The Brutalist (2024) การฝันฝ่าเพื่อไปถึงฝันของชายชาวยิว. ณ ดินแดนแห่งเสรี..



“ไม่มีทาสแบบใดที่น่าสิ้นหวังมากไปกว่านี้อีกแล้ว
นั่นคือทาสที่กำลังเชื่ออย่างผิดๆ ว่าตัวเองนั้นเป็นอิสระ”
                                                              เกอเธ่



ลาสโล่ โทธ ชายชาวยิวอพยพหนีตายจากฮังการีในยุโรปตะวันออกมายังประเทศสหรัฐอเมริกา
เพื่อหวังว่าจะก่อร่างสร้างตัวได้ใหม่อีกครั้ง เขาใช้ความรู้ของการเป็นสถาปนิกสร้างสรรค์ผลงานที่แปลกใหม่ 
จนไปเข้าตามหาเศรษฐีที่หวังจะสร้าง Community Center ขนาดใหญ่ให้กับเมือง.. 
ทุกอย่างเป็นใจให้กับโทธ ชีวิตของเขาจะดีกว่าที่เคยเป็น.. ที่ดินแดนแห่งนี้เขาได้รับการยอมรับแล้ว



The Brutalist เป็นภาพยนตร์ดราม่าย้อนยุค ที่กำกับและอำนวยการสร้างโดย Brady Corbet
เขียนบทภาพยนตร์ร่วมกับ Mona Fastvold ภรรยาคู่ชีวิต เรื่องราวของผู้รอดชีวิตจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวฮังการี-ยิว
ซึ่งอพยพไปยังสหรัฐอเมริกา และเขาต้องดิ้นรนเพื่อบรรลุความฝันตามแบบฉบับของชาวอเมริกันในยุคนั้น
จนกระทั่งเขาได้พบกับคนที่มาเปลี่ยนชีวิตของเขา 



จากค่ายหนังนอกกระแส มาจนถึงเวลานี้ต้องยอมรับแล้วว่า A24 คือค่ายหนังกวาดรางวัล
ที่เป็นอันดับ 1 ของโลกภาพยนตร์ในยุคนี้ไปแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย แทบทุกเรื่องในทุกปีหากไม่ได้ลงทุนสร้างเอง 
ก็เป็นทีมงานค่ายที่มีคลาส และตาถึงเหลือเกินในการคว้าหนังดีดีจากทั่วทุกมุมโลกมนำมาจัดจัดหน่าย 
โดยในส่วนของเรื่องนี้ A24 มีส่วนร่วมในการผลิตเช่นกัน 



แค่เปิดเรื่องมาก็ยิ่งใหญ่แบบสุดๆล่ะ คนดูจะรับรู้ได้ถึงความสับสนวุ่นวายเบียดเสียดและดำ..
มือมองแทบไม่เห็นว่าตัวเอกของเราไปไหนในสถานที่อันอลหม่านเช่นนั้น 
ก่อนที่เสียงเพลงและแสงสว่างจะนำคนดูไปสู่ภาพที่ตรงกันข้ามกับช่วงเวลา 5 นาทีแรกที่ผ่านมาอย่างสิ้นเชิง 
เราจะรู้สึกเหมือนกับตัวเอกในวินาทีนั้นเลยว่า นี่ล่ะสิ่งที่พวกเรากำลังตั้งตารอคอย



Brady Corbet เริ่มต้นเป็นนักแสดงมาก่อนครับ บทแจ่มๆที่น่าจดจำของเขาก็นี่เลย 
Funny Games (2007) ในบทของปีเตอร์ 1 ในคู่หูนรก จากนั้นเจ้าตัวสนใจในการเขียนบทมากขึ้น 
จนกระทั่งมาพบกับ Mona Fastvold นักแสดงชาวนอร์เวย์ ต่อมาทั้งคู่แต่งงานในปี 2012 และช่วยกันสร้างผลงานมาโดยตลอดทั้ง The Sleepwalker.. The Childhood of a Leader.. Vox Lux และล่าสุดกับเรื่องนี้ 



ซึ่งนอกจากตัวของผู้กำกับ Brady Corbet แล้วยังต้องยกเครดิตให้กับ Lol Crawley ผู้กำกับภาพมือฉมัง
ที่ร่วมงานกันมาในสองเรื่องล่าสุดและอีกคนก็คือ Daniel Blumberg กับดนตรีประกอบที่เร่งเร้าอารมณ์คนดูได้อย่างสุดยอดเช่นกัน 
(จริงๆแล้วงานดังกล่าวต้องเป็นของ Scott Walker สุดยอดนักแต่งเพลงประกอบที่ Corbet นับถือและเคยทำงานด้วยกันมา 
แต่เจ้าตัวเสียชีวิตไปซะก่อนในปี 2019)
และทั้ง Lol Crawley และ  Blumberg ก็ส่งให้หนังเรื่องนี้คว้าสองรางวัลออสการ์ไปครองอย่างสมศักดิ์ศรี



จากบทของนักเปียโนที่รอดชีวิตจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ใน The Pianist เมื่อปี 2002 เวลาผ่าน 22 ปี 
Adrien Brody รับบทชาวยิวที่รอดชีวิตอีกครั้งแต่ในฐานะของสถาปนิกหนุ่มผู้หอบความหวังและความฝัน
เพื่อสร้างทุกอย่างให้เป็นจริงอีกครั้งในดินแดนเสรีอย่างสหรัฐอเมริกา 
หลังผ่านความเป็นความตาย ชายหนุ่มข้ามน้ำข้ามทะเลเชื่อมั่นว่าทุกอย่างจะดีกว่าเดิม.. 
โบรดี้ทำให้ผู้ชมได้เห็นอีกครั้งว่านี่คือ 1 ในการแสดงระดับสุดยอดของเขา สมแล้วที่ได้ดารานำชายยอดเยี่ยมออสการ์ไปครองอีกครั้ง



ขณะที่อีกสองคนที่ต้องเอ่ยถึง Guy Pearce ในบทของมหาเศรษฐีที่ต้องการทุกอย่างไว้ในมือ 
ไม่ว่าจะอะไรก็ตามขอแค่มีเงิน ทุกอย่างเป็นไปได้ทั้งหมด และคนที่มาเติมความฝันของเขาให้เป็นจริงได้
ก็คือโบรดี้ตัวเอกของเรานั่นเอง ...เพียร์ซ  เป็นตัวละครที่มีมิติหลากหลายมาก สามารถทำให้คนดูรักและชังได้ไปพร้อมๆกันเลยทีเดียว
(เพียร์ซเข้าชิงสมบทชายออสการ์จากบทนี้)



นักแสดงสุดท้ายที่ผมอยากเอ่ยถึงก็คือ Felicity Jones (จาก Rogue One) กับบทเอลิซาเบธภรรยาของโบรดี้ 
ที่แม้ว่าจะออกมาช่วงกลางเรื่อง แต่เป็นผู้มีบทบาทอย่างยิ่งกับชีวิตของโทธ คือเป็นผู้หญิงที่ฉลาด 
เป็นเพื่อนคู่คิดเป็นที่ปรึกษาให้กับสามีได้ ยิ่งท้ายเรื่องยิ่งโชว์การแสดงขั้นสุดแบบนิ่งๆเรียบๆ แต่ทรงพลังอย่างยิ่ง



มี Intermission หรือการพักครึ่งระหว่างฉายด้วยนะครับ เพราะความยาวมากถึง 3 ชั่วโมง 20 นาที 
ซึ่งในช่วงระยะหลังมานี้เราจะไม่ค่อยได้เห็นหนังฝรั่งที่ต้องพักแบบนี้สักเท่าไหร่ (หรือผมดูไม่มากพอ) 
ที่แต่ที่เห็นช่วงนี้ผมจะเจอแต่หนังอินเดียซะมากกว่า ยิ่งหนังที่มีภาคต่อมักจะมีความยาวมากในระดับ 3 ชั่วโมงครึ่งทั้งนั้น ..
ซึ่งกับ The Brutalist ช่วงพักก็ยังดูเท่ห์ และมีส่วนกับการโยงของเนื้อหาในหนังเช่นกัน



และพอความยาวในระดับนี้กับหนังประเภทดราม่า ผมเลยเชื่อว่าผู้ชมชาวไทยคงคิดถอดใจแน่ว่าขอบายดีกว่า ไม่ดูล่ะกัน.. 
แต่ลองดูเถอะครับมันเป็นระยะเวลา 200 นาทีที่จะผ่านสายตาคุณไปอย่างรวดเร็วอย่างน่าเหลือเชื่อแน่นอน 
หนังจะแบ่งเป็น 2 ช่วงใหญ่ (โดยมีจะบทนำและบทส่งท้ายอยู่ด้วย) ให้เราได้เห็นถึงพัฒนาการชีวิตของตัวเอก 
ช่วงล้มลุกคลุกคลานก่อนไปสู่ความสำเร็จที่ตั้งใจไว้ (หรือเปล่า?)



เป็นหนังที่สร้างมาเพื่อล่ารางวัลโดยแท้ จากความสุดยอดทั้งหมดทั้งมวลทุกองค์ประกอบรวมไปถึงบทหนัง
ส่งผลให้ The Brutalist ประสบความสำเร็จอย่างสูงยิ่ง โดยลูกโลกทองคำเข้าชิง 7 และคว้าไป 3 สาขา
ขณะที่รางวัลออสการ์ครั้งล่าสุดนี้ก็เข้าชิงได้ถึง 10 สาขาเลยทีเดียว
และคว้าได้ 3 รางวัล (จากโบรดี้...ดนตรีประกอบยอดเยี่ยมและถ่ายภาพยอดเยี่ยม)



อย่างที่บอกไว้ว่าอยากให้ชมกันจริงๆครับ แน่นอนว่าหนังที่ดีของเราอาจจะไม่ได้ดีสำหรับใคร ผมทิ้งท้ายแบบนี้เสมอในทุกรีวิว 
แต่กับเรื่องนี้มันดีจริงๆ แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ภาพยนตร์ยอดเยี่ยมก็ตาม (แพ้ต่อ Anora)
เพราะคุณจะได้สัมผัสถึงชีวิตของคนที่สู้ชีวิตผ่านความทุกข์ยาก ผ่านสายตาที่ดูถูกเหยียดหยาม 
รวมถึงไปการสร้างงานสถาปัตยกรรมที่ยิ่งใหญ่ ผนวกกับบทเจ๋งๆ และองค์ประกอบศิลป์ที่ล้ำระดับเทพ 
..มันจะเป็น 3 ชั่วโมง 22 นาทีที่จะตราตรึงใจคุณไปอีกนานเท่านานแน่นอนครับ ผมรับประกัน!!! 

เพราะหนังมันฝังใจ

=== ทิ้งท้ายครับ หนังที่ดีสำหรับตัวเรา แน่นอนว่าอาจจะไม่ได้ดีและไม่ได้ถูกใจสำหรับใคร 
ซึ่งอยู่ที่ความชอบของแต่ละบุคคล ภาพยนตร์ก็เหมือนอาหารล่ะครับ อยู่ที่เราเลือกที่จะอยากชิมรสชาติแบบไหนเท่านั้นเอง ===
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่