารมณ์มาก แต่มีภาพจำแต่ละฉากในหนัง อย่างคำพูดบทสนทนาของตัวนำเรื่องแต่ละประโยคที่เชือดเฉือนกันเป็นใจความสำคัญที่มีเลศนัย ชวนน่าติดตาม หนังมีความอาร์ตสูงในการใช้พลังในการเข้าถึงจิตวิญญาณของความเป็นมนุษย์ทีแสดงถึงความรัก โลภ โกรธ หลง ไม่ว่าจะเป็นคนชนชั้นใด ต่างมีความรู้สึกนี้ทุกคน ทุกคนต่างมีไฟในใจที่รอวันประกายฉายแสงเรืองรอง เพื่อพร้อมที่จะเผาผลาญทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้าให้ไหม้เป็นจุณ ขึ้นอยู่กับว่าสภาพแวดล้อมจะผลักดันให้ชีวิตเปลี่ยนไปในทิศทางไหน เพราะ มันคือกฎของธรรมชาติ ตามที่ตัวละครในเรื่องได้กล่าวถึงประมาณนี้ คือ ฟังแล้วรู้สึกสงสัย เคลือบแคลงอยู่ในใจว่าต้องการสื่อถึงอะไร แต่มันคือความจริงที่ไม่อาจปฎิเสธได้ เราทำได้แค่เพียงยอมรับ เข้าใจ และปล่อยไปตามยถากรรมในสิ่งที่มันจะต้องเกิดขึ้นนั่นเอง
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like กด Share ได้ที่เพจ True id Intrend ของผมชื่อ EMCONCEPT เพื่อเป็นกำลังใจในการรีวิวครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
[CR] No.1 Burning : มิใช่ทุกรอยแผลเป็นที่เห็นชัดได้ บางครั้งความเจ็บปวดก็ไม่ตื้นเขินพอที่จะมองเห็น
สวัสดีครับ นี่คือการรีวิวภาพยนตร์ครั้งแรกของผมครับ ผมชื่อ EM Pascal กิจกรรมที่ชื่อชอบมากที่สุด คือ การดูหนัง โดยส่วนตัวของผมดูภาพยนตร์ทุกแนวอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นแนวแอ็คชั่น สืบสวน สยองขวัญ วิทยาศาสตร์ แต่ที่สนใจเป็นพิเศษ คือ แนวอินดี้ นอกกระแส สายรางวัลรวมไปถึงใต้ดิน เพราะ เป็นหนังที่มีเสนห์มีเอกลักษณ์ของตัวเอง และ ไม่ค่อยมีคนพูดถึงมากนัก มาเข้าเรื่องกันเลยครับ เรื่องที่ผมรีวิวครั้งแรกนี้ก็คือเรื่อง Burning หนังดราม่า-ระทึกขวัญ สัญชาติเกาหลี ที่ออกฉายไปเมื่อปี 2018 คือ ตอนแรกผมไม่รู้จักหนังเรื่องนี้เลยว่าเนื้อเรื่องเป็นยังไง ใครแสดงบ้าง หรือ ใครกำกับ แต่พอเห็นว่าทางค่าย Documentary Club ที่ผมเป็นแฟนคลับขาประจำอยู่แล้วนำมาจัดฉายให้ชม ผมจึงตัดสินใจไปดูทันที
ดูจบแล้วรู้สึกสมองชาไปหมด คือ จะหัวเราะก็ไม่ออก จะเศร้าก็ไม่เศร้า อารมณ์คลุมเครือไปหมด มีเพียงแต่ความเย็นชาที่มันครอบงำทั้งโสตประสาทสัมผัส และ ภาพโมเมนต์ยังติดอยู่ในห้วงคำนึง ความคิดในสมองไปอย่างล่องลอย หม่นใจตลอด ซึ่งดูจากหน้าฉากจะเป็นเรื่องราวของคนสามคนที่มีความรัก ความผูกพันเข้ามาเกี่ยวข้องกันธรรมดาราวกับเราสองสามคนฉันรักเธอ แต่ที่จริงแล้วเบื้องหน้าที่สวยหรูเหล่านั้นกลับแฝงไปด้วยความลึกลับ ความสงสัย ตัณหาราคะ ซ่อนเร้นอยู่ทุกอณุของหัวใจอย่างเลือดเย็น ตัวหนังว่าด้วยพล็อตที่ดูธรรมดาสามัญชนทั่วไป แต่การดำเนินเรื่องไม่ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ เพราะ การดำเนินเรื่องจะดำเนินเรื่องไปแบบนิ่งๆ เรื่อยๆ แล้วจะค่อยๆไต่ระดับความระทึกทีละขั้น เล่นจิตใจคนดูเล่นๆ สอดแทรกนัยยะสำคัญแฝงไว้อย่างแยบยล สกอร์ดนตรีประกอบจังหวะมีนิดเดียว แต่โผล่เสียงแต่ละฉากเข้ากันกับบรรยากาศความเงียบเรียบ ๆ เอื่อย ๆ บวกกับพฤติกรรมของตัวละครที่ดูปกติแต่ก็ไม่ปกติซะเท่าไหร่ก็ช่วยสร้างบรรยากาศความผวา ระแวงกลัวได้วังเวงดีเหมือนกัน
ประเด็นของหนังที่สื่อแข็งแรงมาก สามารถสะท้อนถึงวิถีชีวิตคนในสังคมที่ชอบหน้าไหว้หลังหลอกกันตรง ๆ แถมจิกกัดความเน่าเฟะของความโลกสวยในสังคมปัจจุบันได้น่าขยะแขยง เช่น ความไม่เท่าเทียมกันทางฐานะชนชั้น การศึกษา อาชีพการงาน อาหารการกิน การแต่งกาย และ การอยู่ร่วมกันทางสังคม ที่เปรียบดั่งสุภาษิตไทยว่า สวยแต่รูป จูบไม่หอม คือมองว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเห็นบนโลกนี้นั้นล้วนแต่อนิจจัง ไม่เที่ยงแท้ สิ่งที่เห็นอาจไม่ใช่สิ่งที่เป็นจริงก็ได้ ซึ่งมันชัดเจนที่ว่าทำไมถึงตอกย้ำความจริงกันแบบไม่แยแสความรู้สึก ไม่มีความเห็นอกเห็นใจกันจริง ๆ มันเหมือนโดนแท่งเหล็กค่อยๆเสียบเข้าไปในร่างกายเราอย่างช้าๆ มันเจ็บถึงหัวใจมาก ไม่มีความโลกสวยในโลกแห่งความจริงสุดโหดร้ายหรอก
ขณะเดียวกันหนังก็ได้สอนให้เราได้เรียนรู้ถึงการยอมรับ เข้าใจ การหลุดพ้นจากบ่วงบาป ด้วยการให้อภัยแก่ทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วปล่อยวางไปในเมื่อทุกอย่างรอบตัวเรามันเลวร้าย เราก็แค่จัดการที่ตัวของเรานั้นเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่สามารถตอบโจทย์ในประเด็นของบริบทความแตกต่างในสังคมออกมาเป็นรูปธรรม และ นามธรรมท่ามกลางความขัดแย้งทางศีลธรรมในใจได้ยอดเยี่ยม แต่บางจุดในหนังไม่เคลียร์ในบางสาเหตุ หลายประเด็นที่ยังคงค้างคาใจ เช่น ที่อยู่ๆตัวละครนั้นโผล่มาตั้งแต่เริ่มเรื่อง ก็หายไปเฉย ซึ่งเป็นตัวแปรสำคัญในเรื่องด้วย ไปไม่ลา มาไม่ไหว้ ไลน์ไม่ตอบซะงั้น สร้างความงงงวยพร้อมกับพระเอกที่ปล่อยให้เป็นปริศนาธรรมกันต่อไป บางช่วงเนือบนาบบ้าง ถึงเกือบวูบหลับไป
ความที่ตัวหนังยาวถึง 2 ชั่วโมง 28 นาที ที่มีรายละเอียดค่อนข้างลึกที่ต้องใช้เวลาเก็บข้อมูลเชิงลึก ดีที่ช่วงหลังมีฉากลุ้นระทึกที่ช่วยฉุดรั้งสติจากความง่วงได้บ้าง ไม่มีฉากที่พีคที่กระชากอารมณ์มาก แต่มีภาพจำแต่ละฉากในหนัง อย่างคำพูดบทสนทนาของตัวนำเรื่องแต่ละประโยคที่เชือดเฉือนกันเป็นใจความสำคัญที่มีเลศนัย ชวนน่าติดตาม หนังมีความอาร์ตสูงในการใช้พลังในการเข้าถึงจิตวิญญาณของความเป็นมนุษย์ทีแสดงถึงความรัก โลภ โกรธ หลง ไม่ว่าจะเป็นคนชนชั้นใด ต่างมีความรู้สึกนี้ทุกคน ทุกคนต่างมีไฟในใจที่รอวันประกายฉายแสงเรืองรอง เพื่อพร้อมที่จะเผาผลาญทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้าให้ไหม้เป็นจุณ ขึ้นอยู่กับว่าสภาพแวดล้อมจะผลักดันให้ชีวิตเปลี่ยนไปในทิศทางไหน เพราะ มันคือกฎของธรรมชาติ ตามที่ตัวละครในเรื่องได้กล่าวถึงประมาณนี้ คือ ฟังแล้วรู้สึกสงสัย เคลือบแคลงอยู่ในใจว่าต้องการสื่อถึงอะไร แต่มันคือความจริงที่ไม่อาจปฎิเสธได้ เราทำได้แค่เพียงยอมรับ เข้าใจ และปล่อยไปตามยถากรรมในสิ่งที่มันจะต้องเกิดขึ้นนั่นเอง
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like กด Share ได้ที่เพจ True id Intrend ของผมชื่อ EMCONCEPT เพื่อเป็นกำลังใจในการรีวิวครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้