เอกชนแห่ขึ้นราคา! ไปรษณีย์กัดฟันตรึง ท่องเที่ยวใต้ฟื้น-ทำแรงงานขาด
https://www.thairath.co.th/business/economics/2614418
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ธุรกิจขนส่งพัสดุในภูเก็ตและอีกหลายจังหวัดท่องเที่ยวทางใต้ระส่ำหนักเกิดปัญหาการขาดแคลนแรงงาน หลังธุรกิจท่องเที่ยวกลับมา
คึกคัก ทำให้แรงงานส่วนใหญ่กลับเข้าไปสู่ธุรกิจที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวเพราะมีรายได้ที่สูงกว่า ทำให้หลายธุรกิจในพื้นที่ โดยเฉพาะธุรกิจขนส่งพัสดุเกิดปัญหาหนัก เพราะส่วนใหญ่เป็นการจ้าง oursource บริษัทหรือพนักงานจากภายนอก ให้ขนส่งพัสดุในพื้นที่ เมื่อแรงงานขาดแคลน จึงมีการขอปรับขึ้นค่าแรง ส่งผลผู้ประกอบการหลายราย ประกาศขึ้นราคาค่าขนส่งที่ส่งมายังพื้นที่ปลายทางเหล่านี้ เช่น FLASH Express ได้ประกาศปรับขึ้นราคาค่าขนส่งพัสดุไปยังเกาะสมุย, เกาะพะงัน, จังหวัดกระบี่และจังหวัดภูเก็ต โดยพัสดุที่มีน้ำหนักน้อยกว่า 30 กิโลกรัม จะบวกราคาค่าขนส่งเพิ่ม 50 บาท พัสดุที่มีน้ำหนัก 30-50 กิโลกรัม จะบวกค่าขนส่งเพิ่ม 100 บาท และพัสดุที่มีน้ำหนัก 50 กิโลกรัมขึ้นไป จะบวกค่าขนส่งเพิ่ม 150 บาท มีผลตั้งแต่ 1 ก.พ.66 เป็นต้นไป โดยให้เหตุผลว่าตั้งแต่ เดือน ธ.ค.65 เป็นต้นมา การท่องเที่ยวได้รับความนิยมมากขึ้น มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาจำนวนมาก ทำให้เศรษฐกิจในพื้นที่ท่องเที่ยวเติบโตขึ้น ส่งผลให้พื้นที่ท่องเที่ยวขาดแคลนแรงงาน รวมถึงต้นทุนด้านอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น เพื่อรักษาบริการให้ดีต่อไป จึงปรับขึ้นค่าขนส่งพื้นที่ดังกล่าว
ขณะที่ J&T Express ออกประกาศแจ้งว่า พัสดุที่จัดส่งในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต จะคิดค่าธรรมเนียมการจัดส่งเพิ่มเติมจากค่าจัดส่งมาตรฐาน 200 บาทต่อพัสดุ มีผลตั้งแต่ 18 ม.ค.66 เป็นต้นไป หรือจนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง และยังระบุด้วยว่า การนำจ่ายพัสดุในพื้นที่ดังกล่าว อาจเกิดความล่าช้า ส่วน Kerry Express ออกประกาศแจ้งลูกค้าว่า บริษัทของดส่งพัสดุไปปลายทางดังนี้ ตามรหัสไปรษณีย์ พื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้แก่ 84280, 84310, 84320 รหัสไปรษณีย์ พื้นที่จังหวัดภูเก็ต ได้แก่ 83000, 83150 รหัสไปรษณีย์ พื้นที่จังหวัดพังงา ได้แก่ 83000 มีผลตั้งแต่ 27 ม.ค.66 เป็นต้นไป
ด้านนาย
ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด กล่าวว่า ไปรษณีย์ไทยยังคงคิดอัตราค่าบริการตามน้ำหนัก ไม่บวกเพิ่ม เนื่องจากมีเครือข่ายครอบคลุมทั่วประเทศอยู่แล้ว และต้องให้บริการประชาชนในฐานะรัฐวิสาหกิจ แม้พื้นที่ห่างไกลมีต้นทุนค่าใช้จ่ายสูงขึ้น นอกจากนั้นไปรษณีย์ยังได้ขยายน้ำหนักการฝากส่งได้ถึง 30 กิโลกรัม ตอบโจทย์ลูกค้าที่ต้องการส่งของน้ำหนักมากแบบเร่งด่วน หากส่งวันเสาร์และวันอาทิตย์ เริ่มต้นที่ 25 บาท ทุกปลายทาง ถึง 26 มี.ค.นี้ “
ในพื้นที่ห่างไกล เรามีต้นทุนเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะปีที่ผ่านมา ราคาน้ำมันสูงขึ้นต่อเนื่อง แต่ไปรษณีย์มีหน้าที่ตรึงราคาเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้ลูกค้า จึงไม่ได้ปรับราคาขึ้น”.
‘ขึ้นดอกเบี้ย’ เคราะซ้ำกรรมซัด ‘คนกู้บ้าน’ ค่าผ่อนเพิ่ม หมดยุคซื้อของถูก
https://www.matichon.co.th/economy/news_3794226
‘ขึ้นดอกเบี้ย’ เคราะซ้ำกรรมซัด ‘คนกู้บ้าน’ ค่าผ่อนเพิ่ม หมดยุคซื้อของถูก
เอฟเฟ็กต์การประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ปรับอีก 0.25% ต่อปี จาก ระดับ1.25% เป็นระดับ 1.50% เมื่อวันที่ 25 มกราคมที่ผ่านมา ถึงจะขยับในอัตราที่น้อย ส่งผลกระทบไม่มาก แต่ถ้าขยับบ่อยๆ ก็กระอักเลือดเหมือนกัน
โดยเฉพาะผู้ที่กำลังมองหาซื้อที่อยู่อาศัยไม่ว่าบ้านหรือคอนโดมิเนียมในปีนี้ ว่ากันว่าต้องเจอ 2 เด้ง โดยเด้งแรกซื้อในราคาที่แพงขึ้น หลังผู้ประกอบการพาเหรดทยอยปรับขึ้นราคากันมาอย่างต่อเนื่องจากปี2565 และในปี 2566 ยังคงปรับขึ้นอีกตลอดทั้งปีนี้
ส่วนเด้งที่ 2 นอกจากจะกู้ได้ไม่เต็ม100% จากกฎเหล็กของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) กลับมาใช้มาตรการLTV อีกครั้ง ต้องหาเงินก้อนวางดาวน์มากขึ้น ยังต้องจ่ายค่าผ่อนบ้านเพิ่มตามอัตราดอกเบี้ยที่ขยับขึ้น และต้องผ่อนในระยะเวลาที่ยาวขึ้น เช่น จาก 30 ปี เป็น 40 ปี
ก่อนหน้านี้
วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์(REIC) วิเคราะห์สถานการณ์อสังหาริมทรัพย์หลังปรับขึ้นดอกเบี้ยว่า การขึ้นดอกเบี้ยทุกครั้ง ย่อมมีผลกระทบต่อภาคอสังหาริมทรัพย์ ทั้งกลุ่มผู้ประกอบการ และกลุ่มผู้ซื้อที่อยู่อาศัย โดยผู้ประกอบการ จะมีต้นทุนการเงินในการลงทุนเพิ่ม กู้ในอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น ส่วนผู้ซื้อจะได้รับผลกระทบอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นและทำให้วงเงินกู้ที่ได้รับสินเชื่อลดลง
“
อัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น 0.25% ที่วงเงินสินเชื่อ 2.5 ล้านบาท ระยะเวลากู้ 30 ปี ทำให้วงเงินที่ได้รับสินเชื่อลดลง 100,000 บาท หรือ หากวงเงินกู้เท่าเดิมจะทำให้เงินงวดผ่อนต่อเดือนเพิ่มสูงขึ้นเดือนละ 400 บาท ตลอด 30 ปี ส่วนผู้ที่อยู่ระหว่างผ่อนบ้านก็จะได้รับผลกระทบด้วย แม้เงินงวดยังไม่ขึ้น แต่การตัดชำระเงินต้นลดลง ถ้าอัตราดอกเบี้ย MRR/MLR ปรับเพิ่มขึ้นมากกว่าในปัจจุบัน ทำให้มีการเพิ่มค่างวดผ่อนชำระ และกลุ่มกำลังจะพ้นช่วงดอกเบี้ยโปรโมชั่นจะรีไฟแนนซ์ระหว่างธนาคารมากขึ้น”
วิชัย ยังบอกอีกว่า การขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะมีผลในทางจิตวิทยากับกลุ่มผู้ซื้อบ้านทุกกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อยและรายได้ปานกลางค่อนข้างต่ำ ซึ่งเป็นกลุ่มเปราะบางด้านอาชีพ รายได้และรายจ่าย และได้รับการปฏิเสธสินเชื่อมากกว่ากลุ่มรายได้สูง ส่วนกลุ่มที่ซื้อเพื่อลงทุนอาจทำให้ชะลอการตัดสินใจ เพราะต้นทุนการลงทุนสูงขึ้น และนำเงินไปลงทุนในรูปแบบอื่นได้ผลตอบแทนดีขึ้น ซึ่งตลาดบ้านไม่เกิน 3 ล้านบาทน่าจะได้รับผลกระทบมากกว่าระดับราคาอื่น
จากนักวิชาการมาฟังเสียงสะท้อนจากฝั่งดีเวลลอปเปอร์ถึงการปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งล่าสุด โดย
วงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% ส่งผลกระทบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ทั้งฝั่งผู้ประกอบการจะมีต้นทุนการเงินสูงขึ้นและผู้ซื้อจะมีภาระค่าผ่อนบ้านเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตามในอัตราดังกล่าวยังพอรับได้ แต่ถ้ามีการปรับขึ้นอีก 2-3 ครั้ง ส่งผลกระทบมากขึ้นอย่างแน่นอน เนื่องจากตลาดโดยรวมยังมีปัญหาด้านกำลังซื้อ โดยเฉพาะตลาดระดับล่างที่ขอกู้สินเชื่อจากแบงก์ไม่ผ่าน แม้อัตราดอกเบี้ยจะถูก แต่ถ้ากู้ไม่ผ่านก็ไม่มีประโยชน์ ส่วนตลาดระดับบน ที่มีกำลังซื้อบ้านราคา 40-50 ล้านบาท จะไม่ได้รับผลกระทบจากดอกเบี้ยขึ้น เพราะกู้ซื้อบ้านในสัดส่วนที่น้อย
“
เราได้ออกหุ้นกู้เพื่อล็อกดอกเบี้ยระยะยาวไว้บ้างในช่วงที่ผ่านเพื่อลดภาระต้นทุนการเงิน และพัฒนาโครงการ ซึ่งบ้าน 1 หลัง ต้นทุนการสร้างบ้านเป็น 1 ใน 3 ของราคาบ้าน เช่น บ้านราคา 3 ล้านบาท ค่าก่อสร้างอยู่ที่ประมาณ 1 ล้านบาท ที่เหลือเป็นค่าอื่นๆ เมื่อดอกเบี้ยขึ้น 0.25% ต้นทุนก่อสร้างจะแพงขึ้น 2,500 บาทต่อหลัง ถือว่ายังไม่สูงมาก” นาย
วงศกรณ์กล่าว
นาย
วงศกรณ์กล่าวว่า ทั้งนี้จากต้นทุนที่ยังสูงขึ้นต่อเนื่องจากปี 2565 ในช่วงหลังปีใหม่ 2566 บริษัทได้ปรับราคาบ้านแนวราบขึ้นแล้ว 2-3% ส่วนคอนโดมิเนียมปรับขึ้น 1% และหลังสงกรานต์นี้เตรียมจะปรับขึ้นอีก 2-3% ซึ่งหากดอกเบี้ยขยับขึ้นอีก แนวโน้มราคาบ้านคงต้องปรับขึ้นตาม คาดว่าปี 2566 ทั้งปี บ้านจะปรับราคาขึ้น 2-3 ครั้ง โดยปรับครั้งละ 2-3% ตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้น
ด้าน
อุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25%ต่อปี ถือว่าเป็นไปตามคาด อย่างไรก็ตามการขึ้นดอกเบี้ยแต่ละครั้งจะส่งผลกระทบต่อต้นทุนของผู้ประกอบการที่เพิ่มขึ้น ซึ่งแสนสิริมีต้นทุนการเงินอยู่ที่กว่า 3% เมื่อดอกเบี้ยขึ้นจะเป็น 3.75% โดยที่ผ่านมาบริษัทได้บริหารจัดการต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ด้วยการปรับแบบบ้าน ลดขนาดพื้นที่เล็กลง เช่น จากบ้านเดี่ยวเป็นบ้านแฝด ตัดสิ่งที่ไม่จำเป็นออก เพื่อให้อยู่ในกรอบราคาที่ลูกค้าซื้อได้ เป็นต้น
ขณะที่ภาระการผ่อนบ้านของผู้ซื้อบ้าน เมื่อดอกเบี้ยขึ้นทุก 1% ทำให้อำนาจการผ่อนชำระค่างวดหายไป 7-8% ล่าสุดดอกเบี้ยขึ้น 0.25% ทำให้อำนาจการผ่อนชำระค่างวดหายไป 2%
อย่างเช่น ผู้ซื้อบ้านราคา 1 ล้านบาท มีภาระดอกเบี้ย 3% หากปรับขึ้น 0.25% จะมีค่างวดเพิ่มขึ้น 250 บาท เป็นต้น ซึ่งแสนสิริได้หารือกับทุกแบงก์ให้ตรึงดอกเบี้ยเงินกู้ให้ลูกค้า แต่ยังไม่รู้ตรึงได้นานแค่ไหน รวมถึงราคาบ้านด้วยที่ในปีนี้แสนสิริยังไม่ได้ปรับราคาขึ้น หลังจากเมื่อปี 2565 ปรับขึ้นไปแล้ว ประกอบกับยังมีสต็อกบ้านและคอนโดราคาต้นทุนเดิมเหลืออยู่กว่า 10,000 ล้านบาท แต่หากปรับราคาคงปรับเพิ่ม 2% ตามดอกเบี้ยและต้นทุน
เช่นเดียวกับ อิสระ บุญยัง กรรมการผู้จัดการบริษัท กานดา พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด และประธานคณะกรรมการอสังหาริมทรัพย์ออกแบบและก่อสร้าง สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ระบุว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยกระทบทั้งผู้ประกอบการมีต้นทุนการเงินสูงขึ้นและผู้ซื้อบ้านต้องผ่อนบ้านเพิ่มขึ้นสำหรับผู้ขอกู้ซื้อบ้านรายใหม่
“
ดอกเบี้ยขาขึ้นเป็น 1 ปัจจัยเสี่ยงปี 2566 ที่ผู้ประกอบต้องเฝ้าติดตาม อย่างไรก็ตามดอกเบี้ยเป็นตัวแปรหนึ่ง แต่ยังไม่มากเท่ากับต้นทุนหลักจากค่าที่ดินและพัฒนาและค่าก่อสร้าง และผู้ประกอบการต่างรับรู้กันแล้วว่าดอกเบี้ยเป็นช่วงขาขึ้น มีปรับแบบพื้นที่และขนาดบ้านใหม่ให้เล็กลง อยู่ในราคาขายที่ลูกค้าซื้อได้ เช่น ปรับจากบ้านเดี่ยวเป็นบ้านแฝดหรือทาวน์เฮ้าส์และต่อไปเราจะไม่เห็นทาวน์เฮ้าส์ราคาต่ำกว่า 1.5 ล้านบาทอีกแล้ว” นาย
อิสระกล่าว
JJNY : เอกชนแห่ขึ้นราคา!│‘ขึ้นดอกเบี้ย’ เคราะซ้ำกรรมซัด│“อุ๊งอิ๊ง”บอกใช้ความจริงใจ│“อ.วันวิชิต”ขอคนไทย อย่าความจำสั้น
https://www.thairath.co.th/business/economics/2614418
คึกคัก ทำให้แรงงานส่วนใหญ่กลับเข้าไปสู่ธุรกิจที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวเพราะมีรายได้ที่สูงกว่า ทำให้หลายธุรกิจในพื้นที่ โดยเฉพาะธุรกิจขนส่งพัสดุเกิดปัญหาหนัก เพราะส่วนใหญ่เป็นการจ้าง oursource บริษัทหรือพนักงานจากภายนอก ให้ขนส่งพัสดุในพื้นที่ เมื่อแรงงานขาดแคลน จึงมีการขอปรับขึ้นค่าแรง ส่งผลผู้ประกอบการหลายราย ประกาศขึ้นราคาค่าขนส่งที่ส่งมายังพื้นที่ปลายทางเหล่านี้ เช่น FLASH Express ได้ประกาศปรับขึ้นราคาค่าขนส่งพัสดุไปยังเกาะสมุย, เกาะพะงัน, จังหวัดกระบี่และจังหวัดภูเก็ต โดยพัสดุที่มีน้ำหนักน้อยกว่า 30 กิโลกรัม จะบวกราคาค่าขนส่งเพิ่ม 50 บาท พัสดุที่มีน้ำหนัก 30-50 กิโลกรัม จะบวกค่าขนส่งเพิ่ม 100 บาท และพัสดุที่มีน้ำหนัก 50 กิโลกรัมขึ้นไป จะบวกค่าขนส่งเพิ่ม 150 บาท มีผลตั้งแต่ 1 ก.พ.66 เป็นต้นไป โดยให้เหตุผลว่าตั้งแต่ เดือน ธ.ค.65 เป็นต้นมา การท่องเที่ยวได้รับความนิยมมากขึ้น มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาจำนวนมาก ทำให้เศรษฐกิจในพื้นที่ท่องเที่ยวเติบโตขึ้น ส่งผลให้พื้นที่ท่องเที่ยวขาดแคลนแรงงาน รวมถึงต้นทุนด้านอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น เพื่อรักษาบริการให้ดีต่อไป จึงปรับขึ้นค่าขนส่งพื้นที่ดังกล่าว
ขณะที่ J&T Express ออกประกาศแจ้งว่า พัสดุที่จัดส่งในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต จะคิดค่าธรรมเนียมการจัดส่งเพิ่มเติมจากค่าจัดส่งมาตรฐาน 200 บาทต่อพัสดุ มีผลตั้งแต่ 18 ม.ค.66 เป็นต้นไป หรือจนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง และยังระบุด้วยว่า การนำจ่ายพัสดุในพื้นที่ดังกล่าว อาจเกิดความล่าช้า ส่วน Kerry Express ออกประกาศแจ้งลูกค้าว่า บริษัทของดส่งพัสดุไปปลายทางดังนี้ ตามรหัสไปรษณีย์ พื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้แก่ 84280, 84310, 84320 รหัสไปรษณีย์ พื้นที่จังหวัดภูเก็ต ได้แก่ 83000, 83150 รหัสไปรษณีย์ พื้นที่จังหวัดพังงา ได้แก่ 83000 มีผลตั้งแต่ 27 ม.ค.66 เป็นต้นไป
ด้านนายดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด กล่าวว่า ไปรษณีย์ไทยยังคงคิดอัตราค่าบริการตามน้ำหนัก ไม่บวกเพิ่ม เนื่องจากมีเครือข่ายครอบคลุมทั่วประเทศอยู่แล้ว และต้องให้บริการประชาชนในฐานะรัฐวิสาหกิจ แม้พื้นที่ห่างไกลมีต้นทุนค่าใช้จ่ายสูงขึ้น นอกจากนั้นไปรษณีย์ยังได้ขยายน้ำหนักการฝากส่งได้ถึง 30 กิโลกรัม ตอบโจทย์ลูกค้าที่ต้องการส่งของน้ำหนักมากแบบเร่งด่วน หากส่งวันเสาร์และวันอาทิตย์ เริ่มต้นที่ 25 บาท ทุกปลายทาง ถึง 26 มี.ค.นี้ “ในพื้นที่ห่างไกล เรามีต้นทุนเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะปีที่ผ่านมา ราคาน้ำมันสูงขึ้นต่อเนื่อง แต่ไปรษณีย์มีหน้าที่ตรึงราคาเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้ลูกค้า จึงไม่ได้ปรับราคาขึ้น”.
‘ขึ้นดอกเบี้ย’ เคราะซ้ำกรรมซัด ‘คนกู้บ้าน’ ค่าผ่อนเพิ่ม หมดยุคซื้อของถูก
https://www.matichon.co.th/economy/news_3794226
‘ขึ้นดอกเบี้ย’ เคราะซ้ำกรรมซัด ‘คนกู้บ้าน’ ค่าผ่อนเพิ่ม หมดยุคซื้อของถูก
เอฟเฟ็กต์การประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ปรับอีก 0.25% ต่อปี จาก ระดับ1.25% เป็นระดับ 1.50% เมื่อวันที่ 25 มกราคมที่ผ่านมา ถึงจะขยับในอัตราที่น้อย ส่งผลกระทบไม่มาก แต่ถ้าขยับบ่อยๆ ก็กระอักเลือดเหมือนกัน
โดยเฉพาะผู้ที่กำลังมองหาซื้อที่อยู่อาศัยไม่ว่าบ้านหรือคอนโดมิเนียมในปีนี้ ว่ากันว่าต้องเจอ 2 เด้ง โดยเด้งแรกซื้อในราคาที่แพงขึ้น หลังผู้ประกอบการพาเหรดทยอยปรับขึ้นราคากันมาอย่างต่อเนื่องจากปี2565 และในปี 2566 ยังคงปรับขึ้นอีกตลอดทั้งปีนี้
ส่วนเด้งที่ 2 นอกจากจะกู้ได้ไม่เต็ม100% จากกฎเหล็กของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) กลับมาใช้มาตรการLTV อีกครั้ง ต้องหาเงินก้อนวางดาวน์มากขึ้น ยังต้องจ่ายค่าผ่อนบ้านเพิ่มตามอัตราดอกเบี้ยที่ขยับขึ้น และต้องผ่อนในระยะเวลาที่ยาวขึ้น เช่น จาก 30 ปี เป็น 40 ปี
ก่อนหน้านี้ วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์(REIC) วิเคราะห์สถานการณ์อสังหาริมทรัพย์หลังปรับขึ้นดอกเบี้ยว่า การขึ้นดอกเบี้ยทุกครั้ง ย่อมมีผลกระทบต่อภาคอสังหาริมทรัพย์ ทั้งกลุ่มผู้ประกอบการ และกลุ่มผู้ซื้อที่อยู่อาศัย โดยผู้ประกอบการ จะมีต้นทุนการเงินในการลงทุนเพิ่ม กู้ในอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น ส่วนผู้ซื้อจะได้รับผลกระทบอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นและทำให้วงเงินกู้ที่ได้รับสินเชื่อลดลง
“อัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น 0.25% ที่วงเงินสินเชื่อ 2.5 ล้านบาท ระยะเวลากู้ 30 ปี ทำให้วงเงินที่ได้รับสินเชื่อลดลง 100,000 บาท หรือ หากวงเงินกู้เท่าเดิมจะทำให้เงินงวดผ่อนต่อเดือนเพิ่มสูงขึ้นเดือนละ 400 บาท ตลอด 30 ปี ส่วนผู้ที่อยู่ระหว่างผ่อนบ้านก็จะได้รับผลกระทบด้วย แม้เงินงวดยังไม่ขึ้น แต่การตัดชำระเงินต้นลดลง ถ้าอัตราดอกเบี้ย MRR/MLR ปรับเพิ่มขึ้นมากกว่าในปัจจุบัน ทำให้มีการเพิ่มค่างวดผ่อนชำระ และกลุ่มกำลังจะพ้นช่วงดอกเบี้ยโปรโมชั่นจะรีไฟแนนซ์ระหว่างธนาคารมากขึ้น”
วิชัย ยังบอกอีกว่า การขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะมีผลในทางจิตวิทยากับกลุ่มผู้ซื้อบ้านทุกกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อยและรายได้ปานกลางค่อนข้างต่ำ ซึ่งเป็นกลุ่มเปราะบางด้านอาชีพ รายได้และรายจ่าย และได้รับการปฏิเสธสินเชื่อมากกว่ากลุ่มรายได้สูง ส่วนกลุ่มที่ซื้อเพื่อลงทุนอาจทำให้ชะลอการตัดสินใจ เพราะต้นทุนการลงทุนสูงขึ้น และนำเงินไปลงทุนในรูปแบบอื่นได้ผลตอบแทนดีขึ้น ซึ่งตลาดบ้านไม่เกิน 3 ล้านบาทน่าจะได้รับผลกระทบมากกว่าระดับราคาอื่น
จากนักวิชาการมาฟังเสียงสะท้อนจากฝั่งดีเวลลอปเปอร์ถึงการปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งล่าสุด โดย วงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% ส่งผลกระทบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ทั้งฝั่งผู้ประกอบการจะมีต้นทุนการเงินสูงขึ้นและผู้ซื้อจะมีภาระค่าผ่อนบ้านเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตามในอัตราดังกล่าวยังพอรับได้ แต่ถ้ามีการปรับขึ้นอีก 2-3 ครั้ง ส่งผลกระทบมากขึ้นอย่างแน่นอน เนื่องจากตลาดโดยรวมยังมีปัญหาด้านกำลังซื้อ โดยเฉพาะตลาดระดับล่างที่ขอกู้สินเชื่อจากแบงก์ไม่ผ่าน แม้อัตราดอกเบี้ยจะถูก แต่ถ้ากู้ไม่ผ่านก็ไม่มีประโยชน์ ส่วนตลาดระดับบน ที่มีกำลังซื้อบ้านราคา 40-50 ล้านบาท จะไม่ได้รับผลกระทบจากดอกเบี้ยขึ้น เพราะกู้ซื้อบ้านในสัดส่วนที่น้อย
“เราได้ออกหุ้นกู้เพื่อล็อกดอกเบี้ยระยะยาวไว้บ้างในช่วงที่ผ่านเพื่อลดภาระต้นทุนการเงิน และพัฒนาโครงการ ซึ่งบ้าน 1 หลัง ต้นทุนการสร้างบ้านเป็น 1 ใน 3 ของราคาบ้าน เช่น บ้านราคา 3 ล้านบาท ค่าก่อสร้างอยู่ที่ประมาณ 1 ล้านบาท ที่เหลือเป็นค่าอื่นๆ เมื่อดอกเบี้ยขึ้น 0.25% ต้นทุนก่อสร้างจะแพงขึ้น 2,500 บาทต่อหลัง ถือว่ายังไม่สูงมาก” นายวงศกรณ์กล่าว
นายวงศกรณ์กล่าวว่า ทั้งนี้จากต้นทุนที่ยังสูงขึ้นต่อเนื่องจากปี 2565 ในช่วงหลังปีใหม่ 2566 บริษัทได้ปรับราคาบ้านแนวราบขึ้นแล้ว 2-3% ส่วนคอนโดมิเนียมปรับขึ้น 1% และหลังสงกรานต์นี้เตรียมจะปรับขึ้นอีก 2-3% ซึ่งหากดอกเบี้ยขยับขึ้นอีก แนวโน้มราคาบ้านคงต้องปรับขึ้นตาม คาดว่าปี 2566 ทั้งปี บ้านจะปรับราคาขึ้น 2-3 ครั้ง โดยปรับครั้งละ 2-3% ตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้น
ด้าน อุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25%ต่อปี ถือว่าเป็นไปตามคาด อย่างไรก็ตามการขึ้นดอกเบี้ยแต่ละครั้งจะส่งผลกระทบต่อต้นทุนของผู้ประกอบการที่เพิ่มขึ้น ซึ่งแสนสิริมีต้นทุนการเงินอยู่ที่กว่า 3% เมื่อดอกเบี้ยขึ้นจะเป็น 3.75% โดยที่ผ่านมาบริษัทได้บริหารจัดการต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ด้วยการปรับแบบบ้าน ลดขนาดพื้นที่เล็กลง เช่น จากบ้านเดี่ยวเป็นบ้านแฝด ตัดสิ่งที่ไม่จำเป็นออก เพื่อให้อยู่ในกรอบราคาที่ลูกค้าซื้อได้ เป็นต้น
ขณะที่ภาระการผ่อนบ้านของผู้ซื้อบ้าน เมื่อดอกเบี้ยขึ้นทุก 1% ทำให้อำนาจการผ่อนชำระค่างวดหายไป 7-8% ล่าสุดดอกเบี้ยขึ้น 0.25% ทำให้อำนาจการผ่อนชำระค่างวดหายไป 2%
อย่างเช่น ผู้ซื้อบ้านราคา 1 ล้านบาท มีภาระดอกเบี้ย 3% หากปรับขึ้น 0.25% จะมีค่างวดเพิ่มขึ้น 250 บาท เป็นต้น ซึ่งแสนสิริได้หารือกับทุกแบงก์ให้ตรึงดอกเบี้ยเงินกู้ให้ลูกค้า แต่ยังไม่รู้ตรึงได้นานแค่ไหน รวมถึงราคาบ้านด้วยที่ในปีนี้แสนสิริยังไม่ได้ปรับราคาขึ้น หลังจากเมื่อปี 2565 ปรับขึ้นไปแล้ว ประกอบกับยังมีสต็อกบ้านและคอนโดราคาต้นทุนเดิมเหลืออยู่กว่า 10,000 ล้านบาท แต่หากปรับราคาคงปรับเพิ่ม 2% ตามดอกเบี้ยและต้นทุน
เช่นเดียวกับ อิสระ บุญยัง กรรมการผู้จัดการบริษัท กานดา พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด และประธานคณะกรรมการอสังหาริมทรัพย์ออกแบบและก่อสร้าง สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ระบุว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยกระทบทั้งผู้ประกอบการมีต้นทุนการเงินสูงขึ้นและผู้ซื้อบ้านต้องผ่อนบ้านเพิ่มขึ้นสำหรับผู้ขอกู้ซื้อบ้านรายใหม่
“ดอกเบี้ยขาขึ้นเป็น 1 ปัจจัยเสี่ยงปี 2566 ที่ผู้ประกอบต้องเฝ้าติดตาม อย่างไรก็ตามดอกเบี้ยเป็นตัวแปรหนึ่ง แต่ยังไม่มากเท่ากับต้นทุนหลักจากค่าที่ดินและพัฒนาและค่าก่อสร้าง และผู้ประกอบการต่างรับรู้กันแล้วว่าดอกเบี้ยเป็นช่วงขาขึ้น มีปรับแบบพื้นที่และขนาดบ้านใหม่ให้เล็กลง อยู่ในราคาขายที่ลูกค้าซื้อได้ เช่น ปรับจากบ้านเดี่ยวเป็นบ้านแฝดหรือทาวน์เฮ้าส์และต่อไปเราจะไม่เห็นทาวน์เฮ้าส์ราคาต่ำกว่า 1.5 ล้านบาทอีกแล้ว” นายอิสระกล่าว