แอนิเมชั่นมูฟวี่สัญชาติเกาหลีที่จะบอกเล่าเรื่องราวที่มาที่ไปก่อนจะเป็น #TrainToBusan บอกเล่าเรื่องราวของพ่อที่ตามหาลูกสาวที่ออกจากบ้านและไปพบว่าเธอขายบริการทางเพศ แต่เกิดเหตุการณ์ประหลาดเมื่อคนไร้บ้าน (Homeless Man) ที่อาศัยอยู่ในสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินได้ฟื้นขึ้นจากความตายและไล่กัดคนอื่นจนกลายเป็นซอมบี้ ความโกลาหลที่หน่วยงานในกรุงโซลพยายามจะควบคุมสถานการณ์ หายนะเริ่มเข้าใกล้ตัวเข้าทุกที นี่จึงเป็นอีก 1 เกมชีวิตที่ลูกสาว "ฮเยซัน" พ่อของเธอ และแฟนหนุ่มของเธอจะต้องเอาชีวิตรอดจากการตามล่าของซอมบี้ที่มีมากขึ้นอย่างทวีคูณให้ได้
สิ่งที่ชอบที่สุดใน Seoul Station สำหรับบีนะ มันคือการใส่นัยยะลงในหนังที่แยบยลและจิกกัดสังคมแบบเจ็บแสบมาก ใน Train To Busan ตีแตกแหกปัญหาสังคมยังไง เรื่องนี้ก็ตีจนแหกไม่แพ้กัน แต่ใช้ประเด็นในเรื่องที่แตกต่างกันออกไป มันคือนัยยะที่มีจริงในสังคม(ทั้งเกาหลี ทั้งไทย และเชื่อว่าทุกสังคมเล็กใหญ่ มันก็มี) อย่างเช่น ชนชั้นในสังคม สันชาตญาณดิบในใจคน ยันเรื่องเพศที่บีก็ไม่คิดว่าเขาจะนำประเด็นนี้มาอยู่ในหนังด้วย
คนโลกสวยจะไม่ชอบแน่ๆ เพราะ Seoul Station เน้นความดาร์ค&หม่นหมอง ตั้งแต่ประเด็นที่นำมาขยี้ พลอตการดำเนินเรื่อง และทีมผู้สร้างยังฝังความดาร์ตนี้ลงไปในลายเส้นของการ์ตูนที่ดูหยาบแต่มันก็ช่วยเสริมความดาร์คของหนังได้ดี หนังไม่ใสๆนะคะ มีความเลือดสาดในแบบการ์ตูนและสิ่งที่คุณไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้น คุณต้องประหลาดใจในสิ่งที่คุณจะเจอใน 92 นาทีที่ดูหนังไม่มากก็น้อยค่ะ พูดเลย!
แต่!!! สำหรับบีนะ Seoul Station มีแรงดึงดูดไม่ตลอดรอดฝั่งเหมือน Train To Busan ที่รายนั้นจิกเบาะลุ้นจนต้องเกร็งตลอดทริป เพราะมีพาร์ทหน่วงบ้าง บางการกระทำก็ไม่เข้าใจว่ทำทำไมและตัวละครบางช่วงก็ทำอะไรที่มันไม่ Make Sense เอาเสียเลยนอกนั้น งานหอบค่ะ ซอมบี้ยังคงวิ่งเร็วเป็นเจ้าเหรียญทองโอลิมปิก (Ghost) เกมอีกเช่นเคย 😂🙈
นอกเหนือจากนั้น สิ่งที่บีอยากชื่นชมทีมงานคือโปรดักชั่นค่ะ ... ตอน Train To Busan งานโปรดักชั่นละเอียดมาก Seoul Station ก็ละเอียดไม่แพ้กันเพราะฉากส่วนใหญ่ในหนังใช้เทคนิคถ่าย Footage ในโซลจริงๆมาถอดเป็นลายเส้นอีกที และยังคงขายความเป็นเกาหลีเหมือนเคย เพราะตัวฉากของสถานีโซลที่ทุกคนจะได้ดูนั้น ทีมงานต้องไปถ่ายทำจากสถานีจริงๆแล้วมาเทียบสเกลลงเป็นภาพวาดอีกที หากจะพูดว่า Train To Busan คือการถอดภาพแอนิเมชั่นให้กลายเป็นภาพยนตร์ที่มีชีวิต Seoul Station ก็คือการบันทึกสิ่งที่อยู่ในโลกความจริงลงไปเป็นภาพวาดที่มีความสมจริงอยู่ในนั้น
สรุปคือทั้ง #TrainToBusan & #SeoulStation คือสิ่งที่ไม่ควรพลาด ยิ่งดูเรื่องนึงมาแล้ว ยิ่งไม่ควรพลาดเพราะที่มาที่ไปจะอยู่ที่สถานีโซลแห่งนี้ แม้ว่าที่มาที่ไปจะดูไม่ได้เจาะลึกอย่างที่คาดไว้ แต่ก็ทำให้รู้ว่าทำไมใน Train To Busan จึงเกิดบริบทเสริมหนังมากมาย คำตอบจะอยู่ที่ Seoul Station ค่ะ
และคำถามที่หลายคนอยากรู้ ... ความเชื่อมโยงของ #SeoulStation และ #TrainToBusan ... เคยเขียนแล้ว อยากให้อ่านและตีความดีๆแบบคำต่อคำค่ะ จะเข้าใจได้เอง 😅🙊 >> [Mini-Scoop] ความเชื่อมโยงระหว่าง #SeoulStation และ #TrainToBusan ผ่านตัวละคร "ฮเยซัน"
https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=946788185430523&id=114023512040332 #มีความเป็นSymbolสูงมาก
ตอนจบ ... พีคจนต้องสบถ แอบเดาได้แต่ก็อุทานคุณพระอยู่ดี! 😂
สิ่งที่อยากฝากไว้ : น่ากลัวกว่าซอมบี้ก็มีแต่จิตใจของมนุษย์นี่แหละ คนเรามีความเห็นแก่ทุกคน(มีทุกคนจริงๆ) มีมากมีน้อยก็แปรผันตามจิตสำนึก มีมากไปมันก็ไม่ต่างไปจากซอมบี้ที่คอยล่าเหยื่อเพื่อเลือดและเนื้อหนังดีๆหรอก ...
แล้วคุณเป็นแบบไหน?
คะแนนประเมิน : 7.5/10
Nubeever
2016.09.14
ปล. ไม่ Panic แล้วค่ะ Train To Busan สอนมาดีมีความสตรองสูงมากแล้ว *กงยูโอปป้าประทับร่าง* 😂😂😂
ปล. 2 ... ด้วยความที่ตอนนั้นรีวิวตั้งแต่หนังยังไม่เริ่มฉายเพราะอยู่ในช่วงของนักวิจารณ์ทำรีวิวพอดี นับเป็นอีกประสบการณ์ที่รีวิวของตัวเองได้ไปอยู่ในรูปของการโปรโมตด้วย
[Mini-Review/Repost] Seoul Station ก่อนนรกซอมบี้คลั่ง (Korean Movie 2016)
สิ่งที่ชอบที่สุดใน Seoul Station สำหรับบีนะ มันคือการใส่นัยยะลงในหนังที่แยบยลและจิกกัดสังคมแบบเจ็บแสบมาก ใน Train To Busan ตีแตกแหกปัญหาสังคมยังไง เรื่องนี้ก็ตีจนแหกไม่แพ้กัน แต่ใช้ประเด็นในเรื่องที่แตกต่างกันออกไป มันคือนัยยะที่มีจริงในสังคม(ทั้งเกาหลี ทั้งไทย และเชื่อว่าทุกสังคมเล็กใหญ่ มันก็มี) อย่างเช่น ชนชั้นในสังคม สันชาตญาณดิบในใจคน ยันเรื่องเพศที่บีก็ไม่คิดว่าเขาจะนำประเด็นนี้มาอยู่ในหนังด้วย
คนโลกสวยจะไม่ชอบแน่ๆ เพราะ Seoul Station เน้นความดาร์ค&หม่นหมอง ตั้งแต่ประเด็นที่นำมาขยี้ พลอตการดำเนินเรื่อง และทีมผู้สร้างยังฝังความดาร์ตนี้ลงไปในลายเส้นของการ์ตูนที่ดูหยาบแต่มันก็ช่วยเสริมความดาร์คของหนังได้ดี หนังไม่ใสๆนะคะ มีความเลือดสาดในแบบการ์ตูนและสิ่งที่คุณไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้น คุณต้องประหลาดใจในสิ่งที่คุณจะเจอใน 92 นาทีที่ดูหนังไม่มากก็น้อยค่ะ พูดเลย!
แต่!!! สำหรับบีนะ Seoul Station มีแรงดึงดูดไม่ตลอดรอดฝั่งเหมือน Train To Busan ที่รายนั้นจิกเบาะลุ้นจนต้องเกร็งตลอดทริป เพราะมีพาร์ทหน่วงบ้าง บางการกระทำก็ไม่เข้าใจว่ทำทำไมและตัวละครบางช่วงก็ทำอะไรที่มันไม่ Make Sense เอาเสียเลยนอกนั้น งานหอบค่ะ ซอมบี้ยังคงวิ่งเร็วเป็นเจ้าเหรียญทองโอลิมปิก (Ghost) เกมอีกเช่นเคย 😂🙈
นอกเหนือจากนั้น สิ่งที่บีอยากชื่นชมทีมงานคือโปรดักชั่นค่ะ ... ตอน Train To Busan งานโปรดักชั่นละเอียดมาก Seoul Station ก็ละเอียดไม่แพ้กันเพราะฉากส่วนใหญ่ในหนังใช้เทคนิคถ่าย Footage ในโซลจริงๆมาถอดเป็นลายเส้นอีกที และยังคงขายความเป็นเกาหลีเหมือนเคย เพราะตัวฉากของสถานีโซลที่ทุกคนจะได้ดูนั้น ทีมงานต้องไปถ่ายทำจากสถานีจริงๆแล้วมาเทียบสเกลลงเป็นภาพวาดอีกที หากจะพูดว่า Train To Busan คือการถอดภาพแอนิเมชั่นให้กลายเป็นภาพยนตร์ที่มีชีวิต Seoul Station ก็คือการบันทึกสิ่งที่อยู่ในโลกความจริงลงไปเป็นภาพวาดที่มีความสมจริงอยู่ในนั้น
สรุปคือทั้ง #TrainToBusan & #SeoulStation คือสิ่งที่ไม่ควรพลาด ยิ่งดูเรื่องนึงมาแล้ว ยิ่งไม่ควรพลาดเพราะที่มาที่ไปจะอยู่ที่สถานีโซลแห่งนี้ แม้ว่าที่มาที่ไปจะดูไม่ได้เจาะลึกอย่างที่คาดไว้ แต่ก็ทำให้รู้ว่าทำไมใน Train To Busan จึงเกิดบริบทเสริมหนังมากมาย คำตอบจะอยู่ที่ Seoul Station ค่ะ
และคำถามที่หลายคนอยากรู้ ... ความเชื่อมโยงของ #SeoulStation และ #TrainToBusan ... เคยเขียนแล้ว อยากให้อ่านและตีความดีๆแบบคำต่อคำค่ะ จะเข้าใจได้เอง 😅🙊 >> [Mini-Scoop] ความเชื่อมโยงระหว่าง #SeoulStation และ #TrainToBusan ผ่านตัวละคร "ฮเยซัน" https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=946788185430523&id=114023512040332 #มีความเป็นSymbolสูงมาก
ตอนจบ ... พีคจนต้องสบถ แอบเดาได้แต่ก็อุทานคุณพระอยู่ดี! 😂
สิ่งที่อยากฝากไว้ : น่ากลัวกว่าซอมบี้ก็มีแต่จิตใจของมนุษย์นี่แหละ คนเรามีความเห็นแก่ทุกคน(มีทุกคนจริงๆ) มีมากมีน้อยก็แปรผันตามจิตสำนึก มีมากไปมันก็ไม่ต่างไปจากซอมบี้ที่คอยล่าเหยื่อเพื่อเลือดและเนื้อหนังดีๆหรอก ...
แล้วคุณเป็นแบบไหน?
คะแนนประเมิน : 7.5/10
Nubeever
2016.09.14
ปล. ไม่ Panic แล้วค่ะ Train To Busan สอนมาดีมีความสตรองสูงมากแล้ว *กงยูโอปป้าประทับร่าง* 😂😂😂
ปล. 2 ... ด้วยความที่ตอนนั้นรีวิวตั้งแต่หนังยังไม่เริ่มฉายเพราะอยู่ในช่วงของนักวิจารณ์ทำรีวิวพอดี นับเป็นอีกประสบการณ์ที่รีวิวของตัวเองได้ไปอยู่ในรูปของการโปรโมตด้วย