พท.จัดขุนพลถลกซักฟอก 152 ปูดพรรคร่วม รบ.จ้องไม่อยู่เป็นองค์ประชุม ท้า ‘บิ๊กตู่’ เจอสักครั้ง
https://www.matichon.co.th/politics/news_3819848
พท.จัดขุนพลถลกซักฟอก 152 ปูดพรรคร่วม รบ.จ้องไม่อยู่เป็นองค์ประชุม ท้า ‘บิ๊กตู่’ มาเจอกันอีกสักครั้งจะเป็นไร
เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ นาย
สมคิด เชื้อคง ส.ส.อุบลราชธานี พรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะรองประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) กล่าวถึงความพร้อมในการอภิปรายทั่วไปตามมาตรา 152 ในวันที่ 15-16 กุมภาพันธ์นี้ ว่า ขณะนี้ได้เตรียมขุนพลไว้อภิปราย 18 คน อาจจะมีเพิ่มขึ้นหรือลดลงบ้าง หากมีข้อมูลซ้ำซ้อนก็จะถอยออก ยืนยันว่าพร้อมเต็มที่เพราะได้มีการซักซ้อมมาแล้ว และจะอภิปรายตามเวลาที่กำหนด ทั้งนี้ พรรค พท.หวังว่าการอภิปรายครั้งนี้ พิสูจน์ให้เห็นว่ารัฐบาลทำอะไรไม่ดีบ้าง ปกป้องคนทำผิดอย่างไร เกิดความไม่ชอบมาพากล ทุจริตคอร์รัปชั่นอย่างไร แต่พี่น้องประชาชนจะอย่างไรก็อยู่ที่ผลการเลือกตั้ง
เมื่อถามว่า กรณีที่นาย
วิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ระบุว่าหากองค์ประชุมไม่ครบหรือสภาล่ม ถือว่าจบการอภิปรายและสิ้นสุดญัตติทันที นาย
สมคิดกล่าวว่า นาย
วิษณุพูดอาจจะเข้าใจคลาดเคลื่อนแต่ก็มีความใกล้เคียงบ้าง เพราะสภาล่มญัตติไม่ได้ตกไปในวันนั้นทันที สมมุติว่าวันที่ 15 กุมภาพันธ์ องค์ประชุมไม่ครบ แต่ญัตติก็ยังค้างสภาอยู่ จากนั้นวันที่ 16 กุมภาพันธ์ มาประชุมใหม่ก็ใช้ญัตติเดิมเข้ามาอภิปรายต่อ ดังนั้น เมื่อสภาล่มเราก็ไม่ได้พูดเท่านั้นเอง แล้วสภาปิดสมัยประชุมญัตติก็ตกไปโดยปริยาย รวมทั้งวันที่ 23 กุมภาพันธ์ ก็เป็นอาทิตย์สุดท้ายของสภาชุดนี้ด้วย
เมื่อถามว่า เป็นเกมการเมืองของฝ่ายรัฐบาลหรือไม่เพื่อไม่ให้ฝ่ายค้านได้อภิปราย นาย
สมคิดกล่าวว่า เท่าที่ได้ข่าวมีบางพรรคที่เป็นพรรคร่วมรัฐบาลไม่เข้าร่วมเป็นองค์ประชุม ไม่รู้ว่าเป็นแผนจริงๆ หรือไม่ เพราะมันเป็นแค่ข่าว แต่มองว่ารัฐบาลไม่ควรทำแบบนั้นเด็ดขาดมันเป็นผลเสียแก่รัฐบาลเอง ทั้งนี้ การอภิปรายทั่วไปตามมาตรา 152 ไม่ได้มัดปากฝ่ายรัฐบาล รัฐบาลก็ได้พูดฝ่ายค้านก็ได้พูด ต่างคนต่างก็ได้พูดได้ชี้แจง คนที่จะตัดสินคือพี่น้องประชาชน ฉะนั้นถ้ารัฐบาลทำองค์ประชุมไม่ครบ เราก็จนด้วยเกล้า มันไม่ได้พูดเท่านั้น ถามว่ารัฐบาลเป็นแบบนั้นรัฐบาลกลัวอะไร ไหน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม บอกว่าตัวเองไม่กลัว บริสุทธิ์ ยุติธรรม พร้อมสู้ทุกรูปแบบ แล้ว พล.อ.ประยุทธ์จะเดินเข้าสภามาเจออีกสักครั้งก็ไม่เห็นเป็นไร
อดีตเลขาสมช. อัดรบ. เมินนำเสนอพูดคุยสันติภาพ หลังนายกฯมาเลย์เยือนไทย หนุนเต็มที่
https://www.matichon.co.th/politics/news_3819889
อดีตเลขาสมช. อัดรบ. เมินนำเสนอพูดคุยสันติภาพ หลังนายกฯมาเลย์เยือนไทย หนุนเต็มที่
เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ พลโท
ภราดร พัฒนถาบุตร เลขานุการคณะกรรมการกิจการพิเศษพรรคเพื่อไทยอดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) กล่าวว่า ตามที่ดาโต๊ะ เซอรี อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เยือนไทยเมื่อ 9-10 กุมพาพันธ์ และได้มีวาระเข้าพบหารือกับพล.อ.
ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับสองหัวข้อใหญ่ เรื่องแรกคือมุ่งส่งเสริมการค้าการลงทุนและเชื่อมโยงการพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่ชายแดนไทย–มาเลเซีย เรื่องที่สองนายกฯมาเลย์ ลั่น จะทำทุกอย่าง เพื่อเอื้อให้เกิด ‘
พูดคุยสันติภาพ’ ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้(จชต.) แต่รัฐบาลได้เน้นให้ข่าวเพียงประเด็นแรกส่วนประเด็นที่สองซึ่งถือเป็นปัจจัยหลักเพราะจะไปสร้างบรรยากาศความเชื่อมั่นและส่งผลทำให้ประเด็นแรกเกิดผลสัมฤทธิ์กลับไม่ออกข่าว มันบ่งบอกถึงความด้อยวิสัยทัศน์ต่อการแก้ไขปัญหาเร่งด่วนของประเทศของนายกฯสืบทอดอำนาจคนนี้ การไม่เน้นออกข่าว’การพูดคุยสันติภาพ’น่าจะมีมูลเหตุมาจากความละอายว่าร่วม10ปีที่รัฐบาลนี้แบกความรับผิดชอบตรงๆแต่พัฒนาการเรื่องนี้กลับไปไม่ถึงไหนเหมือนเดินวนอยู่ในเขาวงกต
“
ทั้งๆที่ทางมาเลเซียได้สนับสนุนการดำเนินการให้กับเราเป็นอย่างดี เพราะเขารับรู้ว่าผลสำเร็จในเรื่องนี้มันส่งผลถึงความปลอดภัยบริเวณชายแดนของทั้งสองประเทศ ปัจจัยความสำเร็จของการพูดคุยสันติภาพคือความไว้วางใจระหว่างรัฐไทยกับขบวนการผู้เห็นต่าง มิอาจหวังได้จากรัฐบาลสืบทอดอำนาจเพราะมีพื้นมาจากการเป็นปรปักษ์สุดขั้วกับขบวนการผู้เห็นต่างแต่จะเกิดขึ้นได้โดยรัฐบาลประชาธิปไตยเพราะครรลองประชาธิปไตยจะสร้างการมีส่วนร่วมในการพูดคุยสันติภาพในทุกระดับของภาคประชาชนพื้นที่จชต.และไปจบลงบนความไว้วางใจซึ่งกันและกันในท้ายที่สุด นี่จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ประชาชนผู้รักประชาธิปไตยจะร่วมกันคว่ำนายกฯสืบทอดอำนาจ เพื่อได้รัฐบาลปีกประชาธิปไตยมาขับเคลื่อนนโยบายการพูดคุยสันติภาพจชต.ให้บังเกิดผลสัมฤทธิ์สันติสุขสมการรอคอย” พล.ท.
ภราดร กล่าว
“แพทย์ชนบท” ซัด “หมอทวีศิลป์” มั่ว อยากเอาใจนาย งัดคำสั่งปี’58มาใช้ ทั้งที่ต้องทำตามหลักเกณฑ์ อ.ก.พ.
https://www.matichon.co.th/local/quality-life/news_3820152
“แพทย์ชนบท” ซัด “หมอทวีศิลป์” มั่ว อยากเอาใจนาย งัดคำสั่งปี’58 มาใช้ ทั้งที่ต้องทำตามหลักเกณฑ์ อ.ก.พ. แนะคิดให้รอบคอบก่อน ไว้ค่อยแก้ต่างในศาล
เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ เพจชมรมแพทย์ชนบท โพสต์ข้อความเรื่อง “
รองปลัดฯทวีศิลป์ เริ่มมั่ว เพราะอยากเอาใจนาย หรือถูกนายสั่งให้ออกมาแถลง” โดยมีรายละเอียดว่า รองปลัดฯ
ทวีศิลป์ เริ่มมั่ว เพราะอยากเอาใจนาย หรือถูกนายสั่งให้ออกมาแถลง ไปคว้าคำสั่งสมัย ปลัดณรงค์ที่ใกล้เกษียณอายุราชการ ปี 2558 ต้องการผลักดันเขตสุขภาพ แต่ไม่เป็นผล เนื่องจากการมอบอำนาจดังกล่าว ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไข กพ.มีกระบวนการ ขั้นตอนที่จะต้องปฏิบัติ แม้มีการมอบอำนาจให้ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข แต่ไม่ใช่ว่าจะทำได้เลย ต้องทำตามหลักเกณฑ์ที่ อ.ก.พ.กำหนด
จึงไม่เคยมีผู้ตรวจฯคนไหนลงนามในคำสั่งย้าย นายแพทย์เชี่ยวชาญ ผู้อำนวยการโรงพยาบาล ไปลงตำแหน่งใหม่ ขาดจากอัตราเดิม แบบเดียวกับที่ทำกับหมอสุภัทร ใครมีเอามาแสดงให้ดูหน่อย
การบริหารงานบุคคล การแต่งตั้งโยกย้าย ต้องทำตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไข วิธีการที่ อ.ก.พ. กำหนด เมื่อมี ตำแหน่งว่าง ให้หน่วยงานต้องพิจารณาจะใช้วิธีการเลื่อน การย้าย หรือการโอน โดยแจ้งเหตุผลและความจำเป็น เสนอผู้มีอำนาจสั่งบรรจุตามมาตรา 57 พิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนดำเนินการ แล้วจึงเสนอคณะกรรมการประเมินบุคคล
กรณีโรงพยาบาลสะบ้าย้อย เดิมมีนายแพทย์
นพฎล สุทธิพงษ์ รักษาการ ผอ.รพ.ตั้งแต่ 9 สิงหาคม พ.ศ.2560
ต่อมาได้ส่งตัว นาย
นพฎล สุทธิพงษ์ รักษาการ ผอ.รพ.สะบ้าย้อย กลับไปปฏิบัติราชการสังกัดเดิม (รพ. โคกโพธิ์ ปัตตานี) ตาม หนังสือกระทรวงสาธารณสุขที่ สธ 0208.10/4195 ลงวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ.2565 ลงนามโดย นาย
ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข รักษาราชการแทน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข
ทำให้มีตำแหน่งว่าง แต่ไม่มีการรับสมัคร ไม่มีการถามความสมัครใจ จู่ๆ ก็มีคำสั่งย้ายนายแพทย์
สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ จาก ผอ.รพ.จะนะ ไปดำรงตำแหน่ง ผอ.รพ.สะบ้าย้อย ตามคำสั่งกระทรวงสาธารณสุขที่ 125/2566 ลงวันที่ 25 มกราคม 2566 ลงนามโดย นาย
สวัสดิ์ อภิวัจนีวงศ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวง ปฏิบัติราชการแทนปลัดกระทรวงสาธารณสุข โดยอาศัยอำนาจตาม หนังสือสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ที่ สธ 0208.08/ว 554 ลงวันที่ 23 มกราคม 2566 เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการบริหารงานบุคคลในจังหวัดชายแดนใต้ กรณีการย้ายหรือการโอนข้าราชการไปดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการ ระดับเชี่ยวชาญของสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข เฉพาะตามคำสั่งมอบอำนาจให้ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข ที่รองปลัดทวีศิลป์อ้างถึงว่ามีมาตั้งแต่ปี 2558 นั้นทำไม่ได้นะครับ
กรณีย้ายหมอ
สุภัทรจึงปรากฏเป็นข่าวว่ามีที่มา มีใบสั่ง มีการเตรียมการให้มีตำแหน่งว่าง กระบวนการขั้นตอนมีการเร่งรัด เร่งรีบ ผิดปกติในการดำเนินการ ชนิดที่ไม่เคยมีมาก่อน
ท่านอย่ามาปกป้องการกระทำที่ไร้ธรรมาภิบาลเลย เอกสารที่ยกมานี้ก็เห็นชัดเจน เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ โปรดไตร่ตรองให้รอบคอบ ก่อนจะไปร่วมขบวนการฟอกขาว เอาไว้เมื่อเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ค่อยมาแก้ต่าง
‘ชูวิทย์’ ชำแหละวงการสีกากี ‘นายพล จ.’ กินอากาศ-ทะเล เก่งตรวจห้องน้ำโรงพัก
https://www.dailynews.co.th/news/1988645/
"ชูวิทย์" ชำแหละวงการสีกากี ใช้ยศฐาบังหน้า เบื้องหลังเน่าเฟะ แฉแหลกตั้งแต่ “สารวัตรซัว” ไปจนถึง "นายพล จ." อยู่สีเทามานาน หาประโยชน์บ่อนออนไลน์-น้ำมันเถื่อน การงานไม่ได้เรื่องแต่กลับเก่งตรวจห้องน้ำ เป็นเรื่องน่าเศร้าของตำรวจที่ผู้ใหญ่มักชื่นชม "ตำรวจรวยสีเทา"
เมื่อวันที่ 12 ก.พ. พล.ต.ท.
วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. กล่าวถึง ความคืบหน้าการดำเนินการเอาผิดเว็บไซต์พนันออนไลน์ มาเก๊า 888 ว่า ขณะนี้ชุดสืบสวนสอบสวนได้นำพยานหลักฐานที่ได้มาตรวจสอบ พร้อมกับประสานความร่วมมือกับทาง ปปง.และสถาบันการเงิน เพื่อตรวจสอบเส้นทางการเงินว่ามีความเชื่อมโยงไปถึงบุคคลใด ยืนยันเอาผิดไม่มีมวยล้ม ในส่วนความคืบหน้าการเดินทางไปสอบปากคำนักแสดงสาว
ดิว อริสรา อยู่ระหว่างการดำเนินการขั้นตอนการเดินทางซึ่งคาดว่าการสัปดาห์จะสามารถเดินทางไปสอบปากคำได้
ขณะที่ นาย
ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมืองชื่อดัง ได้ออกมาโพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว หัวข้อ
ตำรวจสีเทา มั่วซั่ว โดดเด่น โดยมีเนื้อหาใจความว่า
หลังกระชากหน้ากากคนอย่าง “สารวัตรซัว” ให้คนเห็น มีอาชีพเป็นตำรวจ แต่มีธุรกิจต่างประเทศลงทุนที่เขมร ทั้งคาสิโน บ่อนออนไลน์ และตั้งศูนย์เซิร์ฟเวอร์ ในประเทศมีธุรกิจเป็นสิบบริษัท ตลาดสดร่วมทุนกับลูกคนดังสีเทาย่านฝั่งธนฯ ส่วนออฟฟิศใหญ่โตอยู่แถวรามอินทรา ความร่ำรวยขยายงานไม่หยุดยั้งของสารวัตรซัวล้วนเอาเวลาราชการตำรวจมาทำ
หากอ้างว่าทำนอกเวลา ต้องไม่มีเวลาเหลือให้นอน เพราะเกินมนุษย์ปกติที่หากินสุจริตจะทำได้ แถมยังมีเวลาบินไปปอยเปต ไปสิงคโปร์ ไปลอนดอนเป็นว่าเล่น นี่ก็เวลาราชการทั้งนั้น นายซัวคงเติบใหญ่ทั้งธุรกิจเทาๆ และอาชีพตำรวจไปพร้อมกัน จนวันหนึ่งได้เป็นนายพลตำรวจที่ไม่ได้ทำงาน ไม่เคยเหยียบไปที่สำนักงานเสียด้วยซ้ำ แล้วคนที่เป็นตำรวจอาชีพจริงๆ คนไหนจะไปสู้ได้?
นอกจากการเอาเปรียบใช้ยศตำรวจบังหน้า ได้เงินเดือนจากภาษีประชาชนแล้ว ยังเอาเวลาราชการเบียดบังไปขยายธุรกิจสีเทา ถึงขนาดไปซื้อ “อาบอบนวด” ของนายกำพล วิคตอเรีย ผู้ต้องหาหนีคดีค้ามนุษย์ ที่ชื่อ “โคปา คาบานา” ย่านรัชดาฯ แล้วเปลี่ยนชื่อเป็น “ลาลิซ่า” โดยใช้ลูกน้องเด็กบ้านนอก ลูกชาวนาสุพรรณไปถือหุ้นแทน หากไล่สอบย่อมรู้ว่าเป็น “นอมินี” แม้จะรีบเปลี่ยนชื่อหลังเรื่องดัง นายซัวใช้นอมินีบังชื่อตัวเองหมดในธุรกิจเทาๆ และพยายามให้ทุกคน “WFH” (work from home) ในช่วงนี้ เพื่อเลี่ยงการถูกบุกตรวจค้น
คำถามตกผลึกมาว่า “สังคมไทยต่อสู้ระวังกับคนร้ายทั่วไปไม่พอ ยังต้องมาคอยระแวงกับคนที่ใช้เครื่องแบบหากินอีกหรือ?” แม้ไม่ได้ใช้อาวุธปล้น แต่ใช้สมองปล้นเงินในกระเป๋าเยาวชนไทยแทนด้วยการพนันออนไลน์ ตำรวจ 200,000 กว่านาย ที่เป็นตำรวจอาชีพจะรู้สึกอย่างไร กับการทำงานที่หลังขดหลังแข็ง ต้องเสี่ยงกับโจรขโมยปกป้องทรัพย์สินของประชาชน ยิ่ง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เสี่ยงกับระเบิดของโจรใต้เข้าไปอีก นี่เป็นระบบ “ความไม่เท่าเทียม เหลื่อมล้ำ” ในสังคมข้าราชการทุกวันนี้
JJNY : 5in1 พท.ท้า‘ตู่’เจอสักครั้ง│อดีตเลขาสมช.อัดรบ.│ซัด“หมอทวีศิลป์”มั่ว│‘ชูวิทย์’ชำแหละ│หญิงตั้งครรภ์รัสเซียแห่หนี
https://www.matichon.co.th/politics/news_3819848
พท.จัดขุนพลถลกซักฟอก 152 ปูดพรรคร่วม รบ.จ้องไม่อยู่เป็นองค์ประชุม ท้า ‘บิ๊กตู่’ มาเจอกันอีกสักครั้งจะเป็นไร
เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ นายสมคิด เชื้อคง ส.ส.อุบลราชธานี พรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะรองประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) กล่าวถึงความพร้อมในการอภิปรายทั่วไปตามมาตรา 152 ในวันที่ 15-16 กุมภาพันธ์นี้ ว่า ขณะนี้ได้เตรียมขุนพลไว้อภิปราย 18 คน อาจจะมีเพิ่มขึ้นหรือลดลงบ้าง หากมีข้อมูลซ้ำซ้อนก็จะถอยออก ยืนยันว่าพร้อมเต็มที่เพราะได้มีการซักซ้อมมาแล้ว และจะอภิปรายตามเวลาที่กำหนด ทั้งนี้ พรรค พท.หวังว่าการอภิปรายครั้งนี้ พิสูจน์ให้เห็นว่ารัฐบาลทำอะไรไม่ดีบ้าง ปกป้องคนทำผิดอย่างไร เกิดความไม่ชอบมาพากล ทุจริตคอร์รัปชั่นอย่างไร แต่พี่น้องประชาชนจะอย่างไรก็อยู่ที่ผลการเลือกตั้ง
เมื่อถามว่า กรณีที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ระบุว่าหากองค์ประชุมไม่ครบหรือสภาล่ม ถือว่าจบการอภิปรายและสิ้นสุดญัตติทันที นายสมคิดกล่าวว่า นายวิษณุพูดอาจจะเข้าใจคลาดเคลื่อนแต่ก็มีความใกล้เคียงบ้าง เพราะสภาล่มญัตติไม่ได้ตกไปในวันนั้นทันที สมมุติว่าวันที่ 15 กุมภาพันธ์ องค์ประชุมไม่ครบ แต่ญัตติก็ยังค้างสภาอยู่ จากนั้นวันที่ 16 กุมภาพันธ์ มาประชุมใหม่ก็ใช้ญัตติเดิมเข้ามาอภิปรายต่อ ดังนั้น เมื่อสภาล่มเราก็ไม่ได้พูดเท่านั้นเอง แล้วสภาปิดสมัยประชุมญัตติก็ตกไปโดยปริยาย รวมทั้งวันที่ 23 กุมภาพันธ์ ก็เป็นอาทิตย์สุดท้ายของสภาชุดนี้ด้วย
เมื่อถามว่า เป็นเกมการเมืองของฝ่ายรัฐบาลหรือไม่เพื่อไม่ให้ฝ่ายค้านได้อภิปราย นายสมคิดกล่าวว่า เท่าที่ได้ข่าวมีบางพรรคที่เป็นพรรคร่วมรัฐบาลไม่เข้าร่วมเป็นองค์ประชุม ไม่รู้ว่าเป็นแผนจริงๆ หรือไม่ เพราะมันเป็นแค่ข่าว แต่มองว่ารัฐบาลไม่ควรทำแบบนั้นเด็ดขาดมันเป็นผลเสียแก่รัฐบาลเอง ทั้งนี้ การอภิปรายทั่วไปตามมาตรา 152 ไม่ได้มัดปากฝ่ายรัฐบาล รัฐบาลก็ได้พูดฝ่ายค้านก็ได้พูด ต่างคนต่างก็ได้พูดได้ชี้แจง คนที่จะตัดสินคือพี่น้องประชาชน ฉะนั้นถ้ารัฐบาลทำองค์ประชุมไม่ครบ เราก็จนด้วยเกล้า มันไม่ได้พูดเท่านั้น ถามว่ารัฐบาลเป็นแบบนั้นรัฐบาลกลัวอะไร ไหน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม บอกว่าตัวเองไม่กลัว บริสุทธิ์ ยุติธรรม พร้อมสู้ทุกรูปแบบ แล้ว พล.อ.ประยุทธ์จะเดินเข้าสภามาเจออีกสักครั้งก็ไม่เห็นเป็นไร
อดีตเลขาสมช. อัดรบ. เมินนำเสนอพูดคุยสันติภาพ หลังนายกฯมาเลย์เยือนไทย หนุนเต็มที่
https://www.matichon.co.th/politics/news_3819889
อดีตเลขาสมช. อัดรบ. เมินนำเสนอพูดคุยสันติภาพ หลังนายกฯมาเลย์เยือนไทย หนุนเต็มที่
เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ พลโทภราดร พัฒนถาบุตร เลขานุการคณะกรรมการกิจการพิเศษพรรคเพื่อไทยอดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) กล่าวว่า ตามที่ดาโต๊ะ เซอรี อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เยือนไทยเมื่อ 9-10 กุมพาพันธ์ และได้มีวาระเข้าพบหารือกับพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับสองหัวข้อใหญ่ เรื่องแรกคือมุ่งส่งเสริมการค้าการลงทุนและเชื่อมโยงการพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่ชายแดนไทย–มาเลเซีย เรื่องที่สองนายกฯมาเลย์ ลั่น จะทำทุกอย่าง เพื่อเอื้อให้เกิด ‘พูดคุยสันติภาพ’ ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้(จชต.) แต่รัฐบาลได้เน้นให้ข่าวเพียงประเด็นแรกส่วนประเด็นที่สองซึ่งถือเป็นปัจจัยหลักเพราะจะไปสร้างบรรยากาศความเชื่อมั่นและส่งผลทำให้ประเด็นแรกเกิดผลสัมฤทธิ์กลับไม่ออกข่าว มันบ่งบอกถึงความด้อยวิสัยทัศน์ต่อการแก้ไขปัญหาเร่งด่วนของประเทศของนายกฯสืบทอดอำนาจคนนี้ การไม่เน้นออกข่าว’การพูดคุยสันติภาพ’น่าจะมีมูลเหตุมาจากความละอายว่าร่วม10ปีที่รัฐบาลนี้แบกความรับผิดชอบตรงๆแต่พัฒนาการเรื่องนี้กลับไปไม่ถึงไหนเหมือนเดินวนอยู่ในเขาวงกต
“ทั้งๆที่ทางมาเลเซียได้สนับสนุนการดำเนินการให้กับเราเป็นอย่างดี เพราะเขารับรู้ว่าผลสำเร็จในเรื่องนี้มันส่งผลถึงความปลอดภัยบริเวณชายแดนของทั้งสองประเทศ ปัจจัยความสำเร็จของการพูดคุยสันติภาพคือความไว้วางใจระหว่างรัฐไทยกับขบวนการผู้เห็นต่าง มิอาจหวังได้จากรัฐบาลสืบทอดอำนาจเพราะมีพื้นมาจากการเป็นปรปักษ์สุดขั้วกับขบวนการผู้เห็นต่างแต่จะเกิดขึ้นได้โดยรัฐบาลประชาธิปไตยเพราะครรลองประชาธิปไตยจะสร้างการมีส่วนร่วมในการพูดคุยสันติภาพในทุกระดับของภาคประชาชนพื้นที่จชต.และไปจบลงบนความไว้วางใจซึ่งกันและกันในท้ายที่สุด นี่จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ประชาชนผู้รักประชาธิปไตยจะร่วมกันคว่ำนายกฯสืบทอดอำนาจ เพื่อได้รัฐบาลปีกประชาธิปไตยมาขับเคลื่อนนโยบายการพูดคุยสันติภาพจชต.ให้บังเกิดผลสัมฤทธิ์สันติสุขสมการรอคอย” พล.ท.ภราดร กล่าว
“แพทย์ชนบท” ซัด “หมอทวีศิลป์” มั่ว อยากเอาใจนาย งัดคำสั่งปี’58มาใช้ ทั้งที่ต้องทำตามหลักเกณฑ์ อ.ก.พ.
https://www.matichon.co.th/local/quality-life/news_3820152
“แพทย์ชนบท” ซัด “หมอทวีศิลป์” มั่ว อยากเอาใจนาย งัดคำสั่งปี’58 มาใช้ ทั้งที่ต้องทำตามหลักเกณฑ์ อ.ก.พ. แนะคิดให้รอบคอบก่อน ไว้ค่อยแก้ต่างในศาล
เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ เพจชมรมแพทย์ชนบท โพสต์ข้อความเรื่อง “รองปลัดฯทวีศิลป์ เริ่มมั่ว เพราะอยากเอาใจนาย หรือถูกนายสั่งให้ออกมาแถลง” โดยมีรายละเอียดว่า รองปลัดฯทวีศิลป์ เริ่มมั่ว เพราะอยากเอาใจนาย หรือถูกนายสั่งให้ออกมาแถลง ไปคว้าคำสั่งสมัย ปลัดณรงค์ที่ใกล้เกษียณอายุราชการ ปี 2558 ต้องการผลักดันเขตสุขภาพ แต่ไม่เป็นผล เนื่องจากการมอบอำนาจดังกล่าว ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไข กพ.มีกระบวนการ ขั้นตอนที่จะต้องปฏิบัติ แม้มีการมอบอำนาจให้ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข แต่ไม่ใช่ว่าจะทำได้เลย ต้องทำตามหลักเกณฑ์ที่ อ.ก.พ.กำหนด
จึงไม่เคยมีผู้ตรวจฯคนไหนลงนามในคำสั่งย้าย นายแพทย์เชี่ยวชาญ ผู้อำนวยการโรงพยาบาล ไปลงตำแหน่งใหม่ ขาดจากอัตราเดิม แบบเดียวกับที่ทำกับหมอสุภัทร ใครมีเอามาแสดงให้ดูหน่อย
การบริหารงานบุคคล การแต่งตั้งโยกย้าย ต้องทำตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไข วิธีการที่ อ.ก.พ. กำหนด เมื่อมี ตำแหน่งว่าง ให้หน่วยงานต้องพิจารณาจะใช้วิธีการเลื่อน การย้าย หรือการโอน โดยแจ้งเหตุผลและความจำเป็น เสนอผู้มีอำนาจสั่งบรรจุตามมาตรา 57 พิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนดำเนินการ แล้วจึงเสนอคณะกรรมการประเมินบุคคล
กรณีโรงพยาบาลสะบ้าย้อย เดิมมีนายแพทย์นพฎล สุทธิพงษ์ รักษาการ ผอ.รพ.ตั้งแต่ 9 สิงหาคม พ.ศ.2560
ต่อมาได้ส่งตัว นายนพฎล สุทธิพงษ์ รักษาการ ผอ.รพ.สะบ้าย้อย กลับไปปฏิบัติราชการสังกัดเดิม (รพ. โคกโพธิ์ ปัตตานี) ตาม หนังสือกระทรวงสาธารณสุขที่ สธ 0208.10/4195 ลงวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ.2565 ลงนามโดย นายทวีศิลป์ วิษณุโยธิน รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข รักษาราชการแทน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข
ทำให้มีตำแหน่งว่าง แต่ไม่มีการรับสมัคร ไม่มีการถามความสมัครใจ จู่ๆ ก็มีคำสั่งย้ายนายแพทย์สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ จาก ผอ.รพ.จะนะ ไปดำรงตำแหน่ง ผอ.รพ.สะบ้าย้อย ตามคำสั่งกระทรวงสาธารณสุขที่ 125/2566 ลงวันที่ 25 มกราคม 2566 ลงนามโดย นายสวัสดิ์ อภิวัจนีวงศ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวง ปฏิบัติราชการแทนปลัดกระทรวงสาธารณสุข โดยอาศัยอำนาจตาม หนังสือสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ที่ สธ 0208.08/ว 554 ลงวันที่ 23 มกราคม 2566 เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการบริหารงานบุคคลในจังหวัดชายแดนใต้ กรณีการย้ายหรือการโอนข้าราชการไปดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการ ระดับเชี่ยวชาญของสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข เฉพาะตามคำสั่งมอบอำนาจให้ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข ที่รองปลัดทวีศิลป์อ้างถึงว่ามีมาตั้งแต่ปี 2558 นั้นทำไม่ได้นะครับ
กรณีย้ายหมอสุภัทรจึงปรากฏเป็นข่าวว่ามีที่มา มีใบสั่ง มีการเตรียมการให้มีตำแหน่งว่าง กระบวนการขั้นตอนมีการเร่งรัด เร่งรีบ ผิดปกติในการดำเนินการ ชนิดที่ไม่เคยมีมาก่อน
ท่านอย่ามาปกป้องการกระทำที่ไร้ธรรมาภิบาลเลย เอกสารที่ยกมานี้ก็เห็นชัดเจน เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ โปรดไตร่ตรองให้รอบคอบ ก่อนจะไปร่วมขบวนการฟอกขาว เอาไว้เมื่อเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ค่อยมาแก้ต่าง
‘ชูวิทย์’ ชำแหละวงการสีกากี ‘นายพล จ.’ กินอากาศ-ทะเล เก่งตรวจห้องน้ำโรงพัก
https://www.dailynews.co.th/news/1988645/
"ชูวิทย์" ชำแหละวงการสีกากี ใช้ยศฐาบังหน้า เบื้องหลังเน่าเฟะ แฉแหลกตั้งแต่ “สารวัตรซัว” ไปจนถึง "นายพล จ." อยู่สีเทามานาน หาประโยชน์บ่อนออนไลน์-น้ำมันเถื่อน การงานไม่ได้เรื่องแต่กลับเก่งตรวจห้องน้ำ เป็นเรื่องน่าเศร้าของตำรวจที่ผู้ใหญ่มักชื่นชม "ตำรวจรวยสีเทา"
เมื่อวันที่ 12 ก.พ. พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. กล่าวถึง ความคืบหน้าการดำเนินการเอาผิดเว็บไซต์พนันออนไลน์ มาเก๊า 888 ว่า ขณะนี้ชุดสืบสวนสอบสวนได้นำพยานหลักฐานที่ได้มาตรวจสอบ พร้อมกับประสานความร่วมมือกับทาง ปปง.และสถาบันการเงิน เพื่อตรวจสอบเส้นทางการเงินว่ามีความเชื่อมโยงไปถึงบุคคลใด ยืนยันเอาผิดไม่มีมวยล้ม ในส่วนความคืบหน้าการเดินทางไปสอบปากคำนักแสดงสาวดิว อริสรา อยู่ระหว่างการดำเนินการขั้นตอนการเดินทางซึ่งคาดว่าการสัปดาห์จะสามารถเดินทางไปสอบปากคำได้
ขณะที่ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมืองชื่อดัง ได้ออกมาโพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว หัวข้อตำรวจสีเทา มั่วซั่ว โดดเด่น โดยมีเนื้อหาใจความว่า
หลังกระชากหน้ากากคนอย่าง “สารวัตรซัว” ให้คนเห็น มีอาชีพเป็นตำรวจ แต่มีธุรกิจต่างประเทศลงทุนที่เขมร ทั้งคาสิโน บ่อนออนไลน์ และตั้งศูนย์เซิร์ฟเวอร์ ในประเทศมีธุรกิจเป็นสิบบริษัท ตลาดสดร่วมทุนกับลูกคนดังสีเทาย่านฝั่งธนฯ ส่วนออฟฟิศใหญ่โตอยู่แถวรามอินทรา ความร่ำรวยขยายงานไม่หยุดยั้งของสารวัตรซัวล้วนเอาเวลาราชการตำรวจมาทำ
หากอ้างว่าทำนอกเวลา ต้องไม่มีเวลาเหลือให้นอน เพราะเกินมนุษย์ปกติที่หากินสุจริตจะทำได้ แถมยังมีเวลาบินไปปอยเปต ไปสิงคโปร์ ไปลอนดอนเป็นว่าเล่น นี่ก็เวลาราชการทั้งนั้น นายซัวคงเติบใหญ่ทั้งธุรกิจเทาๆ และอาชีพตำรวจไปพร้อมกัน จนวันหนึ่งได้เป็นนายพลตำรวจที่ไม่ได้ทำงาน ไม่เคยเหยียบไปที่สำนักงานเสียด้วยซ้ำ แล้วคนที่เป็นตำรวจอาชีพจริงๆ คนไหนจะไปสู้ได้?
นอกจากการเอาเปรียบใช้ยศตำรวจบังหน้า ได้เงินเดือนจากภาษีประชาชนแล้ว ยังเอาเวลาราชการเบียดบังไปขยายธุรกิจสีเทา ถึงขนาดไปซื้อ “อาบอบนวด” ของนายกำพล วิคตอเรีย ผู้ต้องหาหนีคดีค้ามนุษย์ ที่ชื่อ “โคปา คาบานา” ย่านรัชดาฯ แล้วเปลี่ยนชื่อเป็น “ลาลิซ่า” โดยใช้ลูกน้องเด็กบ้านนอก ลูกชาวนาสุพรรณไปถือหุ้นแทน หากไล่สอบย่อมรู้ว่าเป็น “นอมินี” แม้จะรีบเปลี่ยนชื่อหลังเรื่องดัง นายซัวใช้นอมินีบังชื่อตัวเองหมดในธุรกิจเทาๆ และพยายามให้ทุกคน “WFH” (work from home) ในช่วงนี้ เพื่อเลี่ยงการถูกบุกตรวจค้น
คำถามตกผลึกมาว่า “สังคมไทยต่อสู้ระวังกับคนร้ายทั่วไปไม่พอ ยังต้องมาคอยระแวงกับคนที่ใช้เครื่องแบบหากินอีกหรือ?” แม้ไม่ได้ใช้อาวุธปล้น แต่ใช้สมองปล้นเงินในกระเป๋าเยาวชนไทยแทนด้วยการพนันออนไลน์ ตำรวจ 200,000 กว่านาย ที่เป็นตำรวจอาชีพจะรู้สึกอย่างไร กับการทำงานที่หลังขดหลังแข็ง ต้องเสี่ยงกับโจรขโมยปกป้องทรัพย์สินของประชาชน ยิ่ง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เสี่ยงกับระเบิดของโจรใต้เข้าไปอีก นี่เป็นระบบ “ความไม่เท่าเทียม เหลื่อมล้ำ” ในสังคมข้าราชการทุกวันนี้