ชลน่าน โว ซักฟอกวันสุดท้ายมีหมัดเด็ด ซัด ตู่ ตอบเดิมๆ ชี้อย่าปัดสัมพันธ์เครือญาติ
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_7513234
ชลน่าน โว อภิปรายวันสุดท้ายมีหมัดเด็ด ฮึ่มส่งหลักฐานให้องค์กรอิสระจัดการ ซัด ‘บิ๊กตู่’ ตอบเหมือนเดิม จวก อย่าปัดเรื่องสายสัมพันธ์ความเป็นญาติ
เมื่อเวลา 09.20 น. วันที่ 16 ก.พ. 2566 ที่รัฐสภา นพ.
ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน หัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ถึงภาพรวมการอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 เมื่อวันที่ 15 ก.พ. ที่ผ่านมา ว่า พรรคร่วมฝ่ายค้านทำหน้าที่ได้ดีอย่างยิ่ง ในการนำข้อเท็จจริงหรือปัญหาที่เกิดขึ้น มาบอกที่ประชุมสภาฯ เพื่อส่งไปยังคณะรัฐมนตรี (ครม.) ส่วนนายกรัฐมนตรีจะตอบอย่างไร จะออกมาแสดงเหตุผลอย่างไร ว่าสิ่งที่พูดไม่ใช่ปัญหาและไม่ใช่ข้อเท็จจริง นายกฯ ก็ต้องชี้แจงในสภาฯ เอง
นพ.
ชลน่าน กล่าวว่า การนำเสนอของเราไม่ได้เป็นการกล่าวหาว่าตัวรัฐมนตรีผิดอย่างไร แต่เรานำเสนอว่าเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองและสร้างความเสียหาย จึงเป็นหน้าที่ของรัฐมนตรีที่ต้องไปดูว่าข้อเท็จจริงที่ปรากฏขึ้นเป็นจริงตามที่พวกเราได้พูดในสภาฯ หรือไม่ อย่างไรก็ตาม โดยรวมส.ส.ผู้อภิปรายทำหน้าที่บรรลุได้ตามเป้าหมาย และมีหลายเรื่องที่สามารถกล่าวหา หรือใช้อภิปรายไม่ไว้วางใจได้ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 151
เมื่อถามว่า การอ้างว่ามีบางเรื่องสามารถนำไปใช้ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจได้ จะนำเรื่องดังกล่าวไปยื่นต่อองค์กรอิสระให้ดำเนินการตรวจสอบด้วยหรือไม่ นพ.
ชลน่าน กล่าวว่า ในประเด็นที่เราหยิบยกขึ้นมาพูด ที่มีหลักฐานชัด สามารถนำไปดำเนินการต่อเนื่องได้ ซึ่งเป็นแนวทางที่เราได้ปรึกษาหารือกันไว้อยู่แล้ว ส่วนจะดำเนินการเมื่อไหร่นั้น จะต้องดูช่วงเวลาที่เหมาะสม
เมื่อถามว่า การอภิปรายวันนี้ (16 ก.พ.) ฝ่ายค้านจะมีหมัดเด็ดหรือไม่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า มีแน่นอน เพราะเราวางเวลาไว้ 2 วัน ซึ่งไฮไลต์ในแต่ละวัน ฝ่ายค้านได้ร่วมกันปรึกษาหารือและวางแผน โดยการอภิปรายในวันนี้จะมีเรื่องสำคัญอีกหลายเรื่องที่น่าติดตาม
เมื่อถามว่า พล.อ.
ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ระบุการอภิปรายทั่วไปของฝ่ายค้านครั้งนี้เป็นเรื่องเดิมๆ ซ้ำซาก และเป็นการพูดเพื่อหาเสียงในสภา ฝ่ายค้านจะแก้มืออย่างไร นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ไม่ต้องแก้มือ ตนในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน ได้อภิปรายนำไปแล้วว่า ข้อเท็จจริงคือสิ่งที่ปรากฏขึ้น ถ้ามันไม่ปรากฏขึ้นก็ไม่เรียกว่าข้อเท็จจริง ประเด็นมันไม่เกี่ยวว่าเป็นเรื่องเก่าเรื่องใหม่ แต่มันเกี่ยวข้องกับการบริหารราชการแผ่นดินของคุณหรือไม่ และมีวิธีจัดการกับข้อเท็จจริงเหล่านั้นอย่างไร
นพ.ชลน่าน กล่าวต่อว่า ส่วนเรื่องการหาเสียงในสภา ก็ได้ประกาศแต่แรกแล้วว่า การนำข้อมูลมาเปิดเผยในช่วงนี้ ย่อมส่งผลกับการตัดสินใจของประชาชน เราไม่ต้องหาเสียงเลย เพียงแต่นำข้อมูลและข้อเท็จจริงที่มีอยู่แล้วจากการทำหน้าที่ของครม. ย่อมส่งผลต่อการตัดสินใจว่าจะเลือกหรือไม่เลือกเขา
เมื่อถามว่า หลังจากได้ฟังคำชี้แจงของนายกรัฐมนตรีแล้ว คิดว่าได้รับคำตอบบ้างหรือไม่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ตนไม่อยากวิจารณ์คำตอบของนายกฯ แต่พวกเราฟังแล้วก็รู้อยู่ ถ้าจะบอกว่าฝ่ายค้านนำเรื่องเดิมมาอภิปราย คำตอบของท่านนายกฯ นั่นแหละคือคำตอบเดิมๆ ตอบเลี่ยงๆ ว่าเป็นเรื่องของครอบครัวผม อะไรไม่เกี่ยวก็คือไม่เกี่ยว ท่านจะปฏิเสธความผูกพันความเป็นญาติไม่ได้ ท่านจะดูแลครอบครัวของตัวเองที่หมายถึงลูกเมียไม่ได้ มันมีความเชื่อมโยงผูกพันทางด้านนิตินัย เช่น พ่อเขาเป็นส.ว. เป็นนายทหาร มีอำนาจหน้าที่ และสิ่งที่ปรากฏขึ้นเกี่ยวข้องกับหน้าที่และอำนาจของเขา มันปฏิเสธไม่ได้
“
ฉะนั้น คำตอบของนายกฯ ไม่ว่าจะเรื่องหลาน การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ มันบ่งชัดอยู่แล้ว เช่น สิ่งที่คุณพูดมาว่าทำหมดแล้ว 8 ปี แต่มันยังไม่มีผล นั่นเป็นการพูดเองยอมรับเอง มันคืออะไร ก็คือล้มเหลว เมื่อล้มเหลวก็เป็นหน้าที่ของฝ่ายตรวจสอบที่ต้องเอามาบอกกับประชาชนว่า ล้มเหลวอย่างไร ทำไมจึงไม่สำเร็จ แล้วคุณยังจะอาสาทำต่อหรือ” นพ.
ชลน่าน กล่าว
"ชนก" อัด รัฐบาลประยุทธ์ เหลว ฟื้นฟู-บำบัด ผู้เสพ-ติดยาเสพติด
https://www.thairath.co.th/news/politic/2631258
"ชนก" อัด รัฐบาลประยุทธ์ ล้มเหลว เรื่องฟื้นฟู-บำบัด ผู้เสพ-ติดยาเสพติด ผลักภาระให้ประชาชนเผชิญความเสี่ยง ชี้ ถ้าเลือกตั้งครั้งหน้า โว หากพรรคเพื่อไทยเข้ามาเป็นรัฐบาล จะทำให้ดู
เมื่อวันที่ 16 ก.พ. 66 เมื่อเวลา 09.10 น.น.ส.
ชนก จันทาทอง ส.ส.หนองคาย พรรคเพื่อไทย (พท.) อภิปรายทั่วไปเพื่อซักถามข้อเท็จจริงหรือเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรีโดยไม่มีการลงมติกรณีเกี่ยวกับปัญหายาเสพติด ว่า พล.อ.
ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ได้แถลงนโยบายต่อสภาฯ ประกาศเรื่องยาเสพติดเป็นนโยบายเร่งด่วนสำคัญ 1 ใน 12 ประกาศให้เป็นวาระแห่งชาติ แต่ตลอดระยะเวลาของการบริหารประเทศโดยพล.อ.ประยุทธ์ ปัญหายาเสพติดล้มเหลว ไร้ประสิทธิภาพในทุกมิติ ทั้งด้านป้องกัน ปราบปราม บำบัดฟื้นฟู จากที่ท่าน ส.ส.
มนพร เจริญศรี ส.ส.นครพนม พรรคเพื่อไทยได้อภิปรายก่อนหน้า แสดงให้เห็นถึงความล้มเหลวในการป้องกัน ปราบปรามยาเสพติด ที่เป็นต้นน้ำของปัญหา ยิ่งบริหารประเทศปริมาณยาเสพติดที่ถูกจับกุมยิ่งเพิ่มสูงขึ้น ในปี 2564 ประเทศไทยสามารถการจับกุมยาไอซ์จำนวน 22,126 กิโลกรัม และยาบ้ากว่า 592 ล้านเม็ด เป็นปริมาณมากที่สุดในภูมิภาคเอเซียตะวันออกและเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งตัวเลขนี้ส่งผลต่อไปถึง "
ผู้เสพในฐานะผู้ป่วย" ที่เพิ่มสูงขึ้นด้วย ทั้งนี้ กระทรวงยุติธรรมมีแนวทางลดทอนความเป็นอาชญากรรม เพื่อลดความแออัดในเรือนจำ ทำให้ผู้เสพยาในฐานะผู้ป่วย ออกจากเรือนจำมาอยู่ในสังคมเพิ่มมากขึ้น แต่กลับถูกเติมปัญหาด้วยการปลดล็อกกัญชาซึ่งทำให้ ผู้เสพ ผู้ติด ในฐานะผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้นอีก ซึ่งจากที่ตนกล่าวมา ล้วนแล้วแต่เป็นปัจจัยที่ทำให้จำนวนผู้ป่วยจิตเวชที่เกิดจากการใช้สารเสพติดเพิ่มสูงขึ้น แต่รัฐบาล พล.อ.
ประยุทธ์ กลับไม่มีระบบการบำบัดฟื้นฟูผู้ป่วยที่มีประสิทธิภาพรองรับ
โดยจากข้อมูลสำนักงานเลขานุการคณะกรรมการบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติด กระทรวงสาธารณสุข 2564 จำนวนผู้ป่วยจิตเวชที่เกิดจากการใช้สารเสพติด จำนวนมากถึง 622,172 ราย มารักษาต่อเนื่องครบ 1 ปี จำนวน 360,486 ราย คิดเป็น 57.94% ไม่มารักษาต่อเนื่อง
ครบ 1 ปี จำนวน 261,686 ราย คิดเป็น 42.06% และในจำนวน 622,127 รายนี้ ผู้ป่วยจิตเวชที่ใช้สารเสพติดและมีแนวโน้มก่อความรุนแรง เป็นกลุ่มที่ควรได้รับการบำบัดทั้งด้านร่างกาย จิตใจ และสังคมอย่างต่อเนื่อง มารับการรักษาต่อเนื่องครบ 1 ปี จำนวน 28,250 ราย คิดเป็น 52.82% ไม่มารับการรักษาต่อเนื่องครบ 1 ปี จำนวน 25,234 ราย คิดเป็น 47.18% ตัวเลขนี้ชี้ถึงจำนวนผู้ป่วยจิตเวชที่เข้ารับการรักษาไม่ต่อเนื่อง 1 ปีมีความเสี่ยงที่จะกลับมาใช้สารเสพติดอีกครั้ง หมายถึงความไม่มีประสิทธิภาพของระบบการบำบัดฟื้นฟูที่ไม่สามารถทำให้ผู้ป่วยจิตเวชเข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่องครบ 1 ปี นี่ยังไม่รวมถึงปัญหาแวดล้อม เช่น สถานที่ที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยจิตเวช, แพทย์จิตเวชที่ขาดแคลน โดยข้อมูลกรมสุขภาพจิต แพทย์จิตเวช 1 คนต้องดูแลประชาชนมาถึงแสนคน และขาดบุรุษพยาบาลที่มีความรู้ความเข้าใจผู้ป่วยจิตเวช สุดท้ายรัฐบาลโดยการนำของพล.อ.ประยุทธ์ ได้ปล่อยให้ประชาชนต้องเผชิญหน้ากับความรุนแรง และเสี่ยงต่อชีวิตและทรัพย์สิน
น.ส.
ชนก กล่าวว่า งบประมาณเกี่ยวกับยาเสพติดที่จัดสรรให้หน่วยงานหลัก สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด กระทรวงยุติธรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอีก 9 กระทรวง 26 หน่วยงาน 2 ส่วนราชการเพื่อการป้องกันปราบปรามและฟื้นฟู ปี 2564 งบประมาณเกี่ยวกับยาเสพติด 6,129 ล้านบาท กระทรวงสาธารณสุข 1,058 ล้านบาท ปี 2565 งบประมาณเกี่ยวกับยาเสพติด 4,281 ล้านบาท กระทรวงสาธารณสุข 744 ล้านบาท แต่โครงการการติดตามผู้บำบัดได้งบประมาณเพียง 10 ล้านบาท และโครงการบำบัดรักษาฟื้นฟูสมรรถภาพของกรมการแพทย์มีงบประมาณ 219 ล้านบาท ซ้ำร้ายกว่านั้นจิตแพทย์ที่ถือเป็นบุคลากรหลักของการบำบัดที่ต้องเร่งผลิตจิตแพทย์ที่มีความรู้ความเข้าใจและความเชี่ยวชาญในการฟื้นฟูบำบัดผู้เสพในฐานะผู้ป่วยงบสำหรับกรมสุขภาพจิตกลับมีเพียง 60 ล้านบาทเท่านั้น เมื่อเทียบกับการที่ประชาชนต้องเผชิญหน้ากับความรุนแรงเสี่ยงทั้งชีวิตและทรัพย์สิน ซึ่งมีตัวอย่างให้เห็น เช่น เหตุการณ์ ส.ต.อ.ปัญญา คําราบ (ตร.นอกราชการ) มีประวัติเกี่ยวข้องกับยาเสพติด และเสพยา ก่อเหตุใช้อาวุธมีดและปืนทําร้ายผู้คนในศูนย์เด็กเล็ก อบต.อุทัยสวรรค์ ตรงนี้ถือว่าการจัดสรรงบประมาณน้อยมาก
"
ย้อนกลับไปในปี 2544 ทันทีที่ ดร.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ได้ประกาศสงครามกับยาเสพติดเป็นวาระแห่งชาติ จำนวนคดียาเสพติดและผู้เกี่ยวข้องลดลงอย่างเห็นได้ชัด ภายใต้แนวคิดหลัก ภายใต้แสงอาทิตย์นี้ ไม่มีอะไรที่ตำรวจไทยทำไม่ได้ ต่อมารัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ประกาศนโยบายแก้ไขปัญหายาเสพติดเป็นวาระแห่งชาติ เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2554 ภายใต้แนวคิดหลัก ผู้เสพ คือ ผู้ป่วย เพื่อให้ผู้เสพติดได้รับการบำบัดอย่างถูกต้อง จนทำให้คดียาเสพติดลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ที่สืบทอดอำนาจมาจากเผด็จการ ที่มีทั้งกฎหมายพิเศษอย่าง ม.44 จัดการกับทุกปัญหาของประเทศจนต่อเนื่องมาเป็นรัฐบาล แต่คดียาเสพติดยังเพิ่มขึ้นทุกปี ภายใต้แนวคิดหลัก 'ร้อยนายกฯ ก็แก้ปัญหายาเสพติด-พนันไม่ได้' หากการเลือกตั้งที่จะมาถึงพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาล เข้ามาบริหารประเทศ เพื่อไทยมายาเสพติดต้องหมดไป คืนชีวิตปลอดภัยให้ประชาชน เราจะทำให้ดู" น.ส.
ชนก กล่าว.
กลาโหมอังกฤษลั่น ฝึกทหารยูเครนรบอย่าง ‘ตะวันตก’ ลดปริมาณการใช้อาวุธ รับมือรัสเซีย
https://www.matichon.co.th/foreign/news_3825405
กลาโหมอังกฤษลั่น ฝึกทหารยูเครนรบอย่าง ‘ตะวันตก’ ลดปริมาณการใช้อาวุธ รับมือรัสเซีย
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ว่า
เบน วอลเลซ รัฐมนตรีกลาโหมอังกฤษ กล่าวว่า อังกฤษกำลังทำการฝึกทหารยูเครนให้สู้รบแบบ “
ชาติตะวันตก” มากขึ้นและใช้อาวุธให้น้อยลงกว่าการต่อสู้แบบดั้งเดิมตามวิธีการของโซเวียต
โดยอังกฤษพร้อมทั้งพันธมิตรชาติตะวันตกอื่นๆ ได้ทำการฝึกทหารยูเครน รวมถึงจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์และกระสุน เพื่อสนับสนุนเคียฟในการต่อสู้กับรัสเซีย
วอลเลซกล่าวว่า อังกฤษซื้อและค้าขายกระสุนที่มีมาตรฐานแบบโซเวียต ในขณะเดียวกันก็ช่วยกองทัพยูเครนเปลี่ยนแปลงเพื่อปลดล็อกการเข้าถึงคลังกระสุนของพวกเรา
“
ในขณะเดียวกัน พวกเรากำลังฝึกฝนเพื่อให้มั่นใจว่าพวกเขาใช้มันอย่างมีประสิทธิภาพและถูกต้อง”
วอลเลซกล่าว
“
วิธีการต่อสู้ของรัสเซียหรือวิธีอย่างโซเวียตคือการรัวกระสุนอย่างหนัก การระดมยิงด้วยปืนใหญ่ขนาดใหญ่ ซึ่งนั่นไม่ใช่วิธีที่เราต่อสู้ในนาโต”
วอลเลซกล่าว
เมื่อถูกถามว่า พันธมิตรตะวันตกควรจัดหาเครื่องบินขับไล่ให้ยูเครนด้วยหรือไม่
วอลเลซกล่าวว่า การใช้เครื่องบินรบจำเป็นต้องมีการฝึกอบรมนักบินและลูกเรือสนับสนุนอย่างยาวนาน และว่า อังกฤษสามารถให้การสนับสนุนได้รวดเร็วและในทันทีผ่านการจัดหาอาวุธ อาทิ ขีปนาวุธต่อต้านอากาศยาน
JJNY : ชลน่านโวซักฟอก│"ชนก"อัดเหลว ฟื้นฟู-บำบัดผู้เสพ-ติดยา│ฝึกทหารยูเครนรบอย่าง‘ตะวันตก’│ชี้ขาดแคลนอาหารในเกาหลีเหนือ
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_7513234
ชลน่าน โว อภิปรายวันสุดท้ายมีหมัดเด็ด ฮึ่มส่งหลักฐานให้องค์กรอิสระจัดการ ซัด ‘บิ๊กตู่’ ตอบเหมือนเดิม จวก อย่าปัดเรื่องสายสัมพันธ์ความเป็นญาติ
เมื่อเวลา 09.20 น. วันที่ 16 ก.พ. 2566 ที่รัฐสภา นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน หัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ถึงภาพรวมการอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 เมื่อวันที่ 15 ก.พ. ที่ผ่านมา ว่า พรรคร่วมฝ่ายค้านทำหน้าที่ได้ดีอย่างยิ่ง ในการนำข้อเท็จจริงหรือปัญหาที่เกิดขึ้น มาบอกที่ประชุมสภาฯ เพื่อส่งไปยังคณะรัฐมนตรี (ครม.) ส่วนนายกรัฐมนตรีจะตอบอย่างไร จะออกมาแสดงเหตุผลอย่างไร ว่าสิ่งที่พูดไม่ใช่ปัญหาและไม่ใช่ข้อเท็จจริง นายกฯ ก็ต้องชี้แจงในสภาฯ เอง
นพ.ชลน่าน กล่าวว่า การนำเสนอของเราไม่ได้เป็นการกล่าวหาว่าตัวรัฐมนตรีผิดอย่างไร แต่เรานำเสนอว่าเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองและสร้างความเสียหาย จึงเป็นหน้าที่ของรัฐมนตรีที่ต้องไปดูว่าข้อเท็จจริงที่ปรากฏขึ้นเป็นจริงตามที่พวกเราได้พูดในสภาฯ หรือไม่ อย่างไรก็ตาม โดยรวมส.ส.ผู้อภิปรายทำหน้าที่บรรลุได้ตามเป้าหมาย และมีหลายเรื่องที่สามารถกล่าวหา หรือใช้อภิปรายไม่ไว้วางใจได้ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 151
เมื่อถามว่า การอ้างว่ามีบางเรื่องสามารถนำไปใช้ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจได้ จะนำเรื่องดังกล่าวไปยื่นต่อองค์กรอิสระให้ดำเนินการตรวจสอบด้วยหรือไม่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ในประเด็นที่เราหยิบยกขึ้นมาพูด ที่มีหลักฐานชัด สามารถนำไปดำเนินการต่อเนื่องได้ ซึ่งเป็นแนวทางที่เราได้ปรึกษาหารือกันไว้อยู่แล้ว ส่วนจะดำเนินการเมื่อไหร่นั้น จะต้องดูช่วงเวลาที่เหมาะสม
เมื่อถามว่า การอภิปรายวันนี้ (16 ก.พ.) ฝ่ายค้านจะมีหมัดเด็ดหรือไม่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า มีแน่นอน เพราะเราวางเวลาไว้ 2 วัน ซึ่งไฮไลต์ในแต่ละวัน ฝ่ายค้านได้ร่วมกันปรึกษาหารือและวางแผน โดยการอภิปรายในวันนี้จะมีเรื่องสำคัญอีกหลายเรื่องที่น่าติดตาม
เมื่อถามว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ระบุการอภิปรายทั่วไปของฝ่ายค้านครั้งนี้เป็นเรื่องเดิมๆ ซ้ำซาก และเป็นการพูดเพื่อหาเสียงในสภา ฝ่ายค้านจะแก้มืออย่างไร นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ไม่ต้องแก้มือ ตนในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน ได้อภิปรายนำไปแล้วว่า ข้อเท็จจริงคือสิ่งที่ปรากฏขึ้น ถ้ามันไม่ปรากฏขึ้นก็ไม่เรียกว่าข้อเท็จจริง ประเด็นมันไม่เกี่ยวว่าเป็นเรื่องเก่าเรื่องใหม่ แต่มันเกี่ยวข้องกับการบริหารราชการแผ่นดินของคุณหรือไม่ และมีวิธีจัดการกับข้อเท็จจริงเหล่านั้นอย่างไร
นพ.ชลน่าน กล่าวต่อว่า ส่วนเรื่องการหาเสียงในสภา ก็ได้ประกาศแต่แรกแล้วว่า การนำข้อมูลมาเปิดเผยในช่วงนี้ ย่อมส่งผลกับการตัดสินใจของประชาชน เราไม่ต้องหาเสียงเลย เพียงแต่นำข้อมูลและข้อเท็จจริงที่มีอยู่แล้วจากการทำหน้าที่ของครม. ย่อมส่งผลต่อการตัดสินใจว่าจะเลือกหรือไม่เลือกเขา
เมื่อถามว่า หลังจากได้ฟังคำชี้แจงของนายกรัฐมนตรีแล้ว คิดว่าได้รับคำตอบบ้างหรือไม่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ตนไม่อยากวิจารณ์คำตอบของนายกฯ แต่พวกเราฟังแล้วก็รู้อยู่ ถ้าจะบอกว่าฝ่ายค้านนำเรื่องเดิมมาอภิปราย คำตอบของท่านนายกฯ นั่นแหละคือคำตอบเดิมๆ ตอบเลี่ยงๆ ว่าเป็นเรื่องของครอบครัวผม อะไรไม่เกี่ยวก็คือไม่เกี่ยว ท่านจะปฏิเสธความผูกพันความเป็นญาติไม่ได้ ท่านจะดูแลครอบครัวของตัวเองที่หมายถึงลูกเมียไม่ได้ มันมีความเชื่อมโยงผูกพันทางด้านนิตินัย เช่น พ่อเขาเป็นส.ว. เป็นนายทหาร มีอำนาจหน้าที่ และสิ่งที่ปรากฏขึ้นเกี่ยวข้องกับหน้าที่และอำนาจของเขา มันปฏิเสธไม่ได้
“ฉะนั้น คำตอบของนายกฯ ไม่ว่าจะเรื่องหลาน การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ มันบ่งชัดอยู่แล้ว เช่น สิ่งที่คุณพูดมาว่าทำหมดแล้ว 8 ปี แต่มันยังไม่มีผล นั่นเป็นการพูดเองยอมรับเอง มันคืออะไร ก็คือล้มเหลว เมื่อล้มเหลวก็เป็นหน้าที่ของฝ่ายตรวจสอบที่ต้องเอามาบอกกับประชาชนว่า ล้มเหลวอย่างไร ทำไมจึงไม่สำเร็จ แล้วคุณยังจะอาสาทำต่อหรือ” นพ.ชลน่าน กล่าว
"ชนก" อัด รัฐบาลประยุทธ์ เหลว ฟื้นฟู-บำบัด ผู้เสพ-ติดยาเสพติด
https://www.thairath.co.th/news/politic/2631258
"ชนก" อัด รัฐบาลประยุทธ์ ล้มเหลว เรื่องฟื้นฟู-บำบัด ผู้เสพ-ติดยาเสพติด ผลักภาระให้ประชาชนเผชิญความเสี่ยง ชี้ ถ้าเลือกตั้งครั้งหน้า โว หากพรรคเพื่อไทยเข้ามาเป็นรัฐบาล จะทำให้ดู
เมื่อวันที่ 16 ก.พ. 66 เมื่อเวลา 09.10 น.น.ส.ชนก จันทาทอง ส.ส.หนองคาย พรรคเพื่อไทย (พท.) อภิปรายทั่วไปเพื่อซักถามข้อเท็จจริงหรือเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรีโดยไม่มีการลงมติกรณีเกี่ยวกับปัญหายาเสพติด ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ได้แถลงนโยบายต่อสภาฯ ประกาศเรื่องยาเสพติดเป็นนโยบายเร่งด่วนสำคัญ 1 ใน 12 ประกาศให้เป็นวาระแห่งชาติ แต่ตลอดระยะเวลาของการบริหารประเทศโดยพล.อ.ประยุทธ์ ปัญหายาเสพติดล้มเหลว ไร้ประสิทธิภาพในทุกมิติ ทั้งด้านป้องกัน ปราบปราม บำบัดฟื้นฟู จากที่ท่าน ส.ส.มนพร เจริญศรี ส.ส.นครพนม พรรคเพื่อไทยได้อภิปรายก่อนหน้า แสดงให้เห็นถึงความล้มเหลวในการป้องกัน ปราบปรามยาเสพติด ที่เป็นต้นน้ำของปัญหา ยิ่งบริหารประเทศปริมาณยาเสพติดที่ถูกจับกุมยิ่งเพิ่มสูงขึ้น ในปี 2564 ประเทศไทยสามารถการจับกุมยาไอซ์จำนวน 22,126 กิโลกรัม และยาบ้ากว่า 592 ล้านเม็ด เป็นปริมาณมากที่สุดในภูมิภาคเอเซียตะวันออกและเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งตัวเลขนี้ส่งผลต่อไปถึง "ผู้เสพในฐานะผู้ป่วย" ที่เพิ่มสูงขึ้นด้วย ทั้งนี้ กระทรวงยุติธรรมมีแนวทางลดทอนความเป็นอาชญากรรม เพื่อลดความแออัดในเรือนจำ ทำให้ผู้เสพยาในฐานะผู้ป่วย ออกจากเรือนจำมาอยู่ในสังคมเพิ่มมากขึ้น แต่กลับถูกเติมปัญหาด้วยการปลดล็อกกัญชาซึ่งทำให้ ผู้เสพ ผู้ติด ในฐานะผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้นอีก ซึ่งจากที่ตนกล่าวมา ล้วนแล้วแต่เป็นปัจจัยที่ทำให้จำนวนผู้ป่วยจิตเวชที่เกิดจากการใช้สารเสพติดเพิ่มสูงขึ้น แต่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ กลับไม่มีระบบการบำบัดฟื้นฟูผู้ป่วยที่มีประสิทธิภาพรองรับ
โดยจากข้อมูลสำนักงานเลขานุการคณะกรรมการบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติด กระทรวงสาธารณสุข 2564 จำนวนผู้ป่วยจิตเวชที่เกิดจากการใช้สารเสพติด จำนวนมากถึง 622,172 ราย มารักษาต่อเนื่องครบ 1 ปี จำนวน 360,486 ราย คิดเป็น 57.94% ไม่มารักษาต่อเนื่อง
ครบ 1 ปี จำนวน 261,686 ราย คิดเป็น 42.06% และในจำนวน 622,127 รายนี้ ผู้ป่วยจิตเวชที่ใช้สารเสพติดและมีแนวโน้มก่อความรุนแรง เป็นกลุ่มที่ควรได้รับการบำบัดทั้งด้านร่างกาย จิตใจ และสังคมอย่างต่อเนื่อง มารับการรักษาต่อเนื่องครบ 1 ปี จำนวน 28,250 ราย คิดเป็น 52.82% ไม่มารับการรักษาต่อเนื่องครบ 1 ปี จำนวน 25,234 ราย คิดเป็น 47.18% ตัวเลขนี้ชี้ถึงจำนวนผู้ป่วยจิตเวชที่เข้ารับการรักษาไม่ต่อเนื่อง 1 ปีมีความเสี่ยงที่จะกลับมาใช้สารเสพติดอีกครั้ง หมายถึงความไม่มีประสิทธิภาพของระบบการบำบัดฟื้นฟูที่ไม่สามารถทำให้ผู้ป่วยจิตเวชเข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่องครบ 1 ปี นี่ยังไม่รวมถึงปัญหาแวดล้อม เช่น สถานที่ที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยจิตเวช, แพทย์จิตเวชที่ขาดแคลน โดยข้อมูลกรมสุขภาพจิต แพทย์จิตเวช 1 คนต้องดูแลประชาชนมาถึงแสนคน และขาดบุรุษพยาบาลที่มีความรู้ความเข้าใจผู้ป่วยจิตเวช สุดท้ายรัฐบาลโดยการนำของพล.อ.ประยุทธ์ ได้ปล่อยให้ประชาชนต้องเผชิญหน้ากับความรุนแรง และเสี่ยงต่อชีวิตและทรัพย์สิน
น.ส.ชนก กล่าวว่า งบประมาณเกี่ยวกับยาเสพติดที่จัดสรรให้หน่วยงานหลัก สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด กระทรวงยุติธรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอีก 9 กระทรวง 26 หน่วยงาน 2 ส่วนราชการเพื่อการป้องกันปราบปรามและฟื้นฟู ปี 2564 งบประมาณเกี่ยวกับยาเสพติด 6,129 ล้านบาท กระทรวงสาธารณสุข 1,058 ล้านบาท ปี 2565 งบประมาณเกี่ยวกับยาเสพติด 4,281 ล้านบาท กระทรวงสาธารณสุข 744 ล้านบาท แต่โครงการการติดตามผู้บำบัดได้งบประมาณเพียง 10 ล้านบาท และโครงการบำบัดรักษาฟื้นฟูสมรรถภาพของกรมการแพทย์มีงบประมาณ 219 ล้านบาท ซ้ำร้ายกว่านั้นจิตแพทย์ที่ถือเป็นบุคลากรหลักของการบำบัดที่ต้องเร่งผลิตจิตแพทย์ที่มีความรู้ความเข้าใจและความเชี่ยวชาญในการฟื้นฟูบำบัดผู้เสพในฐานะผู้ป่วยงบสำหรับกรมสุขภาพจิตกลับมีเพียง 60 ล้านบาทเท่านั้น เมื่อเทียบกับการที่ประชาชนต้องเผชิญหน้ากับความรุนแรงเสี่ยงทั้งชีวิตและทรัพย์สิน ซึ่งมีตัวอย่างให้เห็น เช่น เหตุการณ์ ส.ต.อ.ปัญญา คําราบ (ตร.นอกราชการ) มีประวัติเกี่ยวข้องกับยาเสพติด และเสพยา ก่อเหตุใช้อาวุธมีดและปืนทําร้ายผู้คนในศูนย์เด็กเล็ก อบต.อุทัยสวรรค์ ตรงนี้ถือว่าการจัดสรรงบประมาณน้อยมาก
"ย้อนกลับไปในปี 2544 ทันทีที่ ดร.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ได้ประกาศสงครามกับยาเสพติดเป็นวาระแห่งชาติ จำนวนคดียาเสพติดและผู้เกี่ยวข้องลดลงอย่างเห็นได้ชัด ภายใต้แนวคิดหลัก ภายใต้แสงอาทิตย์นี้ ไม่มีอะไรที่ตำรวจไทยทำไม่ได้ ต่อมารัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ประกาศนโยบายแก้ไขปัญหายาเสพติดเป็นวาระแห่งชาติ เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2554 ภายใต้แนวคิดหลัก ผู้เสพ คือ ผู้ป่วย เพื่อให้ผู้เสพติดได้รับการบำบัดอย่างถูกต้อง จนทำให้คดียาเสพติดลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ที่สืบทอดอำนาจมาจากเผด็จการ ที่มีทั้งกฎหมายพิเศษอย่าง ม.44 จัดการกับทุกปัญหาของประเทศจนต่อเนื่องมาเป็นรัฐบาล แต่คดียาเสพติดยังเพิ่มขึ้นทุกปี ภายใต้แนวคิดหลัก 'ร้อยนายกฯ ก็แก้ปัญหายาเสพติด-พนันไม่ได้' หากการเลือกตั้งที่จะมาถึงพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาล เข้ามาบริหารประเทศ เพื่อไทยมายาเสพติดต้องหมดไป คืนชีวิตปลอดภัยให้ประชาชน เราจะทำให้ดู" น.ส.ชนก กล่าว.
กลาโหมอังกฤษลั่น ฝึกทหารยูเครนรบอย่าง ‘ตะวันตก’ ลดปริมาณการใช้อาวุธ รับมือรัสเซีย
https://www.matichon.co.th/foreign/news_3825405
กลาโหมอังกฤษลั่น ฝึกทหารยูเครนรบอย่าง ‘ตะวันตก’ ลดปริมาณการใช้อาวุธ รับมือรัสเซีย
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ว่า เบน วอลเลซ รัฐมนตรีกลาโหมอังกฤษ กล่าวว่า อังกฤษกำลังทำการฝึกทหารยูเครนให้สู้รบแบบ “ชาติตะวันตก” มากขึ้นและใช้อาวุธให้น้อยลงกว่าการต่อสู้แบบดั้งเดิมตามวิธีการของโซเวียต
โดยอังกฤษพร้อมทั้งพันธมิตรชาติตะวันตกอื่นๆ ได้ทำการฝึกทหารยูเครน รวมถึงจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์และกระสุน เพื่อสนับสนุนเคียฟในการต่อสู้กับรัสเซีย
วอลเลซกล่าวว่า อังกฤษซื้อและค้าขายกระสุนที่มีมาตรฐานแบบโซเวียต ในขณะเดียวกันก็ช่วยกองทัพยูเครนเปลี่ยนแปลงเพื่อปลดล็อกการเข้าถึงคลังกระสุนของพวกเรา
“ในขณะเดียวกัน พวกเรากำลังฝึกฝนเพื่อให้มั่นใจว่าพวกเขาใช้มันอย่างมีประสิทธิภาพและถูกต้อง” วอลเลซกล่าว
“วิธีการต่อสู้ของรัสเซียหรือวิธีอย่างโซเวียตคือการรัวกระสุนอย่างหนัก การระดมยิงด้วยปืนใหญ่ขนาดใหญ่ ซึ่งนั่นไม่ใช่วิธีที่เราต่อสู้ในนาโต” วอลเลซกล่าว
เมื่อถูกถามว่า พันธมิตรตะวันตกควรจัดหาเครื่องบินขับไล่ให้ยูเครนด้วยหรือไม่ วอลเลซกล่าวว่า การใช้เครื่องบินรบจำเป็นต้องมีการฝึกอบรมนักบินและลูกเรือสนับสนุนอย่างยาวนาน และว่า อังกฤษสามารถให้การสนับสนุนได้รวดเร็วและในทันทีผ่านการจัดหาอาวุธ อาทิ ขีปนาวุธต่อต้านอากาศยาน