The Whale: เหงาเท่าวาฬ
" Darren Aronofsky เคยส่ง Natalie Portman คว้าออสการ์นักแสดงนำหญิงมาแล้ว... มาลุ้นกันว่า Brendan Fraser จะคว้าออสการ์ตัวแรกในชีวิตของเขาได้ไหม "
สวัสดีครับ ! ล่าสุดภาพยนตร์เรื่อง
The Whale (2022) ของ
Darren Aronofsky ผู้กำกับที่มีผลงานออสการ์ชื่อดังอย่าง
Requiem for a Dream (2000), The Wrestler (2008), Black Swan (2010) ได้เข้าฉาย แถมยังเป็นการกลับมาครั้งยิ่งใหญ่ของ
Brendan Fraser อดีตพระเอกขวัญใจชาวโลกยุค 90 ที่หายจากวงการฮอลลีวู้ดมานาน
ดีกรีหนังได้รับกระแสวิจารณ์แง่บวก ทั้งยังไปไกลด้วยการเข้าชิงออสการ์ถึง 3 รางวัล ได้แก่
นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม (Brendan Fraser), นักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม (Hong Chau) และแต่งหน้ายอดเยี่ยม (Makeup and Hairstyling)
กล่าวมาถึงขนาดนี้แล้ว ก็ขอตัดเข้ารีวิวเลยแล้วกัน หวังว่าทุกคนจะชอบในรีวิวนะครับ !
เรื่องย่อ
The Whale เหงาเท่าวาฬ | Official Trailer ซับไทย
ชาลี (Brendan Fraser) อาจารย์ภาษาอังกฤษซึ่งป่วยเป็นโรคอ้วนขั้นรุนแรง และรู้ตัวเองดีว่า เวลาที่เหลือของเขากำลังจะหมดลงในไม่ช้า เขาได้ใช้ความพยายามครั้งสุดท้ายของชีวิต เพื่อยุติรอยร้าวของเขาและครอบครัว แต่หนทางมักไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เมื่อความระหองระแหงของครอบครัวที่ถูกเขาทิ้งไปเนิ่นนาน กลับกลายเป็นบาดแผลที่มิอาจรักษาได้ ความพยายามครั้งสุดท้ายของเขา จะเป็นผลหรือไม่
(Credit - Pantip)
ความรู้สึกหลังชม
- จุดชื่นชมแรก รู้สึกอยากชื่นชมค่าย
A24 ที่ยังคงผลิตผลงานคุณภาพสูงมาประดับในวงการมากมาย เช่น ในปีที่แล้ว (2022) มีตั้งแต่
Everything Everywhere All at Once, After Sun มาจนถึงเรื่อง
The Whale และ
Close (กำลังจะเข้าฉายในสัปดาห์หน้า) แม้ภาพยนตร์ที่ผลิตออกมาจาก A24 จะไม่แมสหรือมีความ Commercial ในวงกว้าง แต่หนังจากค่ายนี้มักมีมุมมองที่น่าสนใจ ซึ่งช่วยยกระดับศิลปะภาพยนตร์ให้ดียิ่งกว่าเดิม
นอกจากนี้ สไตล์ภาพยนตร์แบบ
The Whale เป็นสไตล์ถนัดของ
Darren Aronofsky ดาร์เรนถนัดในการทำหนังเจาะลึกตัวตน (ทั้งด้านมืดและด้านสว่าง) แต่ละปัจเจกบุคคล ผสมกับ Psychological Drama & Thriller ทำให้หนังของเขามีโทนลึก มีความน่าค้นหา
นี่จึงเป็นความน่าสนใจแรกของตัวหนัง ค่ายหนังที่ดีและผู้กำกับหนังที่ดี ย่อมทำให้งานที่ออกมามีน่าสนใจเป็นพิเศษ !
เบรนแดน เฟรเซอร์ ในบทชาลี ชายผู้จมอยู่กับความทุกข์โศกจากการสูญเสียคนรัก
- ความรู้สึกหลังจากดูจบ รู้สึกว่า
"คุ้มค่าที่ได้รับชม" หนังพาเราไปสำรวจภาวะล่มสลายของจิตใจชายคนหนึ่ง (ชาลี) ที่สูญเสียคนรัก ขณะเดียวกันชายคนนั้นก็มีสถานะเป็นพ่อของลูกที่รู้สึกผิดตลอดเวลาจากการที่ไม่มีโอกาสได้เลี้ยงเธอและให้ความอบอุ่นอย่างที่ควรจะเป็น
การจมปลักกับความสูญเสียทำให้ชาลีกินมากขึ้นเรื่อย ๆ จนมีน้ำหนักหลายร้อยกิโล และส่งผลให้เขามีอาการหัวใจล้มเหลว สามารถเสียชีวิตได้ทุกเมื่อ แถมเจ้าตัวยังไปโรงพยาบาลไม่ได้ เพราะไม่มีประกันสุขภาพ (ไปแล้วหมดตัวแน่นอน)
หนังเรื่องนี้ถ่ายทอดการไถ่บาปของชาลี ผู้น่าเวทนา และทำให้เราต้องไปลุ้นกันว่า
"ความรู้สึกผิดของเขาจะได้รับการไถ่ถอนไหม จากเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เข้ามา ขณะที่นาฬิกาชีวิตก็กำลังนับถอยหลัง"... ประเด็นหนักหน่วงสุด ๆ 😅
- ส่วนการดำเนินเรื่อง หนังทำได้น่าติดตาม เช่น การแทรกปมประเด็นและ Symbol ไว้รายทาง เพื่อทำให้เราสงสัยอยากรู้ต่อว่าเรื่องราวจะเป็นอย่างไร โดยรวม หนังนำเสนอได้ดิ่งลึกและคมคาย ยิ่งพอเข้าช่วงดราม่าหนักหรือช่วง Climax ในท้ายเรื่อง เชื่อว่าหนังทำให้ทุกคนน้ำตาซึมได้ไม่ยาก (ผมเองก็น้ำตาซึมเหมือนกัน 😭)
- จุดหนึ่งที่เพิ่มความสร้างสรรค์ให้กับหนัง คือ จริง ๆ แล้ว
The Whale ถูกดัดแปลงมาจากบทของละครเวที หนังยืมมุมมองละครเวทีมาใช้ พื้นที่หลักในเรื่องเป็นห้องของชาลี พร้อมกับมีตัวละครแต่ละตัวสลับสับเปลี่ยนกันเข้ามาต่อบทขับเคลื่อนเรื่องราว โดยมีชาลีเป็นศูนย์กลางเรื่องปักหลักอยู่กลางห้อง
ตรงนี้ดูครีเอทดี ถือว่าผู้กำกับมีวิสัยทัศน์แจ๋วในการเปลี่ยนละครเวทีให้มาอยู่ในบริบทภาพยนตร์
ฮอง เชา ในบทลิซ พยาบาลและเพื่อนคนเดียวของชาลี
- หนังมีโทน Thriller ซึ่งช่วยสร้างความแปลกและกระตุ้นความน่าสนใจให้กับผู้ชม ตัวชาลีมีน้ำหนักหลายร้อยกิโล ทำให้หลายครั้งเขาดูไม่เหมือนมนุษย์ แต่เป็นอสุรกาย (หรือวาฬยักษ์) ที่น่าสะพรึงกลัว น่าเวทนา หนังใช้มุมกล้องและดนตรีประกอบเพิ่มความน่าสะพรึงให้กับชาลีได้ดีเยี่ยม
- ซีนที่ประทับใจ รู้สึกชอบซีนที่อ่านบทกลอน / เรียงความเรื่อง
Moby-Dick นัยยะของเรียงความที่อ่านมีอิมแพ็คกับเรื่องสูงมาก ทั้งยังมีผลอย่างใหญ่หลวงในช่วง Climax ท้ายเรื่อง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้อีก Symbol ที่ชอบ คือ สังเกตว่าตลอดทั้งเรื่องฝนตกกับฟ้าหม่นตลอดเวลา แต่ในตอนท้ายเรื่อง ขณะที่ชาลีกำลังจะตาย ท้องฟ้ากลับสดใสสว่างจ้า เหมือนว่าเขากำลังจะพ้นทุกข์แล้ว... หนังเปรียบเปรยได้งดงาม
- สำหรับมุมนักแสดง
"Brendon Fraser is the best." เบรนแดนแสดงได้ยอดเยี่ยมจนน่าหยิบออสการ์ประเคนใส่มือ คนที่สองที่น่าประทับใจ ขอยกให้
Hong Chau อินเนอร์มาเต็ม ชอบเวลาเธอน้ำตาไหล เนียนเป็นธรรมชาติเหมือนสั่งได้ สมกับที่เข้าชิงออสการ์
ส่วนอีกคนที่อยากให้เครดิต คือ
Sadie Sink ในบทลูกสาวของชาลี ถือว่าโดดเด่นและแสดงร่วมกับแบรนดอนได้เยี่ยมชนิดไม่เป็นรอง ดูแล้วน้องน่าจะมีอนาคตไกล !
Sadie Sink ในบทเอลลี่ ลูกสาวของชาลี
- ส่วนปิดท้าย ดนตรีประกอบภาพยนตร์ของ
ROB SIMONSEN สร้างอารมณ์ได้น่าสะพรึงเหมือนทะเลบ้าคลั่ง... เป็นอีกส่วนที่ทำให้หนังสมบูรณ์
Safe Return
สรุป
The Whale (2022) จัดเป็นหนังที่น่าประทับใจ รู้สึกชอบเหมือนครั้งที่ได้ดู
Black Swan (2010) แม้ตัวหนังจะดิ่งลึกและมีซีนไม่น่าชมหลายซีน แต่โดยรวมค่อนข้างสนุก ประณีต สามารถดูได้ทั้งแบบตีความและไม่ตีความ ควบคู่ไปกับชมความโดดเด่นของนักแสดงที่เล่นได้อย่างสมจริง
ดังนั้นก็ขอแนะนำนะครับ อาจไม่ได้เหมาะกับคอหนังปกติ 100% แต่ถ้าดูอย่างเปิดใจ ก็สามารถอินตามได้ไม่ยาก... ส่วนสายหนังรางวัล / หนังอาร์ต เรื่องนี้ห้ามพลาด !
_________________________________
ป.ล. อีกหนึ่งช่องทางการติดต่อทาง Facebook เผื่อสนใจอยากพูดคุยติดต่อนะครับ
IG: benjireview
The Whale (2022) - จมปลักไปกับความทุกข์ของชายร่างอ้วนผู้น่าเวทนา และการกลับมาครั้งยิ่งใหญ่ของ Brendan Fraser
ดีกรีหนังได้รับกระแสวิจารณ์แง่บวก ทั้งยังไปไกลด้วยการเข้าชิงออสการ์ถึง 3 รางวัล ได้แก่ นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม (Brendan Fraser), นักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม (Hong Chau) และแต่งหน้ายอดเยี่ยม (Makeup and Hairstyling)
กล่าวมาถึงขนาดนี้แล้ว ก็ขอตัดเข้ารีวิวเลยแล้วกัน หวังว่าทุกคนจะชอบในรีวิวนะครับ !
เรื่องย่อ
ความรู้สึกหลังชม
นอกจากนี้ สไตล์ภาพยนตร์แบบ The Whale เป็นสไตล์ถนัดของ Darren Aronofsky ดาร์เรนถนัดในการทำหนังเจาะลึกตัวตน (ทั้งด้านมืดและด้านสว่าง) แต่ละปัจเจกบุคคล ผสมกับ Psychological Drama & Thriller ทำให้หนังของเขามีโทนลึก มีความน่าค้นหา
นี่จึงเป็นความน่าสนใจแรกของตัวหนัง ค่ายหนังที่ดีและผู้กำกับหนังที่ดี ย่อมทำให้งานที่ออกมามีน่าสนใจเป็นพิเศษ !
การจมปลักกับความสูญเสียทำให้ชาลีกินมากขึ้นเรื่อย ๆ จนมีน้ำหนักหลายร้อยกิโล และส่งผลให้เขามีอาการหัวใจล้มเหลว สามารถเสียชีวิตได้ทุกเมื่อ แถมเจ้าตัวยังไปโรงพยาบาลไม่ได้ เพราะไม่มีประกันสุขภาพ (ไปแล้วหมดตัวแน่นอน)
หนังเรื่องนี้ถ่ายทอดการไถ่บาปของชาลี ผู้น่าเวทนา และทำให้เราต้องไปลุ้นกันว่า "ความรู้สึกผิดของเขาจะได้รับการไถ่ถอนไหม จากเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เข้ามา ขณะที่นาฬิกาชีวิตก็กำลังนับถอยหลัง"... ประเด็นหนักหน่วงสุด ๆ 😅
- ส่วนการดำเนินเรื่อง หนังทำได้น่าติดตาม เช่น การแทรกปมประเด็นและ Symbol ไว้รายทาง เพื่อทำให้เราสงสัยอยากรู้ต่อว่าเรื่องราวจะเป็นอย่างไร โดยรวม หนังนำเสนอได้ดิ่งลึกและคมคาย ยิ่งพอเข้าช่วงดราม่าหนักหรือช่วง Climax ในท้ายเรื่อง เชื่อว่าหนังทำให้ทุกคนน้ำตาซึมได้ไม่ยาก (ผมเองก็น้ำตาซึมเหมือนกัน 😭)
- จุดหนึ่งที่เพิ่มความสร้างสรรค์ให้กับหนัง คือ จริง ๆ แล้ว The Whale ถูกดัดแปลงมาจากบทของละครเวที หนังยืมมุมมองละครเวทีมาใช้ พื้นที่หลักในเรื่องเป็นห้องของชาลี พร้อมกับมีตัวละครแต่ละตัวสลับสับเปลี่ยนกันเข้ามาต่อบทขับเคลื่อนเรื่องราว โดยมีชาลีเป็นศูนย์กลางเรื่องปักหลักอยู่กลางห้อง
ตรงนี้ดูครีเอทดี ถือว่าผู้กำกับมีวิสัยทัศน์แจ๋วในการเปลี่ยนละครเวทีให้มาอยู่ในบริบทภาพยนตร์
- ซีนที่ประทับใจ รู้สึกชอบซีนที่อ่านบทกลอน / เรียงความเรื่อง Moby-Dick นัยยะของเรียงความที่อ่านมีอิมแพ็คกับเรื่องสูงมาก ทั้งยังมีผลอย่างใหญ่หลวงในช่วง Climax ท้ายเรื่อง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
- สำหรับมุมนักแสดง "Brendon Fraser is the best." เบรนแดนแสดงได้ยอดเยี่ยมจนน่าหยิบออสการ์ประเคนใส่มือ คนที่สองที่น่าประทับใจ ขอยกให้ Hong Chau อินเนอร์มาเต็ม ชอบเวลาเธอน้ำตาไหล เนียนเป็นธรรมชาติเหมือนสั่งได้ สมกับที่เข้าชิงออสการ์
ส่วนอีกคนที่อยากให้เครดิต คือ Sadie Sink ในบทลูกสาวของชาลี ถือว่าโดดเด่นและแสดงร่วมกับแบรนดอนได้เยี่ยมชนิดไม่เป็นรอง ดูแล้วน้องน่าจะมีอนาคตไกล !
ดังนั้นก็ขอแนะนำนะครับ อาจไม่ได้เหมาะกับคอหนังปกติ 100% แต่ถ้าดูอย่างเปิดใจ ก็สามารถอินตามได้ไม่ยาก... ส่วนสายหนังรางวัล / หนังอาร์ต เรื่องนี้ห้ามพลาด !