[CR] [Review] The Brutalist - ความหวัง สิ้นหวัง ชนชั้น และ การกดขี่

The Brutalist 

1 ในหนังที่เข้าโรงภาพยนตร์ และ ก่อให้เกิดเสียงดราม่ามากที่สุดในช่วงนี้
คงไม่พ้น The Brutalist ซึ่งก่อให้เกิดการถกเถียงในหลายๆแง่มุม

ทั้งในแง่ของ ความงดงามของภาพ และ บทที่ส่งให้เข้าชิงออสการ์
กรรมการ ดูไม่จบ เพราะหนังมันยาวจนเกินไป ขี้เกียจดู
รวมไปถึง การที่นักแสดงนำชายได้ออสการ์แล้วได้เข้าชิงอีกครั้ง และ ได้รางวัลมา

นั่นทำให้สุดท้ายแล้ว นี่เป็น 1 ในหนังที่ผมเฝ้ารอที่จะดูมากที่สุด
นอกจากนี้ยังมีอีก 1 ข้อที่ทำให้ผมอยากดูคือ

ในหนัง “มีพักเบรค 15 นาที” 

สารภาพว่าตั้งแต่ดูหนังมาจนเริ่มเข้าใกล้วัยกลางคน 
ผมไม่เคยพบว่าในโรงภาพยนตร์ในหนังเรื่องใด
มีการพักครึ่งให้แบบนี้ นั่นคือปัจจัยสุดท้าย
ที่ทำให้ผมอยากเข้าไปดูว่า 

หนังที่ก่อให้เกิดทั้งดราม่า 
หนังที่ก่อให้เกิดความประหลาดใจ
หนังที่เกี่ยวกับ “สถานปนิก” (ซึ่งไม่น่าใช่หนังที่ทำให้เร้าใจ)
ได้เข้าชิงออสการ์ ได้อย่างไร

วันนี้มารีวิวให้ฟังกันครับกับ 
The Brutalist - ชนชั้น อำนาจ และ 

หนังว่าด้วยเรื่องของสถาปนิก ชายคนนึง ที่อยู่ในโลกที่มีสงคราม
จนต้องลี้ภัยออกมา ชื่อว่า ลาสโล่ ที่ต้องลี้ภัยมาอยุ่ที่ 
รัฐเพนซิลแวเนีย ในสหรัฐอเมริกา 

โดยการลี้ภัยครั้งนี้ก็ทำให้เค้าต้องจากกับ ภรรยา และ หลานสาว
ที่ไม่รู้ว่ามีสภาพ ร่างกายเป็นอย่างไร สบายดีหรือไม่ เพราะทำได้แค่
เขียนจดหมายไปหากัน เพื่อถามไถ่ถึงกัน เพราะตัวคนที่หนีมาได้
มีแค่ ลาสโล่คนเดียวเท่านั้น โดยยังโชคดีที่ อเมริกานั้น 
ลาสโล่มี ญาติรออยู่ ที่ทำเฟอร์นิเจอร์ โดยหลีกหนีจากการเป็นพลเมืองต่างชาติ
มาสร้างรกราก ในอเมริกา เปลี่ยนชื่อใหม่ เปลี่ยนนามสกุลใหม่
จนไม่เหลือเค้าโครงอีกต่อไป และ ได้มาอาศัยอยู่กับลูกพี่ลูกน้องของเขา
โดยที่มีภรรยาชาว อเมริกาอยู่ 1 คนซึ่งได้แสดงท่าที “ไม่ชอบพอ” 
กับ ลาสโล่สักเท่าไหร่ อาจจะเพราะเค้าลี้ภัย? เป็นพลเมืองชั้นสอง?
เราไม่อาจทราบได้ครับ เพราะหนังไมไ่ด้แสดงออกชัดขนาดนั้น
แค่ “ไม่ชอบ” อันนี้แน่นอนแน่ๆ 

ตัวหนังได้กล่าวว่า ลาสโล่ เป็นสถาปนิก มือฉมัง ที่มีใบอนุญาต
ได้ออกแบบ ตึกราม บ้านช่องมากมายด้วยสไตล์ Brutalist (ชื่อหนัง)
จนได้มีโอกาสได้ออกแบบ ห้องสมุดให้กับ “คนรวย” ในหนัง
โดยที่ลูกของ “คนรวย” อยากทำเซอร์ไพรส์ให้กับพ่อ(คนรวย)ของเขา
ซึ่งทำผลงานได้ดี และ สวยมากๆ (จนแม้แต่ผมยังอยากมีห้องแบบนั้น)
แต่สุดท้ายเมื่อ “คนรวย” คนนั้นกลับมา  ก็ไม่ชอบในสิ่งที่ ลาสโล่ทำเสียเลย
พร้อมไล่ตะเพิด และ สุดท้ายก็ทำให้ลาสโล่ไม่ได้ค่า Renovate 
ทำให้สุดท้ายผิดใจกับ ญาติของเขา และ ถูกไล่ออก และ ต้องไปหาที่อยู่ใหม่ในที่สุด

หนังในองก์ต่อมา ก็ปรากฏว่า ลาสโล่ต้องไปทำงานชนชั้น “แรงงาน”
แต่สุดท้าย “คนรวย” คนนั้นก็โผล่ตัวมา และ เริ่มพูดชื่นชนงานของลาสโล่
เพราะเจ้าตัว ได้ลงหนังสือพิมพ์ว่า ตัว “คนรวย” นั้นได้นับหน้าถือตา
ในฐานะ ผู้มี “รสนิยม” อันสูงส่ง ซึ่งมาจากงานที่ลาสโล่ออกแบบ 
ทั้งยังได้นำ หนังสือพิมพ์ นิตรยสารที่มีงานออกแบบของลาสโล่อยู่ในนั้น
มาชื่นชม และ ได้ ปะเหลาะ ลาสโล่ว่า ตัวลาสโล่นั้นเก่งสักแค่ไหน

จึงได้เชิญลาสโล่มาที่บ้านของเขา ในงานเลี้ยงต่อมา
หลังจากนั้นก็ได้เสนองานออกแบบให้กับลาสโล่ทำโครงการใหญ่
ที่ให้ลาสโล่เป็นคนออกแบบ ซึ่งจะเกิดเป็นตำนานสถานปนิก
ที่มีตึกสวยๆที่ตัวเองออกแบบมากมาย 

หลังจากนี้เรื่องราวจะเป็นยังไง ติดตามได้ใน The Brutalist ครับ ยิ้ม

หลังจากนี้จะเป็น สปอยที่ถกเถียงในเชิงการตีความที่ผมมองเห็นได้
หนังพยายามแสดงถึง “ความเป็นพลเมืองชั้นสองอย่างมาก” 
ไม่ว่าจะเป็น การเป็นคนดำ เพื่อนของลาสโล่ หรือ ตัวลาสโล่เอง
 

นอกจากนั้นยังแสดงถึงอำนาจความกดขี่ซึ่งเป็นเรื่องจรืงอย่างยิ่ง
ในแง่ของการที่ คนที่ไม่มีเงิน ไร้อำนาจนั้น ไม่ต่างอะไรจากของเล่นคนรวย
ดูได้จากการที่ อยากสร้างตึกก็ชวนลาสโล่มา ไม่อยากสร้างแล้วก็ไล่เขาทิ้งไป
นอกจากนั้นยังแสดงถึงการ “กดขี่” ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือ ฉากที่ ลาสโล่ถูกขืนใจในขณะเมา
แต่ตื่นมาก็ต้องพบกับความเป็นจริงว่า ตัวเองถูกบอกว่า “เมา” สิ่งที่เกิดขึ้นไม่มีอะไร
และ ลาสโล่ก็ต้องรับสภาพนั้น เพราะ ทำอะไรไม่ได้เพราะตัวเขาก็อยากทำงานให้เสร็จ
แถมยัง เมายาอยู่ ก็คงไม่มีสิทธิโต้แย้งอะไร 
 

ตัวหนังพยายามบ่งชี้อยู่ตลอดเป็นนัยยะว่า คนเราหากปราศจากเงิน และ อำนาจ
แม้จะมีความสามารถ แต่มันก็ทำอะไรไม่ได้เลย หากไม่มีโอกาส
 

เหมือนที่ลาสโล่มีความสามารถมากมาย
แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้พ้นจากการถูกไล่ออกจากร้านของญาติ
 

ออกแบบด้วยตัวเองแทบตาย แม้จะควักเงินตัวเองจ่าย
ก็ถูกกีดกันด้วย ลูกชายของแวนบิน อยู่ดี
 

ทั้งตอนท้ายการหายตัวไปของแวนบิวยัง ออกตัวกลายๆอีกว่า
สุดท้ายการเป็นคนที่มีเงิน มีอำนาจนั้น ไม่ต่างอะไรจากการ
“หายไปรอให้เรื่องเงียบ” เหมือนกับครั้งที่รถไฟชนครั้งแรกนั้นแหละ
ไม่มีอะไรแตกต่างกันเลยสักนิดเดียว 
 

ยังไม่รวมถึงประเด็นของศาสนา ของ โซเฟีย
ที่สุดท้ายสมัยนั้นความเชื่อทางศาสนายังคงปกคลุมทุกอย่าง
 

ไม่มีงานหรอ > ไปหาเอาข้างหน้า
ไม่มีที่อยู่หรอ > ไปหาเอาข้างหน้า อยู่กับญาติไปก่อนก็ได้
ลูกจะเกิดหรอ > ไปเลี้ยงเอาที่นู่นก็ได้
 

สมัยก่อนความเชื่อทางศาสนามันถึงได้รุนแรง
เพราะเราทุกคนต่างมองอนาคตไม่ออก
การอยู่ใกล้ศาสนาโดยหวังว่าพระเจ้าจะช่วย
คงเป็น 1 ในตัวเลือกที่ ทุกคนที่หวังแค่จะมีชีวิตต่อไปในวันพรุ่งนี้
มันคงใกล้ที่สุดแล้ว มากกว่าจะหวังว่าจะทำงานจนร่ำรวยเอาได้
 

สุดท้ายฉากที่เป็น Climax ก็คือฉากที่ เอลิซาเบธ
ผู้ซึ่งรู้ไม่พร้อมทางร่างกาย แต่กลับเป็นคนที่ยอมสู้เพื่อสามีของตน
เพราะรู้ดีว่า ไม่สู้ ไม่มีวันชนะ และ ไม่มีวันเป็นอิสระอย่างแน่นอน
 

ประเด็นทางการเมือง และ การกดขี่นั้นค่อนข้างแรงมากๆในนี้
 

เพราะในหนังพยายามบ่งบอกเสมอว่า อเมริกาเป็นประเทศที่อิสระเหนือใคร
แต่สุดท้าย ก็ยังเหยียดสีผิว ขาดความเท่าเทียม American Dream สมัยนั้น
คงพูดได้ยากมากๆ ว่ามันมีอยู่จริงเพราะมันห่างไกลเสียเหลือเกิน
 

สำหรับทั้งงานภาพ งานเสียง คงไม่มีอะไรต้องพูด
จัดไฟสวยงาม เฟรม การเลือกใช้สี เฉียบขาดเพราะเป็นหนังที่ต้องออกแบบ
และจัดวาง Composition ให้สวยที่สุด เพราะเป็นหนัง “สถาปนิก”
 

สำหรับผม นี่เป็น 1 ในหนังที่ถ้าจะดูเอา “สนุก” ผมคงแนะนำไปดูเรื่องอื่น
แต่ถ้าอยากดูหนังที่เล่นกับประเด็นเสียดสีสังคม ภาพสวย
เนื้อเรื่องดี แสดงถึงความทุกข์ยากของการเปลี่ยจาก ชนชั้นบนมาเป็นชนชั้นล่าง
ที่พยายามไต่ตัวเองกลับไปเป็นชนชั้นกลางแค่พอมีพอกินอีกครั้ง
 

เรื่องนี้ เป็น 1 ในเรื่องที่ถ้าคุณมีเวลา ควรดูสักครั้งครับ ยิ้ม
ชื่อสินค้า:   The Brutalist
คะแนน:     

CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้

  • - จ่ายเงินซื้อเอง หรือได้รับจากคนรู้จักที่ไม่ใช่เจ้าของสินค้า เช่น เพื่อนซื้อให้
  • - ไม่ได้รับค่าจ้างและผลประโยชน์ใดๆ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่